ธรรมที่เป็นคู่ปรับ
ธรรมที่เป็นคู่ปรับกัน หรือธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน หมายถึงว่า เป็นธรรมหรือสิ่งที่ไม่อยู่ร่วมกันหรืออยู่ร่วมกันไม่ได้ กล่าวคือ ถ้ามีสิ่งหนึ่งเกิด แล้วมีธรรมคู่ปรับในธรรมนั้นๆเกิดขึ้น ธรรมหรือสิ่งที่มีอยู่ก่อนนั้นก็ย่อมสงบหรือเบาบาง หรือถึงขั้นดับลงไป อันมีสภาพดุจดั่งนํ้ากับไฟ หรือ นํ้ากับนํ้ามัน การดับนั้นอาจเป็นไปอย่างไม่ถาวรก็ได้ เป็นไปในลักษณาการเช่นเดียวกับในเรื่องของฌานสมาธิ ที่มีธรรมคู่ปรับ คือ นิวรณ์ ๕ อันเป็นกิเลสอย่างหนึ่ง ซึ่งเมื่อมีกิเลสในนิวรณ์ ๕ เกิดขึ้น ย่อมไม่สามารถเจริญในฌานสมาธิได้ดี ก็เพราะกิเลสต่างๆเหล่านั้นเป็นเหตุ เพราะเมื่อมี กามฉันทะ๑-ความใคร่ ความพอใจอยู่ในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ พยาบาท๑-อาฆาตโกรธแค้นขุ่นเคือง ถีนะมิทธะ๑-ความหดหู่ความซึมเซาง่วงงุน อุธัทจะกุกกุจจะ๑-ความฟุ้งซ่าน ความรำคาญใจ วิจิกิจฉา๑-ความลังเลสงสัย แต่เมื่อใดที่เจริญในฌานสมาธิได้ดี นิวรณ์ก็ฟุ้งเกิดขึ้นไม่ได้ กล่าวคือแม้ยังไม่ได้ดับไปเป็นการถาวรอย่างแท้จริง แต่ก็ย่อมยังประโยชน์ในที่สุด
กิเลสทั้ง ๕ เหล่านั้นเกิดขึ้นในจิต ย่อมเป็นไปตามหลักเหตุปัจจัยคือปฏิจจสมุปบันธรรม คือเมื่อเกิดขึ้นย่อมทำให้จิตซัดส่าย สอดแส่ ฟุ้งซ่านออกไปคิดนึกปรุงแต่งภายนอก หรือต่อภายในสิ่งเหล่านั้นนั่นเอง ย่อมยังให้เกิดการผัสสะ จึงเกิดเวทนา เกิดความทุกข์,ความกังวลใจ จึงเกิดเวทนาต่างๆนาๆซัดส่ายไปในเหล่ากิเลสนิวรณ์เหล่านั้น จิตเมื่อซัดส่าย จึงย่อมทำให้ไม่สามารถบรรลุถึงฌานสมาธิได้ เพราะฌานสมาธิมีหลักสำคัญยิ่งอยู่ที่การมีจิตแน่วแน่ต่อสิ่งหนึ่งสิ่งใด(อารมณ์) และเมื่อเจริญฌานสมาธิได้ผลดี ก็ย่อมหมายความ จิตหยุดการซัดส่ายไปในเหล่ากิเลสของนิวรณ์ ๕ เหล่านั้น จึงเป็นอันระงับหรือดับไป แต่เป็นไปอย่างชั่วระยะหนึ่ง ยังไม่เป็นการดับไปอย่างถาวร เป็นไปในลักษณาการของการกดข่มหรือสะกดด้วยอำนาจของฌาน,สมาธิ จึงยังสามารถกำเริบเสิบสานขึ้นมาใหม่ได้อีก จัดเป็นวิกขัมภนวิมุตติ
ธรรมคู่ปรับ
นิวรณ์ทั้ง ๕ เป็นธรรมคู่ปรับกับฌานสมาธิ และความดี
นิพพิทา เป็นธรรมคู่ปรับกับจิตฟุ้งซ่าน จิตคิดนึกปรุงแต่ง ตัณหา
ความสังเวช เป็นธรรมคู่ปรับกับ ความกำหนัดหรือราคะ
จิตหดหู่ (ถีนะ) เป็นธรรมคู่ปรับกับ ติดสุขในฌาน,สมาธิ กล่าวคือ ผู้ที่ติดสุข ติดสงบ ติดสบายในผลของฌานสมาธิ เมื่อไม่สามารถทรงฌานหรือสมาธิได้ ก็จะเกิดจิตหดหู่ขึ้น และเมื่อทรงฌานสมาธิหรือปรุงระลึกในองค์ฌานได้ด้วยความจำจากความชำนาญ จิตหดหู่ก็จะหายไป
ถีนมิทธะ จิตหดหู่ ความซึมเซา ง่วงเหงาหาวนอน เป็นธรรมคู่ปรับกับ ปีติ ความอิ่มเอิบใจ กล่าวคือ เมื่อเกิดความอิ่มเอิบกายหรือใจ เหล่าความหดหู่(ถีนะ) หรือความง่วงเหงาหาวนอนอันเกิดแต่จิตเป็นเหตุ(มิทธะ) เช่นความเบื่อ ความเซ็งในความซํ้าซาก หรือไม่ต้องใจจึงง่วงงุน สิ่งต่างๆเหล่านี้ก็ย่อมหายไปเมื่อเกิดปีติ
โทสะจริต คนมีพื้นนิสัยหนักในโทสะ หงุดหงิด โกรธง่าย แก้ด้วยเจริญเมตตา
อกุศลมูล
รากเหง้าของอกุศล, ต้นเหตุของอกุศล, ต้นเหตุของความชั่ว มี ๓ อย่าง คือ โลภะ
โทสะ โมหะ
ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับโลภะ
คือ จาคะ - ความคิดเผื่อแผ่
ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับโทสะ คือ
เมตตา
ธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กับความหลง คือ
ปัญญา
อภิสังขาร
สภาพที่ปรุงแต่งผลแห่งการกระทำของบุคคล, เจตนาที่เป็นตัวการในการทำกรรม
มี ๓ อย่างคือ
๑. ปุญญาภิสังขาร
อภิสังขารที่เป็นบุญ
๒. อปุญญาภิสังขาร
อภิสังขารที่เป็นปฏิปักษ์ต่อบุญ
คือ บาป
๓.
อาเนญชาภิสังขาร อภิสังขารที่เป็นอเนญชา คือ กุศลเจตนาที่เป็นอรูปาวจร ๔
เรียกง่ายๆ ได้แก่ บุญ บาป ฌาน
วิกขัมภนนิโรธ
ดับด้วยการไปข่มไว้
คือ การดับกิเลสของท่านผู้บำเพ็ญฌาน ถึงปฐมฌาน
ย่อมข่มนิวรณ์ไว้ได้ ตลอดเวลาที่อยู่ในฌานนั้น
ตทังคนิโรธ
ดับด้วยธรรมองค์นั้นๆ
คือ ดับกิเลสด้วยธรรมที่เป็นคู่ปรับหรือธรรมที่ตรงข้าม
เช่น ดับสักกายทิฏฐิด้วยความรู้ ที่กำหนดแยกนามรูปออกได้ เป็นการดับชั่วคราวในกรณีนั้นๆ