ผู้เขียนถูกจุดประกายมาจากการอ่าน และพบข้อความที่กล่าวแสดงว่า
"ในครั้งตรัสรู้ใหม่ๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตัดสินพระทัยที่จะไม่ประกาศเผยแผ่ธรรมที่ท่านตรัสรู้ เพราะทรงท้อพระทัยในการแสดงธรรมว่า หมู่สัตว์ทั้งหลายคงยากที่จะเข้าใจในความลึกซึ้งของ ปฏิจจสมุปบาทและนิพพาน" ตลอดจนการพบพระพุทธพจน์ ที่ตรัสไว้ว่า
ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม
และเมื่อศึกษาพิจารณาก็พบว่า เป็นธรรมอันลึกซึ้งที่พระพุทธองค์ทรงพิจารณาอันเป็นเหตุปัจจัยให้ตรัสรู้ อริยสัจ๔ เพราะความจริงแล้ว อริยสัจ และ ปฏิจสมุปบาท ก็ล้วนเป็นธรรมเดียวกันนั่นเอง และภายหลังตรัสรู้พระองค์ยังทรงพิจารณาโดย อนุโลม และ ปฏิโลม อีกตลอด ๗ วันแรกของการเสวยวิมุตติสุขจากการหลุดพ้น จนบังเกิดพุทธปีติเปล่งพุทธอุทาน อันบังเกิดเป็นพุทธอุทานในพระศาสนาขึ้นถึง ๓ ครั้ง ๓ ครา อันล้วนเกิดจากความปีติพระทัยในความลึกซึ้งของ "ปฏิจจสมุปบาท" จึงได้ปฏิบัติโดยการโยนิโสมนสิการในปฏิจจสมุปบาทโดยละเอียดและแยบคาย
จึงพอได้เห็นธรรมความลึกซึ้งของ ปฏิจจสมุปบาท คือ เห็นถึงกระบวนการหรือกระบวนธรรมของจิตในการเกิดขึ้นแห่งทุกข์และการดับไปแห่งทุกข์โดยละเอียดจนจบครบวงจรอย่างสมบูรณ์ จึงบันทึกไว้ในแนวทางแบบจำแนกแตกธรรมให้เห็นทั้งเหตุและผลโดยละเอียด อันเกิดขึ้นจากการ โยนิโสมนสิการ คือการพิจารณาโดยละเอียดและแยบคาย ตามความเป็นจริงของธรรม(ธรรมชาติ)นั้นๆ, จนพอเข้าใจกระบวนธรรมของจิตในการเกิดขึ้นและดับไปแห่งทุกข์อย่างละเอียดโดยใช้ความรู้ความเข้าใจใน ปฏิจจสมุปบาท และ ขันธ์๕ มาประยุกต์อธิบายในธรรมของพระพุทธองค์โดยพิสดารและถูกต้องตามพระพุทธประสงค์ อันยังให้สามารถเข้าใจในสภาวธรรมหรือธรรมต่างๆได้ดีขึ้น ทั้งในแนวการพิจารณาแบบพุทธศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ก็ตามที ซึ่งควบคู่กันไปอย่างสอดคล้องถูกต้องตามความเป็นจริง อันยังผลให้การปฏิบัติตามปัญญาญาณที่เกิดขึ้นเป็นไปอย่างราบรื่นและก้าวหน้า, โดยการโยนิโสมนสิการด้วยความเพียร และอาศัยการศึกษาค้นคว้าประกอบกัน เช่น จากหนังสืออันทรงคุณค่าเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาทของท่านพุทธทาส ผู้จุดประกายธรรมอันลึกซึ้งนี้ให้ปรากฎแก่ชาวโลกให้มาสนใจธรรมอันลึกซึ้งนี้อีกครั้งหนึ่งด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องตามพุทธประสงค์ว่าไม่ใช่เป็นเรื่องข้ามภพข้ามชาติแต่เพียงอย่างเดียว ดังที่ยึดถือและถ่ายทอดกันต่อๆมาเป็นระยะเวลาอันยาวนานนับเป็นพันปี แต่เป็นเรื่องของการปฏิบัติเพื่อการสิ้นภพ สิ้นชาติ เสียตั้งแต่ในปัจจุบันชาตินี้ หรือในปัจจุบันจิตนี้ที่มีการเกิดดับๆ...อยู่ตลอดเวลาเป็นสำคัญ, และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากหนังสือของท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต) ผู้ได้เสริมสร้างความเข้าใจในธรรมให้ก่อกําเนิดเป็นรูปร่าง จากหนังสือ"พุทธธรรม"อันทรงคุณค่ายิ่ง, และข้อธรรม ข้อคิดของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล จากหนังสือ"อตุโล ไม่มีใดเทียม", หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ฯลฯ. ผู้เขียนจึงใคร่ขอกราบขอบพระคุณแด่ปูชนียบุคคลผู้ทรงคุณค่าทั้งหลายที่ได้กล่าวถึงหรืออ้างอิงในเวบนี้ เป็นอนุสรณ์ ณ ที่นี้ ตลอดจนบิดา มารดา ครูบาอาจารย์ ผู้มีพระคุณทุกๆท่าน ตลอดจนครอบครัวและคุณยุวดี คูภิรมย์ ผู้เข้าใจผู้เขียนเป็นอย่างดีและให้การสนับสนุนอยู่เบื้องหลังอย่างดียิ่งมาโดยตลอด
ผู้เขียนเอง เมื่อแรกปฏิบัติก็หลงงงงวยเป็นอย่างยิ่ง พาให้ปฏิบัติถูกปฏิบัติผิดโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา ไม่รู้แนวทาง เมื่อพอมีความรู้ความเข้าใจบ้างแล้ว จึงใคร่ตอบแทนคุณพระศาสนา และเพื่อเป็นประโยชน์สืบไป จึงได้บังเกิดหนังสือและโฮมเพจบันทึกธรรมนี้ขึ้นมา ตามความเข้าใจในธรรมที่ได้บังเกิดขึ้นบ้าง เพื่อสืบสานพระศาสนา และเทิดพระเกียรติ์แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เองพระองค์นั้น ในธรรมอันยิ่งใหญ่ และเพื่อบรรดากัลยาณมิตรในธรรมทั้งหลายที่ยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสแก่นธรรมแท้ๆ จักได้มีโอกาสได้สัมผัสแก่นธรรม อันจักยังประโยชน์ยิ่งใหญ่แก่ผู้เห็นธรรมนั้น สมดั่งพระพุทธพจน์ ที่ได้ตรัสไว้ว่า
"ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม"
(มหาหัตถิปโทปมสูตรที่ ๘)
ข้อธรรมบรรยายจะเป็นไปในลักษณาการที่แจงให้เห็นเหตุเห็นผล หรือความเป็นเหตุปัจจัยตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม คือธรรมหรือความเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติ จึงอาจมีลักษณะที่แลดูเยิ่นเย้อ ที่พยายามแจงเหตุ อธิบายผลให้เห็นอยู่เนืองๆ ก็เพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งแท้จริง ก็เนื่องจากเป็นธรรมอันประณีต เพื่อให้เกิดความเข้าใจหรือปัญญาญาณเป็นสำคัญ อันมีจุดประสงค์สูงสุดเพื่อให้เห็นธรรม หรือธรรมจักขุ และย่อมยังให้การปฏิบัติธรรมเป็นไปอย่างถูกต้องแนวทางและราบรื่น การสื่อหรือการจำแนกแตกธรรมในแนวทางแบบนี้ จึงอาจไม่เหมือนข้อธรรมหรือธรรมะตามความเคยชินที่ผ่านๆมาบ้างเป็นธรรมดา
อนึ่งพึงระลึกว่าข้อธรรมใน Web นี้ เป็นการกล่าวเน้นไปในทางปฏิบัติด้านปัญญา หรือปรมัตถ์ สำหรับนักปฏิบัติที่ปรารถนาถึงขั้นจางคลายจากทุกข์คือเป็นสุขตามควรแห่งฐานะตนอย่างถาวร หรือจนขั้นดับสนิทแห่งทุกข์อย่างถาวรไม่กลับกลาย ด้วยปัญญาวิมุตติ จึงเป็นการกล่าวโดยโลกุตระเป็นสำคัญ คือตามปรมัตถ์ความเป็นจริงสูงสุดเป็นสำคัญ ที่ย่อมมีศีล สติ สมาธิความตั้งใจมั่นเป็นพื้นฐานคือบาทฐานอยู่ในที และเมื่อกล่าวกันถึงขั้นปัญญาอย่างโลกุตระแล้ว เบื้องต้นย่อมอาจเกิดความรู้สึกราวกับว่าขัดแย้งกับธรรมหรือสภาวธรรมบางประการที่มักกล่าวแสดงในแง่ของโลกิยะหรือแบบโลกๆโดยทั่วๆไปบ้าง แต่แท้จริงแล้วธรรมเหล่านั้นก็มิได้ขัดแย้งกันแต่ประการใด เป็นเพียงการจำแนกแตกธรรมออกไปเป็นลำดับขั้นลำดับภูมิ ก็เพื่อประโยชน์แก่ชนทุกระดับ การจำแนกแตกธรรมจึงมีความแตกต่างกันไปตามโลกุตตรภูมิหรือโลกิยภูมิ จึงพึงพิจารณาโดยแยบคาย
ผู้เขียนปฏิจจสมุปบาท ยินดีให้เผยแพร่ ส่วนหนึ่งส่วนใด ข้อเขียน ข้อความ ทั้งหลายทั้งปวงในรูปแบบต่างๆได้ โดยไม่สงวนสิทธิใดๆทั้งสิ้น เพราะย่อมยังประโยชน์แก่ผู้อ่าน โดยเฉพาะนักปฏิบัติและโลกเป็นที่สุด
พนมพร
คูภิรมย์
|