ไปสารบัญ

 ปฏิจจสมุปบาท  

ปฏิจจสมุปบาท โดยสรุป

คลิกขวาเมนู

        ปฏิจจสมุปบาท  เป็นปรมัตถธรรมที่แสดงโดยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  องค์ธรรมต่างๆในปฏิจจสมุปบาทธรรมจึงล้วนแต่เป็นภาษาบาลี  ดังนั้นการเจริญวิปัสสนาในปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้  จึงต้องศึกษาค้นคว้าคำบาลีที่เกี่ยวเนื่องก็เพื่อประโยชน์ในการโยนิโสมนสิการ  จึงได้พยายามแปลคำทุกบาลีสอดแทรกไว้ตลอดท่านสามารถวางเม้าส์ เพื่อดูความหมายได้ทันที และคลิกดูรายละเอียดศัพท์บางตัวได้อีก ก็เพื่อให้ท่านได้เข้าใจกระจ่างขึ้นเพื่อความสะดวกในการพิจารณาโยนิโสมนสิการ  และเนื่องจากภาษาของเรานั้น มีความดีดดิ้นแปลได้หลายความหมายจริงๆและคล้ายภาษาบาลีอีกด้วย และยังมีการใช้กันอย่างผสมปนเปจนแยกกันแทบไม่ออก ดังเช่นคำว่า อารมณ์ ในภาษาไทยหรือในทางโลกใช้ในความหมายว่า ความรู้สึก เช่น อารมณ์ดี อารมณ์เสีย อารมณ์ร้าย,  แต่อารมณ์ในทางพระศาสนาหรือภาษาธรรมแล้วถ้าแปลไปดั่งนั้นแล้ว ก็จะไม่ได้ใจความที่ถูกต้องจนเห็นธรรมได้เลย  เพราะอารมณ์ในภาษาบาลีหรือภาษาธรรมมีความหมายว่า สิ่ง ที่จิตไปกำหนดหมาย หรือยึดไว้ในขณะนั้นๆ,  คำว่า สิ่ง จึงมีความหมายครอบคลุมถึง รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ(สัมผัส) ธรรมมารมณ์ ใดๆก็ตามที ที่จิตไปกำหนดหมายในขณะนั้นๆ   ดังนั้นเมื่อนำคำว่าอารมณ์ในทางโลกไปใช้อย่างผิดๆหมายถึงไปใช้ในทางธรรม เช่นใน เวทนาที่แปลว่าการเสวยอารมณ์ ก็ย่อมเข้าใจความผิด ตีความหมายไปผิดๆ   หรือไปใช้อารมณ์ในความหมายทางโลกหรือโลกิยะไปในความหมายของสมาธิที่หมายถึง การมีจิตกำหนดแน่วแน่อยู่กับอารมณ์  ก็ไม่สามารถหยั่งรู้ความหมายได้อย่างถูกต้อง   หรือดังคำว่าวิญญาณ ที่กล่าวขึ้นเมื่อใด ปุถุชนมักคิดถึงไปในลักษณะเจตภูตหรือกายทิพย์หรือปฏิสนธิวิญญาณ ฯ. อันเป็นความเข้าใจไปในแบบโลกิยะหรือแบบโลกๆ ดังนั้นเมื่อนำความเข้าใจดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาธรรม(ธรรมวิจยะ)ในปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์ ๕ ก็ตามที  จึงย่อมไม่สามารถเข้าใจธรรมได้อย่างแจ่มแจ้งเลย  จึงต้องเข้าใจวิญญาณอย่างโลกุตระหรืออย่างภาษาธรรมจึงจะธรรมวิจยะในธรรมนั้นๆได้อย่างถูกต้องแจ่มแจ้ง   หรือดังคำว่าสังขารที่ทางโลกเมื่อเอ่ยถึงมักนึกไปถึงร่างกาย แต่ในทางธรรมนั้น สังขารหมายถึงทุกสรรพสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น,   และเหตุสําคัญที่สุดเป็นการเทิดพระเกียรติ์ของพระศาสดาว่าเป็นธรรมที่พระองค์ท่านได้ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง  และสิ่งสําคัญอีกประการคือปฏิจจสมุปบาทธรรมนั้นกินใจความที่ลึกซึ้งกว้างใหญ่ไพศาลนัก เมื่อเกิดความเข้าใจหรือสงสัยสิ่งใด ก็ทําให้สามารถเชื่อมโยงใยกับธรรมอื่นๆของพระพุทธองค์ได้กลมกลืนและอย่างแจ่มแจ้ง อันล้วนแต่อ้างอิงพระบาลีกันทั้งสิ้น อันจักทําให้เกิดความเข้าใจอย่างหมดจด ทําให้แก้ข้อสงสัยในธรรมอื่นๆได้ดียิ่งขึ้น  แต่เพื่อให้เกิดคุณประโยชน์สูงสุด ผู้เขียนจะพยายามเขียนสื่อและย่นย่อความในธรรมอันประณีต แต่แน่ละย่อมมีบาลีแทรกเช่นเคย อันเหมือนท่านเรียนแพทย์ก็ย่อมจำต้องทราบศึกษาคําศัพท์ทางการแพทย์เป็นธรรมดา เพราะจึงสามารถชี้เฉพาะเจาะจงในแต่ละสิ่งได้อย่างเฉพาะเจาะจงและเพื่อสามารถสื่อกับผู้อื่นด้วยความหมายเดียวกันอย่างถูกต้อง,  ซึ่งจักก่อประโยชน์แก่ท่านในภายหน้าเมื่อนำไปศึกษาหรือโยนิโสมนสิการ หรือแม้แต่สนทนาธรรมกับผู้รู้อื่น  แต่ถึงอย่างไรก็ตามสิ่งที่จะเขียนในบทนี้ก็คงจะไม่ง่ายนักที่จะทําความเข้าใจเช่นเคย จึงควรตั้งจิตให้สงบ แล้วอ่านอย่างพิจารณา เพราะความที่เป็นกระบวนธรรมของจิตในการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ และดับไปแห่งทุกข์ของมวลมนุษยชาติทั้งหลายทั้งปวง ที่พระองค์ท่านตรัสไว้ว่า ลึกซึ้งยิ่งนัก  จึงได้ครอบงํามนุษย์ทุกรูปนามมาตลอดกาลนานและอีกตลอดไป จนกว่าเราจะเข้าใจสัจจธรรมของพระองค์ท่านเท่านั้น  จึงควรโยนิโสมนสิการด้วยความแยบคาย วางความเชื่อความเข้าใจหรือทฤษฏีเดิมๆ(ทิฏฐุปาทาน)ที่อาจขัดแย้งกันลงเสียขณะหนึ่ง แล้วพิจารณาด้วยใจที่สงบไม่ซัดส่ายด้วยแค่กำลังของขณิกสมาธิก็ดีงามแล้ว  โดยอาศัยหลักเหตุผลเป็นสำคัญ  และโดยเนืองๆเสมอๆ

(ข้อความที่มีขีดเส้นใต้  สามารถชี้หรือคลิกดูความหมายได้)

        ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมที่แสดงกฏของธรรมชาติถึงความเป็นเหตุเป็นผลและความเนื่องสัมพันธ์กัน จนเป็นผลให้เกิดความทุกข์ และแสดงแบบปฏิโลมหรือนิโรธวารถึงเหตุที่ทําให้ทุกข์ดับลง  ทุกข์ที่กล่าวนี้คือทุกข์ชนิดที่ดับหรือทำลายลงไปได้ กล่าวคือ อุปาทานทุกข์คือทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทานนั่นเอง  ปฏิจจสมุปบาทความจริงแล้วตั้งอยู่บนหลักการวิทยาศาสตร์นั่นเอง เพียงแต่สิ่งที่พระองค์ทรงกล่าวไว้นี้เป็นเรื่องของจิตที่ลึกซึ้งละเอียดอ่อน อันจับต้องหรือสัมผัสให้เห็นเป็นตัวตนไม่ได้(นามธรรม) จึงไม่สามารถพิสูจน์ผลนั้นออกมาให้เห็นเป็นรูปร่าง(รูปธรรม) จึงบังเกิดผลได้แก่ผู้รู้ผู้เข้าใจด้วยตนเองเท่านั้น(ปัจจัตตัง) จึงเป็นที่กินแหนงแคลงใจอยู่ภายในจิต(วิจิกิจฉา)แก่ปุถุชนทั่วๆไปหรือคนที่ทันสมัยตามวัตถุนิยม เห็นหรือเข้าใจว่าพุทธศาสนาเป็นเรื่องของความล้าสมัยหรือไสยศาสตร์  จึงทําให้ไม่สามารถรู้ซึ้งถึงสิ่งที่มีค่าที่สุดที่ตนเองกําลังเพียรแสวงหาอยู่ทุกขณะจิตโดยไม่รู้ตัว อันคือความสุข  และเป็นสุขจากการหลุดพ้น(สัมมาวิมุตติ) อันเป็นสุขที่ไม่เร่าร้อนเผาลนด้วย กล่าวคือ สุข สงบ สะอาด และบริสุทธิ์

 

       กระบวนการเกิดขึ้นและดับไปแห่งทุกข์นี้ เป็นไปตามหลักการเช่นเดียวกันกับหลักการทางวิทยาศาสตร์ในปัจจุบันอันทันสมัยที่ต้องมีเหตุผล กล่าวคือมีเหตุ จึงเกิดผลขึ้น,  แต่ทางพุทธศาสนารู้และเรียกหลักการหรือข้อธรรมนี้ตั้งแต่ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้วว่า"อิทัปปัจจยตา"  อันมีพุทธดํารัสไว้ดังนี้

เมื่อเหตุนี้มี  ผลนี้จึงมี

เพราะเหตุนี้เกิดขึ้น  ผลนี้จึงเกิดขึ้น

เมื่อเหตุนี้ไม่มี  ผลนี้จึงไม่มี

เพราะเหตุนี้ดับ  ผลนี้จึงดับ

        กล่าวคือ สิ่งต่างๆที่เกิดหรือประกอบปรุงแต่งกันขึ้นนั้น(หรือก็คือสังขารทั้งหลายนั่นเอง)  ล้วนเกิดแต่มีเหตุปัจจัย   ไม่ใช่การเกิดขึ้นโดยไม่มีเหตุ   ไม่ใช่การเกิดขึ้นเพราะมันอยากจะเกิดเอง   ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมีสิ่งใดหรือผู้ใดมาดลบันดาล   ในขั้นแรกนี้เราต้องทำความเข้าใจในหลักการนี้อย่างมั่นคงเสียก่อนโดยการโยนิโสมนสิการ  มิฉนั้นเราจะทําความเข้าใจกระบวนการเกิดขึ้นและดับไปแห่งทุกข์นี้อย่างไม่แจ่มแจ้ง  ขอให้พิจารณาตรงนี้เป็นพิเศษ ไม่ใช่คิดว่าเข้าใจแล้วเลยคิดว่าไม่สําคัญ จึงไม่โยนิโสมนสิการพิจารณาให้เห็นอย่างลึกซึ้งแจ่มแจ้งที่ประกอบด้วยเหตุผล,   สังเกตุการดับว่าต้องดับที่เหตุ  ถ้าดับที่ผล  และเหตุยังอยู่ ผลก็จะเกิดขึ้นได้อีกเป็นธรรมดา

        และเรียกธรรมหรือสภาวธรรมหรือธรรมชาติ ของการเกิดแต่เหตุมาเป็นปัจจัยกันดังนี้ว่า ปฏิจจสมุปบันธรรม

        กระบวนการเกิดขึ้นแห่งทุกข์นี้  เกิดขึ้นเป็นวงจร เพราะการที่เกิดหมุนเวียนต่อเนื่องอย่างไม่รู้จักจบ ไม่รู้จักสิ้น  เพราะความต่อเนื่องสัมพันธ์ เป็นเหตุเป็นผลต่อกันและกันเป็นวงจร กล่าวคือ เหตุๆนี้เป็นปัจจัยจึงเกิดสิ่งหรือผลนี้ขึ้น  และสิ่งหรือผลที่เกิดขึ้นมานี้ ก็ไปเป็นเหตุปัจจัยยังให้เกิดอีกสิ่งหนึ่งหรือผลอีกสิ่งหนึ่งขึ้น  ดําเนินไปเช่นนี้เรื่อยๆ ( วงจร ) วงจรจึงดําเนินเคลื่อนหมุนเวียนไปได้อยู่ตลอดเวลา เป็นไปในลักษณะเกิดดับ..เกิดดับๆ หรือทำๆหยุดๆนั่นเอง  จึงหมุนเวียน ทะยอยกันเกิด ทะยอยกันดับ เสมือนหนึ่งลูกคลื่นในท้องสมุทร อันไม่มีวันหยุดหรือจบสิ้นลงได้   จึงเป็นกระแสธรรมชาติ หรือสภาวธรรมแห่งเหตุปัจจัยอันยังให้เกิดความทุกข์ขึ้นครอบงำไปทั่วทุกโลกธาตุ

         อนึ่งเป็นสิ่งที่ควรรู้อย่างยิ่ง เพราะเป็นสิ่งที่เนื่องสัมพันธ์กันอย่างยิ่งระหว่างกระบวนธรรมของชีวิตหรือขันธ์ ๕ และปฏิจจสมุปบาทธรรม   หรือกล่าวได้ว่าเป็นเรื่องเดียวกัน  กล่าวคือ ชีวิตย่อมดำเนินไปตาม กระบวนธรรมของขันธ์ ๕ อันไม่เป็นทุกข์๑.  หรือไม่ก็ต้องดำเนินไปในกระบวนธรรมปฏิจจสมุปบาทอันย่อมยังให้เกิดความเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายจากการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์อยู่เนืองๆ๑.  เป็นเพียง ๒ นี้เท่านั้นไม่เป็นอื่นไปได้.

         กล่าวคือ ขันธ์ทั้ง ๕ ที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดชีวิตขึ้นนั้น ยังมีการประสานทำงานกันในระหว่างขันธ์ทั้ง ๕ อย่างแนบแน่นอย่างกลมกลืนกันอยู่ตลอดเวลาที่ดำรงขันธ์หรือชีวิตอยู่อีกด้วย  เปรียบเสมือนดังรถยนต์ที่ย่อมประกอบด้วยขันธ์คือส่วนหรือกอง ซึ่งประกอบด้วย ส่วนตัวถัง๑ ส่วนเครื่องยนต์๑ ส่วนเครื่องส่งกำลัง๑ ส่วนระบบล้อ๑ ส่วนระบบขับเคลื่อน๑ ส่วนระบบเบรค๑ ส่วนระบบไฟ๑ ฯ. ที่เมื่อกองหรือขันธ์ของรถมาประชุมกันครบองค์ประกอบจนใช้งานได้ ก็เรียกกันโดยสมมติสัจจะกันว่ารถ   ซึ่งย่อมกินความว่า อุปกรณ์ทั้งปวงมาประกอบเป็นเหตุปัจจัยกันอันดุจดั่งขันธ์ แล้วย่อมต้องมีการทำงานประสานสอดคล้องเนื่องสัมพันธ์กันอีกด้วย จึงเรียกว่าได้ว่ารถได้  รถนั้นจึงอยู่ในอายุการใช้งาน จึงใช้ขับเคลื่อน จึงจะถือได้ว่ามีชีวิตครบองค์ประกอบของรถนั่นเอง

         เมื่อขันธ์ทั้ง ๕ ทำงานประสานกันอย่างดีงาม ไม่เกิดการแทรกแซงด้วยธรรมหรือสิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัว(กิเลส)ที่ไปร่วม เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์ขึ้น  ก็เกิดกระบวนธรรมที่เรียกว่า กระบวนธรรมของขันธ์ ๕  อันไม่เป็นทุกข์และจำเป็นในการดำรงชีวิตยิ่ง (มีรายละเอียดอยู่ในบท ขันธ์ ๕) และดำเนินอยู่ตลอดเวลาในการดำรงชีวิต  แต่ถ้าขาดสติให้อวิชชาร่วมกับอาสวะกิเลสเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารอันแฝงกิเลส  เมื่อดำเนินเป็นไปตามกระบวนธรรมของปฏิจจสมุปบาทธรรมเสียเมื่อใด  เมื่อนั้นย่อมเข้าสู่วังวนของความทุกข์  และส่วนใหญ่ของปุถุชนแล้ว ก็มักดำเนินชีวิตอยู่ในวงจรปฏิจจสมุปบาทนี้เป็นธรรมดาเสมอๆเนืองๆเพียงแต่เป็นไปโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา  เหตุเพราะนอกจากความทุกข์โดยตรงแล้ว ยังมีความทุกข์ที่ซ่อนตัวอยู่ในรูปของความสุขที่เกิดที่เสพอยู่ในทุกขณะนั่นเอง แล้วเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความทุกข์ขึ้นในที่สุด  ธรรมชาติของปุถุชนจึงก่อทุกข์กันอยู่ทุกๆขณะจิต เพียงแต่เป็นไปโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชาเท่านั้นเอง!

 อาสวะกิเลสเป็นเหตุปัจจัย ร่วมกับอวิชชา

กล่าวคือ

 ความจํา(สัญญา)ที่นอนเนื่องอยู่ในจิตและแฝงด้วยกิเลส อันเกิดแต่การสั่งสมอบรมมาแต่อดีต อันคืออาสวะกิเลส อันสามารถได้ผุดขึ้นมาได้ อีกทั้งกิเลสจร คือ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ จรมากระทบ

เป็นเหตุปัจจัยร่วมกับ อวิชชา ได้อีกด้วย

 การเกิดขึ้นของทุกข์  จึงดำเนินไปดังนี้

 อาสวะกิเลส ร่วมด้วย อวิชชาเป็นเหตุปัจจัย จึงมีสังขาร

กล่าวคือ

เพราะอวิชชาร่วมด้วยอาสวะกิเลสที่นอนเนื่อง ดังที่กล่าวข้างต้น

เป็นเหตุปัจจัย ทำให้เกิด

สังขาร-สิ่งปรุงแต่งต่างๆ ตามที่เคยได้สั่งสม อบรม ประพฤติ ปฏิบัติ มาแต่อดีตเก่าก่อนอีกด้วย

จึงย่อมแฝงด้วยกิเลส จึงเป็นสังขารกิเลส  เพราะเกิดขึ้นจากการปรุงแต่งด้วยอาสวะกิเลสและอวิชชานั่นเอง

        ด้วยอวิชชาความไม่รู้และไม่เข้าใจในทุกข์ จึงเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอาสวะกิเลสความจำที่นอนเนื่องอยู่ในจิตที่เมื่อกระทบกับอารมณ์  หรือผุดขึ้นมาเองตามธรรมของชีวิต(ธรรมชาติ)อย่างหนึ่งก็ตามที  จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังขาร ที่หมายถึงการกระทําต่างๆทั้งทางกาย ทางวาจา ทางใจ ตามความเคยชินที่ย่อมแฝงกิเลสตามที่ได้สั่งสม อบรม ประพฤติ เคยกระทําไว้(อาสวะกิเลส) ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปทั้งโดยรู้ตัว และไม่รู้ตัวด้วยเคยชินสั่งสมมา ดังเช่น การประพฤติ การปฏิบัติ  การกระทำ  ความเชื่อ  ความคิดต่างๆ  บุคคลิกต่างๆ  อันจักล้วนเป็นการกระทำหรือคิดที่แฝงกิเลสตามที่ได้กระทําสั่งสมไว้นั่นเอง(อาสวะกิเลส) อันเป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ของชีวิตอันยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง,  สังขารนี้จึงหมายถึง"สังขารขันธ์"ที่เกิดในปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้ และหมายเฉพาะสังขารขันธ์ที่จะก่อให้เกิดทุกข์ขึ้น เพราะความที่แฝงกิเลสมาแต่อาสวะกิเลสนั่นเอง  สังขารเหล่านี้จึงเป็นสังขารกิเลส หรืออกุศลสังขาร อยู่ในที,  เมื่อเกิดสังขารอันประกอบด้วยกิเลสร่วมแฝงอยู่ด้วยในทีแล้ว จึงเป็นเหตุปัจจัยขับเคลื่อนให้ดำเนินไปตามกระบวนธรรมโดยธรรมชาติต่อไป ดังนี้

แสดงเหตุปัจจัยนี้โดยละเอียด

 

 สังขารเป็นเหตุปัจจัย จึงมีวิญญาณ

กล่าวคือ

สังขารสภาพหรืออาการของจิตที่ยังให้เกิดการกระทำต่างๆทั้งทางกาย วาจา ใจ  ที่ย่อมแฝงกิเลสจากอาสวะกิเลสและอวิชชา

เป็นเหตุปัจจัย ทำให้เกิด

วิญญาณการรู้แจ้งในสังขารนั้นๆ หรือระบบประสาทสัมผัส จึงรับรู้ในสังขารที่เกิดมานั้นๆ  วิญญาณจึงเกิดการทำงานขึ้นตามหน้าที่

        สังขารเป็นปัจจัย วิญญาณจึงมี ตรงที่นี่แหละที่นักปฏิบัติชักจะเริ่มมีความสับสน งงงวยเกิดขึ้น และตีความกันไปในเรื่องของภพชาติหน้าขึ้น  วิญญาณอะไร?  ทําไมจึงเกิด?  ทําไมวิญญาณจึงไม่เกิดก่อน? ก็เกิดมาแล้วก็ต้องมีวิญญาณติดตัวอยู่แล้วนี่?  ในนามรูปก็มีแล้วนี่?  สารพัดสารเพให้งงงวย จนไม่สามารถก้าวต่อไปได้เพราะเกิดความสงสัย(วิจิกิจฉา),  จริงๆแล้วจึงไม่ได้หมายถึงวิญญาณที่ลอยละล่องหรือสิงสู่อยู่ในตัวตนในลักษณะเจตภูตหรือปฏิสนธิวิญญาณอย่างที่เราๆเข้าใจกันโดยทั่วๆไป และไปยึดติดยึดเชื่อกันโดยไม่รู้ตัว,  วิญญาณตรงนี้ พระองค์ทรงแจงกระบวนธรรมการทํางานของความทุกข์ ที่มีความเนื่องสัมพันธ์กันของกายและจิตโดยอาศัยวิญญาณ  ทรงชี้แสดงให้เห็นสภาวะที่เกิดๆดับๆ หรือทำๆหยุดๆ อันไม่เที่ยงของวิญญาณที่เกิดขึ้น,   วิญญาณในที่นี้ท่านหมายถึง วิญญาณ ๖ อันมี วิญญาณตา(จักขุวิญญาณ), วิญญาณหู(โสตวิญญาณ)...ฯ. ทั้ง๖ ที่เกิดขึ้น หรือพอกล่าวได้ว่า วิญญาณคือการรู้แจ้งในสิ่งที่อายตนะไปกระทบนั้นๆ  หรือก็คือระบบประสาทการรับรู้สัมผัสของร่างกายอันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ,  อันเกิดการทํางานขึ้นเนื่องจากสังขารที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วนั้น เป็นปัจจัยนั่นเอง,  และจําเป็นต้องเกิดขึ้นอันเป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ของชีวิตนั่นเอง

        วิญญาณในขันธ์ ๕ หรือปฏิจจสมุปบาทธรรม เป็นวิญญาณที่ต้องกล่าวกันอย่างโลกุตระหรือภาษาธรรม มิฉนั้นจะไม่สามารถเข้าใจในธรรมอย่างปรมัตถ์ได้เลย  กล่าวคือเมื่อพิจารณาธรรมในลักษณะธัมมวิจยะอันเป็นสัมมาทิฏฐิของอริยะ  วิญญาณจึงหมายถึง สิ่งที่ทำหน้าที่ในการสื่อสารเชื่อมสัมพันธ์กันภายในขันธ์ทั้ง ๕ หรือระบบประสาทต่างๆดังกล่าว  ดังนั้นวิญญาณ จึงมีชื่อเรียกของวิญญาณเฉพาะเจาะจงแตกต่างกันไปตามอายตนะภายในที่เป็นที่เกิด  กล่าวคือในผู้ที่ดำรงขันธ์หรือชีวิตอยู่ วิญญาณย่อมเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบกันของอายตนะภายนอกกับอายตนะภายใน เป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติ ที่เป็นไปเช่นนี้เองเป็นธรรมดา  เกิดขึ้นดังความใน มหาตัณหาสังขยสูตร ที่กล่าวไว้ในบท ปัจจัยเป็นเหตุเกิดแห่งวิญญาณ  ซึ่งกล่าวแสดงไว้อย่างแจ่มแจ้งว่า วิญญาณอาศัย"อายตนะภายใน"ใดเกิดขึ้น ก็ให้นับหรือเรียกว่าเป็น"วิญญาณของอายตนะนั้นๆ"   ซึ่งสรุปนำมาเขียนแสดงเป็นกระบวนธรรรมของการเกิดวิญญาณ ได้ดังนี้   (ชี้ที่ลูกศร มีคำอธิบายประกอบ)

อายตนะภายนอก อายตนะภายใน    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด วิญญาณ๖  เป็นไปดังนี้

รูป  ตา    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด จักษุวิญญาณ

เสียง  หู    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด โสตวิญญาณ

กลิ่น  จมูก    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด ฆนวิญญาณ

รส  ลิ้น    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด ชิวหาวิญญาณ

โผฏฐัพพะ  กาย    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด กายวิญญาณ

ธรรมารมณ์  ใจ    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด มโนวิญญาณ

        ในปฎิจจสมุปบาทธรรมนี้  องค์ธรรมสังขาร ก็ทำหน้าที่เหมือนดังเป็นอายตนะภายนอกนั่นเอง เช่นเป็น ธรรมารมณ์,  ส่วนอายตนะภายในหรือใจ ย่อมมีอยู่แล้วในผู้มีชีวิตหรือดำรงขันธ์อยู่นั่นเอง! เพียงแต่ยังทำงานไม่เต็มที่ร่วมกับอายตนะอื่นๆ

        เมื่อพิจารณาไปก็งงงวยอีก  เอ๊ะ! วิญญาณ ทำไมจึงไม่เกิดก่อนสังขาร  แล้วสังขารเกิดได้อย่างไร? ถ้าดังนั้นย้อนกลับไปโยนิโสมนสิการโดยละเอียดและแยบคายก็จะทราบคำตอบ ขยายความ

เมื่อมีวิญญาณ เกิดขึ้นมารู้ในสังขารที่ประกอบด้วยกิเลสข้างต้นแล้ว  กระบวนธรรมของจิตในการเกิดขึ้นของทุกข์ก็ดำเนินต่อไปตามธรรมหรือธรรมชาติหรือตามเหตุปัจจัยดังนี้

แสดงเหตุปัจจัยนี้โดยละเอียด

 

 วิญญาณเป็นเหตุปัจจัย  จึงมีนาม-รูป 

หรือ

วิญญาณประสาทสัมผัสหรือการรู้ในอารมณ์ เมื่อเกิดการกระทบกันแล้วของสังขารและใจอันย่อมมีอยู่แล้วโดยชีวิต จึงตื่นตัวขึ้นทําหน้าที่ของตน

จึงเป็นเหตุปัจจัยทำให้

นาม-รูปที่หมายถึงชีวิตที่เกิดขึ้นที่ครบองค์ชีวิต  จึงเกิดการทํางานขึ้นตามหน้าที่ตนทั้งระบบได้  เพราะมีเหตุปัจจัยครบ(ในกิจหรือสังขารที่เกิดขึ้นนั้นๆ)

         รูปนาม หมายถึง การประกอบกันของฝ่ายรูปหรือตัวตน และฝ่ายนามหรือจิตนั่นเอง จึงมีความหมายถึงขันธ์หรือชีวิต หรือฝ่ายรูปธรรมนั่นเอง,  ส่วน"นาม-รูป"ในปฏิจจสมุปบาทนี้ มีความหมายไปในลักษณะทางนามธรรม ที่หมายถึง การทำงานของชีวิตหรือรูปนาม จึงเกิดการทำงานต่อสังขารข้างต้นที่เกิดขึ้น จึงเป็นการกล่าวในลักษณะนามธรรมนั่นเอง

         กล่าวคือ เมื่อเกิดการรับรู้หรือวิญญาณ(การรู้แจ้งในอารมณ์) ในสิ่งที่มากระทบ, อันคือระบบประสาทการรับรู้นั่นเอง จึงเป็นปัจจัยให้นามรูปหรือชีวิตครบองค์ประกอบของการทํางานในเรื่องนั้นๆ   ตอนผู้เขียนโยนิโสมนสิการใหม่ๆในปฏิจจสมุปบาทนั้น รู้สึกสงสัยและหงุดหงิดมากในเรื่องนี้ เพราะพอจะรู้อย่างอวิชชาว่า คนเราเกิดแล้ว ก็ต้องมีชีวิต ก็ต้องมีรูปนามเกิดมาพร้อมอยู่ด้วยแล้ว เหตุไฉนจึงมีรูปนามหรือนาม-รูปเกิดขึ้นมาซ้ำๆซ้อนๆขึ้นมาอีก   เมื่อพิจารณาไปจึงเข้าใจ ท่านได้แยกการทํางานย่อยลงไปเฉพาะกิจ และเหตุที่ใช้นามนําหน้ารูปก็เพราะเป็นการพูดถึงการทํางาน   มิได้หมายถึงรูปนามที่เป็นรูปร่างตัวตน(รูปธรรม)หรือชีวิต   แต่เป็นการพิจารณาลึกลงไปในกิจหรืองานเฉพาะเรื่องแล้ว จะเห็นได้ว่าวิญญาณในเรื่องหรือกิจนั้นๆเพิ่งจะเกิดขึ้นตามสิ่งแวดล้อมที่มากระทบ  อุปมาได้ดั่งรถยนต์  ท่านสังเกตรถยนต์ดู มีอุปกรณ์พร้อมสรรพ เป็นรถยนต์ที่แลดูสมบูรณ์(อุปมาดั่งคนที่มีรูปนามพร้อมเช่นกัน) พร้อมที่จะทํางาน  แต่มันจะโลดแล่นไปยังสถานที่ที่เราต้องการจะไปหาได้ไม่  ถ้าขาดองค์ประกอบคือพลขับอันคือวิญญาณที่จะเป็นผู้พาไปสู่จุดหมาย(กิจนั้นๆ)  ดังนั้นเมื่อวิญญาณเกิดขึ้นจึงทำให้นาม-รูปครบองค์ ตื่นตัวพร้อมการทำงานอย่างสมบูรณ์  จึงเหมือนดั่งรถยนต์ที่พร้อมบริบูรณ์ พร้อมพลขับ จึงเกิดการขับโลดแล่นไปสู่จุดหมายได้ตามหน้าที่แห่งรถยนต์อย่างครบองค์โดยสมบูรณ์,   ท่านจึงตรัสไว้ว่า วิญญาณ เป็นปัจจัยจึงมี นาม-รูป อันคือ ครบองค์การทำงานของชีวิต,  เมื่อนาม-รูป ครบองค์หรือพร้อมการทำงานในสังขารกิเลสหรือกิจนั้นๆอย่างเต็มตัวแล้ว  จึงเป็นเหตุปัจจัยให้กระบวนธรรมดำเนินต่อไป ดังนี้

แสดงเหตุปัจจัยนี้โดยละเอียด

 

 นาม-รูปเป็นเหตุปัจจัย จึงมีสฬายตนะ 

หรือ

ระบบชีวิต เกิดการทํางานเพราะมีเหตุปัจจัยครบ

เป็นปัจจัยจึงทําให้

ทวารทั้ง ๖ หรือระบบรับความรู้สึกต่างๆ หรือสฬายตนะตื่นตัว เกิดความพร้อมทำงานในหน้าที่ ในกิจการงานนั้นๆด้วย

        เพราะนาม-รูปที่ครบองค์ประกอบจึงตื่นตัวทํางานได้เกิดขึ้นแล้ว  อันย่อมทําให้อุปกรณ์หรืออวัยวะส่วนต่างๆ คืออวัยวะส่วนรับรู้ความรู้สึกต่ออารมณ์หรือสิ่งแวดล้อมอันมากระทบนั้นๆ ที่เรียกกันว่าอายตนะภายในหรือทวาร ๖ พร้อมในการทํางานตื่นตัวไปด้วย เพราะอายตนะภายในหรือทวาร ๖ นั้นต่างล้วนอิงอาศัยอยู่ในนามรูปหรือชีวิตนี้นี่เอง  จึงย่อมตื่นตัวพร้อมทำหน้าที่แห่งตนในกิจนั้นๆ ที่เนื่องสัมพันธ์กับตน  อันมี ๖  คือ

        ตา - จึงพร้อมรับรู้การกระทบกับรูป

        หู - จึงพร้อมรับรู้การกระทบกับเสียง

        จมูก - จึงพร้อมรับรู้การกระทบกับกลิ่น

        ลิ้น - จึงพร้อมรับรู้การกระทบกับรส

        กาย - จึงพร้อมรับรู้การกระทบกับสัมผัสทางกาย (โผฏฐัพพะ)

        ใจ - จึงพร้อมรับรู้การกระทบกับความคิด ความนึก (ธรรมารมณ์)ที่เกี่ยวเนื่องพัวพันในกิจนี้

        ถ้าจะเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมหรือเป็นไปในลักษณะบุคคลาธิษฐานเป็นภาพพจน์ขึ้น  ก็อุปมาได้ดั่งเบรคของรถยนต์ว่าเป็นอายตนะภายในอันหนึ่ง  รถยนต์เมื่อจอดอยู่กับที่ก็เหมือนคนที่ตามปกติแม้มีรูปนามครบถ้วนบริบูรณ์อยู่นั่นเอง แต่เมื่อยังไม่ได้ทำงานตามหน้าที่อย่างครบองค์ประกอบ กล่าวคือเหมือนรถยนต์ที่ยังไม่มีคนขับ(วิญญาณ)เกิดขึ้นนั่นเอง เมื่อยังไม่ได้ออกไปขับโลดแล่นนั้น  เมื่อเหยียบเบรคลงไปก็ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเป็นผลออกมา  แต่เมื่อมีพลขับหรือวิญญาณเกิดขึ้น เพื่อที่จะทำหน้าที่เป็นผู้ขับเคลื่อนยานพาหนะไปสู่จุดหมาย  รถยนต์ก็เกิดการทำงานที่ครบถ้วนบริบูรณ์  สามารถขับเคลื่อนไปตามที่ต่างดังประสงค์ ย่อมครบองค์บริบูรณ์ของรถ คือไว้ขับโลดแล่นไปสู่จุดหมายต่างๆตามต้องการ   และเมื่อท่านเหยียบเบรคอันเปรียบได้ดั่งอายตนะนั่นเองให้ทำงาน  เบรคนั้นอันเป็นส่วนหนึ่งของรถยนต์เหมือนดั่งอายตนะ ก็เกิดการทำงานตามหน้าที่ของเบรคอย่างสมบูรณ์ คือหยุดรถได้ตามหน้าที่แห่งตนนั่นเอง

        สฬายตนะในปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นไปในลักษณะเดียวกับนาม-รูปนั่นเอง ที่กล่าวถึง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ในลักษณะของนามธรรม หรือการครบองค์ในการประกอบกิจการงานหรือหน้าที่นั้นๆที่เกี่ยวเนื่องกับสังขารที่เกิดขึ้นมาข้างต้น,  ส่วนอายตนะภายในที่มีความหมายเหมือนกันว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นไปในลักษณะเป็นอวัยวะหนึ่งๆของร่างกาย คือทวารที่หมายถึง ประตูที่ใช้เชื่อมต่อสัมพันธ์กับโลกภายนอกทั้ง ๖

แสดงเหตุปัจจัยนี้โดยละเอียด

 

 สฬายตนะเป็นเหตุปัจจัย จึงมีผัสสะ 

หรือ

อายตนะภายในหรืออวัยวะที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารหรือรับรู้ในการกระทบกับอายตนะภายนอก ได้ตื่นตัวพร้อมทำงาน

จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิด

การสัมผัส(ผัสสะ) การประจวบเหมาะให้ทำหน้าที่ต่างๆของตน

        เมื่อกายและบริวารทั้ง ๖ ทั้งหลายตื่นตัวหรือทํางานอย่างสมบูรณ์ทั่วพร้อม จึงย่อมเกิดการรับรู้ในสังขารข้างต้นอันเป็นสิ่งที่มากระทบ ดังเช่น ความคิดนึก(ธรรมารมณ์)  ดังนั้นจึงเกิดการสื่อสารอย่างครบถ้วนทางกายภาพ    ดังพุทธพจน์ที่ท่านตรัสไว้ว่าเกี่ยวกับ ผัสสะ ไว้ดังนี้

 บุคคลอาศัยจักษุและรูป  เกิดจักษุวิญญาณ  ความประจวบกันของธรรมทั้ง๓ เป็นผัสสะ

        อันพอที่จะนำมาเขียนเป็นสมการธรรม เพื่อให้แลดูเข้าใจได้ง่ายๆ เพื่อการโยนิโสมนสิการได้ดังนี้   (ชี้ที่ลูกศร มีคำอธิบายประกอบ)

        ตา    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป รูป    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒  ย่อมยังให้เกิด   จักษุวิญญาณ   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น เรียกว่า ผัสสะ  ผัสสะ

        ดังนั้นสังขารในปฏิจจสมุปบาทธรรม ดังเช่น ความคิดนึกหรือธรรมารมณ์ อย่างหนึ่งนั่นเอง แต่เป็นความคิดนึกชนิดที่เกิดมาจากสัญญาความจําชนิดที่ทําให้จิตขุ่นมัว(อาสวะกิเลส) อันเมื่อเกิดแล้วย่อมแฝงปัจจัยให้เกิดทุกข์   จึงเกิดขึ้นครบองค์ประกอบของการสื่อสารอย่างครบถ้วนทางกายภาพ เช่นกัน อันเขียนเป็นสมการธรรมหรือกระบวนธรรมให้พิจารณาได้ง่ายขึ้น ดังนี้

        ธรรมารมณ์(สังขาร)    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป ใจ    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒  ย่อมยังให้เกิด   วิญญาณของใจหรือมโนวิญญาณ   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น เรียกว่า ผัสสะ  ผัสสะ  หรือเขียนดังนี้ว่า

        ธรรมารมณ์(สังขาร)    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป ใจ    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒  ย่อมยังให้เกิด   มโนวิญญาณ   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น เรียกว่า ผัสสะ  ผัสสะ

นอกจากทางสังขารอันเกิดแต่อาสวะกิเลสแล้ว  สฬายตนะหรือเหล่าอายตนะภายในนั้น ต้องทำหน้าที่รับการกระทบสัมผัส(ผัสสะ)การรับรู้ต่างๆผ่าน ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันมิได้สังขารหรือปรุงแต่งขึ้นเอง แต่เกิดจากตา หู จมูก ลิ้น กาย นั่นแหละที่สอดส่ายไปตามลีลาชีวิตออกไปกระทบสัมผัสในสิ่งต่างๆเป็นธรรมดาด้วยเช่นกัน เพราะเป็นกระบวนการธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตธรรมดาๆ  และเมื่อเกิดการผัสสะกันก็ย่อมมีวิญญาณการรับรู้นั้นๆเกิดขึ้นเป็นธรรมดาด้วยเช่นกัน  แต่การผัสสะของอายตนะเองเหล่านี้  อาจก่อทุกข์หรือไม่ก่อทุกข์ก็ได้  ขึ้นกับเราเองเป็นสําคัญว่ามีวิชชาหรืออวิชชา,   จึงพอนํามาเขียนเป็นกระบวนธรรม เพียงเพื่อการเตรียมไว้เพื่อนำไปศึกษาในเรื่องขันธ์ ๕ ได้อีก ดังนี้

    รูป    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป ตา    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒  ย่อมยังให้เกิด   วิญญาณ   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น เรียกว่า ผัสสะ  ผัสสะ

    เสียง    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป หู    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒  ย่อมยังให้เกิด   วิญญาณ   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น เรียกว่า ผัสสะ  ผัสสะ

    กลิ่น    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป จมูก    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒  ย่อมยังให้เกิด   วิญญาณ   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น เรียกว่า ผัสสะ  ผัสสะ

    รส    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป ลิ้น    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒  ย่อมยังให้เกิด   วิญญาณ   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น เรียกว่า ผัสสะ  ผัสสะ

    สัมผัส    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป กาย    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒  ย่อมยังให้เกิด   วิญญาณ   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น เรียกว่า ผัสสะ  ผัสสะ

แสดงเหตุปัจจัยนี้โดยละเอียด

 

 ผัสสะเป็นเหตุปัจจัย จึงมีเวทนา 

หรือ

การประจวบกันของธรรมทั้ง ๓ คือการกระทบสัมผัสกันครบองค์(เป็นองค์ประกอบครบให้ทำงานตามหน้าที่ของตน)

เป็นปัจจัย ทําให้

เกิดความรู้สึกรับรู้ในอารมณ์หรือสิ่งที่กระทบสัมผัสนั้นๆหรือเสวยอารมณ์ในสิ่งที่กระทบนั้น

        เมื่อเกิดการผัสสะการกระทบสัมผัสกันแล้วอย่างสมบูรณ์ ย่อมต้องเกิดเวทนาการเสวยอารมณ์ อันคือความรู้สึกรับรู้ในสิ่งที่มาผัสสะนั้นพร้อมทั้งความจําได้ในสิ่งที่มาผัสสะนั้นอันเกิดแต่สัญญาจํา(อาสวะกิเลสที่นอนเนื่องอยู่คือสัญญาจําชนิดแฝงกิเลสนั่นเอง)  จึงเกิดเป็นความรู้สึกในการรับรู้ ชนิดต่างๆขึ้นมาได้คือ ชอบใจ สบายใจ ถูกใจในสิ่งที่มาผัสสะนั้น(สุขเวทนา),  ไม่ชอบใจ ไม่สบายใจ ไม่ถูกใจในสิ่งที่มาผัสสะนั้น(ทุกขเวทนา),  หรือเกิดความรู้สึกไม่สุข ไม่ทุกข์ เฉยๆไม่มีความรู้สึกสบายใจหรือไม่สบายใจแต่อย่างใด(อทุกขมสุข) อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นเป็นธรรมดา,  จึงเกิดเป็นเวทนาชนิดต่างๆก็จากสัญญาจําได้ ในสิ่งที่มากระทบผัสสะอันได้สั่งสมหมักหมมไว้นั้นนั่นเอง กล่าวคือสัญญาจําได้ส่วนนี้ ก็คือจากสิ่งที่เรียกกันว่าอาสวะกิเลสนั่นเอง,  เวทนาจึงเป็นองค์ธรรมที่เป็นสภาวธรรมชาติ จึงเป็นไปตามธรรมชาติของกระบวนการรับรู้อันเป็นธรรมดาของชีวิต  แต่สามารถเป็นเหตุปัจจัยที่สําคัญประการหนึ่งที่ทำให้เกิดเป็นทุกข์ได้เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจในสภาวะธรรม(อวิชชา)  จึงปล่อยให้เป็นไปโดยไม่รู้และไม่มีสติรู้ตัว

กระบวนธรรมที่เกิดขึ้น จึงเป็นไปดังนี้

ธรรมารมณ(สังขาร)    กระทบกับ   ใจ    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒  ย่อมยังให้เกิด   มโนวิญญาณ   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น เรียกว่า ผัสสะ  ผัสสะ   เป็นปัจจัย ให้เกิด สัญญาจํา(จากอาสวะกิเลส)    เป็นปัจจัย จึงมี   เวทนาเป็นสุขเวทนา, ทุกขเวทนา, ไม่สุขไม่ทุกข์ อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นแน่นอน

หรือเขียนแสดงโดยละเอียดขึ้น ได้ดังนี้

อาสวะกิเลสที่พรั่งพร้อมด้วยอวิชชา...ดังนั้นเมื่อเกิดธรรมารมณ์(สังขาร)    กระทบกับ   ใจ    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒  ย่อมยังให้เกิด   มโนวิญญาณ   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น เรียกว่า ผัสสะ  ผัสสะ   เป็นปัจจัย ให้เกิด สัญญาจํา(อาสวะกิเลสข้างต้นเกิดทำงานหรือผุดจำขึ้นได้นั่นเอง)    เป็นปัจจัย จึงมี   เวทนา

แสดงเหตุปัจจัยนี้โดยละเอียด

 

 เวทนาเป็นเหตุปัจจัย จึงมีตัณหา

หรือ

"ความรู้สึกที่เกิดขึ้น จากการรับรู้ในอารมณ์หรือในสิ่งที่ผัสสะนั้นๆหรือการเสวยอารมณ์"

เป็นปัจจัยทําให้

เกิดตัณหาอันเป็นสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศล ที่เกิดอาการของจิตที่มีความรู้สึกทะยานอยาก(ไม่อยาก)หรือความปรารถนา จาก"ความรู้สึกรับรู้ในรส(เวทนา)"ที่เกิดขึ้นนั้นๆ

         สิ่งที่ควรรู้ไว้อย่างหนึ่งในการโยนิโสมนสิการในปฏิจจสมุปบาทธรรมคือ เป็นธรรมหรือธรรมชาติอย่างหนึ่งของ เวทนาที่เกิดขึ้นในปฏิจจสมุปบาทธรรมนั้น ล้วนเป็นเวทนาชนิดมีอามิส เพราะล้วนเกิดมาแต่องค์ธรรมสังขารที่สั่งสมไว้ จีงย่อมแฝงกิเลสอันเกิดมาแต่อาสวะกิเลสและอวิชชานั่นเอง ดังนั้นเมื่อเกิดเวทนาการรับรู้และจําได้ในสิ่งที่ผัสสะขึ้นแล้ว จิตย่อมเกิดแรงปฏิกริยาตอบโต้ต่อความรู้สึกที่รับรู้ที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นตัณหาหรือความปรารถนานั่นเอง กล่าวคือย่อมเกิดความรู้สึกอยาก หรือไม่อยากคือตัณหาในเวทนานั้นๆขึ้นมา จึงเสมือนหนึ่งกฎธรรมชาติดังกฏทางฟิสิคส์เรื่องแรงกริยาและแรงปฏิกริยา(Action & Reaction)นั่นเอง เหมือนการปาลูกบอลล์ ใส่กําแพงย่อมต้องมีแรงปฏิกริยาเด้งกลับมาเป็นธรรมดาหรือโดยธรรมชาติ หรือดั่งมือไปถูกของร้อนๆแล้วเกิดแรงปฏิกริยาสะดุ้งโดยธรรมชาติ  อันสามารถกล่าวได้ว่าเป็นสภาวธรรมของปุถุชนผู้มีชีวิตอันย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา,  ตัณหาจึงเป็นสภาวธรรมที่ก่อโทษก่อทุกข์ให้แก่ปุถุชนเป็นธรรมดาเพราะความที่ไม่มีวิชชา จึงย่อมไม่รู้ และไม่มีสติเท่าทันตามความเป็นจริงของการเกิดทุกข์และการดับทุกข์ หรือที่พระพุทธองค์ตรัสเรียกว่าอวิชชา

         เหตุที่ตัณหาต้องเกิดมาร่วมด้วยกับการเกิดขึ้นของทุกข์ในปฏิจจสมุปบาทธรรม ก็เพราะว่า เวทนาที่เกิดขึ้นในปฏิจจสมุปบาทธรรมนั้น ล้วนเป็นเวทนามีอามิสเพราะล้วนเกิดมาแต่สังขารที่ย่อมแฝงกิเลสอันเกิดมาแต่อาสวะกิเลสและอวิชชานั่นเอง   และตัณหาในปฏิจจสมุปบาท ที่เป็นเหตุที่ก่อให้เกิดทุกข์คืออุปาทานขันธ์ขึ้นนั้น  ครอบคลุมหมายถึง สังขารฝ่ายอกุศลทั้งหลายด้วย เช่น โทสะ โมหะ โลภะ ฯ. เพราะล้วนเกิดมาจากตัณหาเป็นเหตุทั้งสิ้น ฯ. ดังเช่น โทสะ ความโกรธ ก็เกิดจากไม่เป็นไปตามตัณหาความทะยานอยาก จึงรู้สึกขัดข้อง ขุ่นเคืองใจ

แสดงเหตุปัจจัยนี้โดยละเอียด

 

 ตัณหาเป็นเหตุปัจจัย จึงมีอุปาทาน

หรือ

ตัณหาความปรารถนาหรือความรู้สึกทะยานอยาก(ไม่อยาก)จาก "ความรู้สึกรับรู้รสสัมผัส(เวทนา)" ที่เกิดขึ้นนั้น

เป็นปัจจัยทำให้เกิด

อุปาทานความยึดมั่นหมายมั่นในตัณหาหรือในความปรารถนาของตัวของตนที่เกิดขึ้นนั้น หรือเกิดสัญเจตนาความจงใจหรือความคิดอ่านให้กระทำการต่างๆ(กรรม)ตามกิเลสตนขึ้น

        เมื่อมีความปรารถนาหรือความทะยานอยากหรือไม่อยากในสิ่งใดแล้ว จิตจักหยุดนิ่งอยู่เฉยๆได้อย่างไร มันยังเป็นเพียงนามธรรมเป็นเพียงความรู้สึก ยังไม่สัมฤทธิ์ผลเป็นตัวเป็นตนดังที่ยึดหมายไว้ขึ้นมาจริง เพื่อให้บรรลุถึงจุดประสงค์หรือสัมฤทธิ์ผลดังกล่าว โดยธรรมชาติของจิต(เป็นธรรมชาติเช่นกัน แต่เป็นชนิดก่อให้เกิดทุกข์)จึงเกิดเจตนา(สัญเจตนา)ขึ้นกระตุ้นเร้าทุกวิถีทาง แม้แต่สร้างมายาจิตต่างๆนาๆขึ้นมา ก็เพื่อพยายามให้ได้ในสิ่งที่ปรารถนาหรือทะยานอยากนั้นๆ หรือกระตุ้นให้ผลักไสในสิ่งที่ไม่อยากชอบนั้นๆ  โดยมีเหยื่อล่อที่สามารถหลอกล่อมนุษย์ชาติได้มาตลอดทุกยุคทุกกาลสมัย คือให้ผลตอบแทนเป็น"ความพึงพอใจหรือสุขของตัวตนที่จะได้รับ"   ดังนั้นจึงเป็นความพึงพอใจหรือสุขที่แฝงไปด้วยกำลังของตัณหาความทะยานอยากหรือความปรารถนาของตัวของตนล้วนสิ้นนั่นเอง   ดังนั้นการกระทำใดไม่ว่าทางกาย วาจา หรือใจ จึงล้วนแอบมุ่งหวังอยู่ที่เพื่อตอบสนองตัวตนของตนเป็นที่สุดอยู่ในที โดยไม่รู้ตัว

แสดงเหตุปัจจัยนี้โดยละเอียด

 

 อุปาทานเป็นเหตุปัจจัย จึงมีภพ 

หรือ

อุปาทานความยึดมั่นหมายมั่นหรือเจตนาให้เป็นไปตามความปรารถนาความต้องการของตัวของตนหรือกิเลสตน

จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด

ภพ สภาวะหรือที่อยู่ที่อาศัยของจิต หรือการตกลงใจของจิตในขณะนั้น  อันเป็นไปตามกำลังหรือเจตนาของอุปาทาน

          เมื่อเกิดการยึดมั่นหมายมั่นหรือสัญเจตนาด้วยกิเลสที่จะกระทำใดๆเพื่อให้เกิดความพึงพอใจเพื่อสนองความปรารถนาของตัวตน คือให้เป็นไปดั่งตัณหาที่เกิดขึ้น  จึงเกิดภพที่หมายถึงภพของจิต, ที่อาศัยของจิต, จึงหมายถึง สภาวะของจิตภายใต้กำลังของอุปาทานที่เกิดขึ้นนั้น นั่นเอง จึงมีความหมายว่า สภาวะต่างๆของจิตหรือภพจิตในขณะนั้นอันเป็นไปหรืออยู่ในการควบคุมหรืออิทธิพลของอุปาทานนั่นเอง  ดังนั้นภพจึงหมายความถึง สภาวะของจิตหรือสภาพปรุงแต่งการกระทำต่างๆของจิต ให้ตกลงปลงใจของจิตในขณะนั้น โดยทั่วไปที่ย่อมต้องถูกครอบงำให้เป็นไปตามกระแสของความยึดมั่นด้วยกิเลสเพื่อความพึงพอใจของตัวตนเป็นสำคัญที่เกิดขึ้น หรือมโนสังขารแฝงด้วยกิเลสนั่นเอง

           ภพในปฏิจจสมุปบาทธรรม ถ้ากล่าวอย่างโลกุตระหรือภาษาธรรมดังเรื่องของวิญญาณ ย่อมหมายถึงภพจิต หรือภพของจิต ที่หมายถึงสภาวะของจิตในช่วงขณะหนึ่งๆ  ภพต่างๆก็คือ สังขารขันธ์ต่างๆที่ถูกครอบงำหรือมีสัญเจตนาแล้วนั่นเอง คือสภาพของใจ หรือสภาพปรุงแต่งใจ หรืออารมณ์ ในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆนั่นเอง เช่น ราคะ โทสะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯ. ในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ เกิดความจงใจที่จะกระทำคือมโนสังขารขึ้นนั่นเอง  แบ่งตามสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นเป็น ๓  อันมี

           ๑. กามภพ  ในปฏิจจสมุปบาทจึงหมายถึง สภาวะจิตภายใต้อำนาจของอุปาทานที่หมายมั่นเกี่ยวข้องอยู่ในกาม เกี่ยวข้องอยู่กับทางโลก จึงครอบคลุมทุกเรื่องที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับทางโลก ในรูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ทั้ง ๕,  คือสภาพของจิตทีมี่ทะยานอยากในกาม คือสภาวะยึดมั่นอยากได้หรืออาจไม่อยากได้ในอารมณ์อันคือ รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ  กล่าวคือเกิดจากกามตัณหาดังที่กล่าวข้างต้น

           ๒. รูปภพ จึงหมายถึง สภาวะจิตภายใต้อุปาทานของผู้ที่เข้าถึงรูปฌาน  ที่ครอบคลุมแม้ในวิถีจิตขณะดำเนินชีวิตเป็นปกติแต่ยังอยู่ภายใต้อำนาจบางส่วนของรูปฌานอยู่  กล่าวคือเกิดจากภวตัณหา,  หรือหมายถึงสภาวะจิตที่ทะยากอยากในภพหรือสภาพของความอยากในทางรุปอันวิจิตร จึงอยากเป็นนั่นเป็นนี่

           ๓. อรูปภพ จึงหมายถึง สภาวะจิตภายใต้อุปาทานของผู้ที่เข้าถึงอรูปฌาน  แม้ในวิถีจิต,  หรือความทะยานอยากในอรูปอันวิจิตร เช่น ชื่อเสียง เกียรติยศ ฯลฯ.

           อนึ่งพึงพิจารณาด้วยว่า เมื่อเกิดภพขึ้นแล้ว ย่อมหมายถึงการตกลงปลงจิตหรือสภาพที่ปรุงแต่งการกระทำทางใจ(มโนสังขาร)ให้ดำเนินอยู่ในเส้นทางของการเกิดขึ้นแห่งความทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งในเบื้องหน้า กล่าวคือกามภพและแม้แต่รูปภพหรืออรูปภพที่แม้เป็นสุขอันประณีตยิ่งแต่เมื่อเกิดจากตัณหา อุปาทานเป็นเหตุเป็นปัจจัย กล่าวคือเกิดการติดเพลินหรือนันทิในความสุข ความสงบ ความสบาย หรือในองค์ฌานต่างๆ อันเป็นไปโดยไม่รู้ตัวนั่นเอง ย่อมหมายถึงเมื่อเป็นนันทิแล้ว ย่อมเป็นการดำเนินไปสู่เส้นทางของการเกิดขึ้นของความทุกข์ในที่สุด

            จึงกล่าวได้ว่า ภพที่ให้ความสุขยิ่งแม้ในขณะนั้นๆ ล้วนเป็นมายาจิตที่ล่อลวงปุถุชนที่สำคัญยิ่ง  จึงพากันถูกล่อลวงไปเสพเพลินโดยไม่รู้ตัวและไม่รู้โทษที่จักเกิดขึ้นในภายหน้าด้วยอวิชชา

แสดงเหตุปัจจัยนี้โดยละเอียด

 

ภพเป็นเหตุปัจจัย จึงมีชาติ

หรือ

ภพเกิดสภาวะหรือการตกลงปลงใจของจิตแล้ว

จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด

ชาติการเกิดขึ้นของทุกข์ ได้เริ่มขึ้นแล้ว

         เมื่อจิตได้คูหาหรือสถานที่ หรือสภาวะจิตที่ได้ปรุงแต่งจิตจนตกลงปลงใจตามกระแสอุปาทานแล้ว  ดังนั้นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นแก่จิตต่อๆไปจึงย่อมได้รับอิทธิพลหรือถูกครอบงำให้เป็นไปตามภพที่บังเกิดขึ้น ณ บัดนี้   ลองพิจารณาเปรียบเทียบเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้นดังเช่น มนุษย์ที่เกิดมาในภพคนไทย ย่อมได้รับอิทธิพลของความเป็นคนไทยโดยอัติโนมัติจะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม คือเป็นอยู่อย่างไทยๆ  คิดอย่างไทยๆ  กินอาหารอย่างไทยๆ  วัฒนธรรมแบบไทยๆ ฯลฯ. เป็นเยี่ยงนี้จนกว่าจักแตกดับไป,  จิตก็เป็นเฉกเช่นนั้น สิ่งที่เกิดมาในภพจิตนั้นๆหรือขันธ์ต่างๆที่จะบังเกิดขึ้น จึงย่อมต้องเป็นไปตามกำลังของภพที่ครอบงำอยู่ ณ.ขณะนั้นและมักโดยไม่รู้ตัว  ดังนั้นสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในภพนั้น จึงล้วนได้รับอิทธิพลหรือครอบงำให้โน้มเอียงเป็นไปตามภพที่เกิดขึ้น ณ.ขณะนั้นๆล้วนสิ้นเช่นกัน  ความคิด การกระทำต่างๆจึงเป็นไปตามกำลังของภพ อันเกิดแต่อุปาทานเป็นปัจจัยนั่นเอง  

          ภพต่างๆเหล่านี้ที่เกิดขึ้น เช่น ภพที่เป็นสุข  ภพที่เป็นทุกข์  ภพที่เกิดเป็นคนไทย  ภพของความเป็นแม่  ภพของความเป็นลูก  ฯลฯ. อันล้วนแล้วแต่เป็นส่วนหนึ่งหรือภพย่อยๆของกามภพอันคือภพที่ยังเนื่องอยู่ในกามหรือยังเนื่องอยู่กับทางโลกนั่นเอง,  และยังมีรูปภพ และอรูปภพอีกด้วย

          ดังนั้นขันธ์หรือก็คือระบบชีวิตใดๆที่เกิดสืบต่อเนื่องจากองค์ธรรมเวทนาในปฏิจจสมุปบาทธรรม  แต่มีตัณหา อุปาทาน ภพ มาเกิดแทรกแซงเสีย(ดูกระบวนธรรมด้านล่างประกอบการพิจารณา)  ก็จะดำเนินเกิดสืบต่อเนื่องที่องค์ธรรมชาตินี้นี่เอง หรือก็คือการเริ่มเกิดขึ้นของทุกข์  (ดูความหมายของคำว่า ชาติ โดยละเอียด) แต่ขันธ์หรือระบบชีวิตที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่องจากองค์ธรรมเวทนามีอามิสเหล่านี้ ย่อมล้วนถูกครอบงำล้วนสิ้นไปตามภพหรือตัณหาอุปาทานแล้วนั่นเอง  ดังนั้นความคิดนึกต่างๆหรือ"มโนกรรม"ที่ย่อมเกิดขึ้นในชาติ จึงล้วนเป็นมโนกรรม อันเป็นสังขารขันธ์แต่ย่อมแฝงอยู่ในอำนาจของตัณหา   จึงเป็นสังขารขันธ์(มโนกรรม)ที่ถูกครอบงำด้วยอุปาทาน ที่เรียกว่า สังขารูปาทานขันธ์

ธรรมารมณ์(สังขาร)    กระทบกัน วิญญาณ ใจ(สฬายตนะ)   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ ข้างต้น เรียกว่า ผัสสะ  ผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมี   เวทนา    กระทบกัน ตัณหา  อุปาทาน  ภพ  ชาติ (คือเกิดมโนกรรมหรือความนึกคิดต่างๆ ที่ล้วนถูกครอบงำด้วยกำลังของอุปาทานแล้ว จึงก่อให้เกิดความยึดมั่นหมายมั่นจนเกิดเป็นทุกข์ ) คือเกิดมโนกรรมหรือความนึกคิดที่อยู่ภายใต้อำนาจอุปาทานอันแรงกล้า อันเป็นสังขารขันธ์แต่เป็น"สังขารูปาทานขันธ์" คือสังขารขันธ์ หรืออาการทางใจ หรืออารมณ์ทางโลกต่างๆ ที่จะไปปรุงแต่งจิตให้เกิดเจตนาหรือความคิดอ่านต่างๆ ให้เกิดการกระทำต่างๆทั้งทางกาย วาจา ใจ แต่ทำให้เกิดเป็นไปตามอุปาทานที่ครอบงำอยู่นั่นเอง

          ถ้าไม่เป็นไปตามปรารถนา หรือไม่เป็นไปตามตัณหาอุปาทานที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เกิดสิ่งที่เราเรียกว่า ทุกข์อันเร่าร้อนขึ้นทันที  และยังไม่จบสิ้นเพียงเท่านั้น ยิ่งนำเอามโนกรรมความคิดนึกที่ย่อมถูกครอบงำด้วยอุปาทานนี้ ที่เกิดขึ้นมาข้างต้นนั้น  มาวนเวียนปรุงแต่งจึงยิ่งเร่าร้อนเผาลนยิ่งๆขึ้นไปในองค์ธรรม"ชรา"  ที่ครานี้เปรียบได้ดั่งนรกอันร้อนรุ่มเผาลนกระวนกระวาย  อันล้วนเป็นไปโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา  จึงวนเวียนเป็นวงจรอุบาทว์ได้แสนยาวนาน

           และถึงแม้ว่าได้เป็นไปตามปรารถนาตามตัณหา อุปาทานที่เกิดขึ้นก็ตาม แต่ด้วยความไม่รู้ จึงเกิดการปรุงแต่งวนเวียนขึ้นโดยไม่รู้และไม่รู้ตัวในองค์ธรรมชรา จึงเกิดทุกข์ขึ้นเป็นที่สุดเช่นกัน

แสดงเหตุปัจจัยนี้โดยละเอียด

 ชาติเป็นเหตุปัจจัย จึงมีชรา-มรณะ พรั่งพร้อมด้วย โสกะ,ปริเทวะ,ทุกข์,โทมนัส,อุปายาส หรืออาสวะกิเลส 

หรือ

ชาติการเกิดขึ้นของทุกข์

เป็นเหตุปัจจัยจึงมี

ชรา-มรณะ พรั่งพร้อมด้วย โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส (อาสวะกิเลส)

         ที่ชรานี้นี่เอง ที่ล้วนเป็นทุกข์ คือ เป็นที่เกิดของอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ ที่เกิดในลักษณะอย่างวนเวียนเป็นวงจร และแสนเร่าร้อน และวนเวียนได้อย่างไม่รู้จบ

         เมื่อชาติคือเมื่อเกิดมโนกรรมหรือความนึกคิดต่างๆ ซึ่งอยู่ในอำนาจของอุปาทานขึ้นแล้ว การนึกคิด,การกระทำต่างๆที่จักเกิดต่อเนื่องไปย่อมดำเนินไปตามอำนาจของอุปาทาน ความยึดมั่นด้วยกิเลสเราด้วยทั้งสิ้น กล่าวได้ว่า กระบวนจิตทั้งหมดที่เกิดขึ้นต่อเนื่องไปจากนี้นั้น ล้วนเป็นขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วยอุปาทาน หรือที่ท่านเรียกว่า อุปาทานขันธ์ ๕  กล่าวคือ ขันธ์ ๕ อันมี รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ต่างล้วนถูกครอบงำด้วยอุปาทาน กลายเป็น รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญุปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์ อันประกอบด้วยอุปาทานที่แสนเร่าร้อนทั้งสิ้น  กระบวนการทำงานของชีวิตหรือขันธ์ ๕ ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากองค์ธรรม"ชาติ" คือ "ชรา" ที่หมายถึงความแปรปรวน ความเปลี่ยนแปลง จึงล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ ที่ทำงานประสานกัน ดังกระบวนธรรมที่แสดงด้านล่างนี้ เป็นวงจรของอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ในชรา ที่เกิดการวนเวียนเป็นวงจรหมุนเวียนอย่างยาวนาน ไม่รู้จักจบสิ้น แม้ดับไปได้ในชั่วขณะ แต่ก็พร้อมเกิดขึ้นใหม่ได้อีกเสมอๆ

(ดูความหมายของคำว่า ชรา)

(ดูความหมายของคำว่า มรณะ)

ภาพแสดงอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ในองค์ธรรมชราที่ย่อมมีอาการแปรปรวน คือปรุงแต่งวนเวียนเป็นวงจรของทุกข์อันเร่าร้อนอยู่ตลอดเวลาในชรานั้น

อันจะเกิดต่อสืบเนื่องจาก มโนกรรมหรือสังขารูปาทานขันธ์(สังขารขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทาน) จากองค์ธรรมชาติ ที่แสดงรายละเอียดไว้ในข้างต้น

กล่าวคือ สังขารูปาทานขันธ์จากองค์ธรรมชาติ ข้างต้นที่เกิดขึ้นมานั้น จะมาทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์อีกครั้ง แต่ถูกครอบงำด้วยอุปาทานแล้ว จึงมาทำหน้าที่เป็น รูปูปาทานขันธ์(สิ่งที่ถูกรู้ หรือธรรมารมณ์แต่ถูกครอบงำด้วยอุปาทานแล้ว)  แล้วหยิบยกเอามาปรุงแต่งวนเวียนเป็นวงจรทุกข์อีกนั่นเอง ด้วยอำนาจของตัณหาอุปาทาน และความไม่รู้ กล่าวคือ ไปทำหน้าที่เป็นรูปูปาทานขันธ์ แล้วเกิดอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ดำเนินต่อๆไป  ดังวงจรในองค์ธรรมชราอันแปรปรวนวนเวียนเป็นทุกข์เร่าร้อนเผาลนอยู่แสนนานๆ

.....ตัณหา → อุปาทาน → ภพ → ชาติ  รูปูปาทานขันธ์ + ใจ + วิญญูาณูปาทานขันธ์  anired06_next.gif เวทนูปาทานขันธ์ → มรณะ → อาสวะกิเลส →..... 

                         อุปาทานขันธ์๕  อันคือ คิดปรุงแต่งในชราอันเผ็ดร้อนเป็นทุกข์          

                  สังขารูปาทานขันธ์ เช่นมโนกรรมคิดนึกที่เป็นทุกข์ สัญญูปาทานขันธ์     

ในวงจรชรา แสดงความวนเวียนเร่าร้อนด้วยเหล่าอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เพราะล้วนถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว

อันล้วนแล้วแต่เป็นอุปาทานขันธ์ที่เกิดๆดับๆ หรือทำๆหยุดๆ  ที่ท่านกล่าวว่าเป็นทุกข์อันเร่าร้อนเผาลน

         เมื่อเกิดการแปรปรวนปรุงแต่งเยี่ยงนี้  ยาวนานเผ็ดร้อนเพียงใดก็ขึ้นอยู่กับกำลังของตัณหาแลอุปาทานที่เกิดขึ้น  หรืออาจเกิดการแทรกแซงเบี่ยงเบนโดยธรรมหรือสิ่งอื่นๆ หรือการมีสติกลับมา  แล้วก็ย่อมต้องดับไปหรือมรณะในที่สุดตามกฏพระไตรลักษณ์  แต่ธรรมหรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นในกระบวนธรรมของการเกิดขึ้นแห่งทุกข์นี้  เนื่องจากขันธ์หรือชีวิตยังไม่แตกดับ จึงยังฝากรอยแผลเป็นที่จารึกไว้ในจิต อันไม่สามารถควบคุมบังคับได้ กล่าวคือเกิดการเก็บจำหรือสัญญาโดยธรรมชาติ โดยไม่รู้ตัว แม้เหมือนจำไม่ได้ก็จริงอยู่ แต่ผลนั้นยังนอนเนื่อง นั้นยังมีอยู่,  จิตนั้นจักจำได้ในทุกข์หรือสุขต่างๆที่ได้เกิดขึ้นมาแล้วแต่อดีตนั้น  อันเป็นสภาวธรรมของชีวิตในการจำได้(สัญญา)ในสิ่งต่างๆนั่นเอง อันมิสามารถที่จะตัดทิ้งหรือเลือกจำได้  และต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเพราะเป็นสิ่งจำเป็นในการยังชีวิตอย่างยิ่งเช่นกัน   ดังนั้นทุกข์หรือสุขต่างๆที่เคยเกิดเคยเป็นขึ้นมาเหล่านั้น จึงย่อมถูกบันทึกจดจำอยู่ในอณูจิตหรือก็คือในหทัยวัตถุโดยไม่รู้ตัว แต่เป็นไปในสภาพที่นอนเนื่องแอบซ่อนจึงแอบหมักหมมอยู่  ที่รอวัน รอเวลาที่จะกำเริบก่อให้เกิดเป็นทุกข์ขึ้นอีกในภายภาคหน้า  หรือที่พระองค์ท่านทรงเรียกสัญญาที่ประกอบด้วยกิเลสนี้โดยเฉพาะว่า อาสวะกิเลส อันประกอบด้วย โสกะ  ปริเทวะ ทุกขะ  โทมนัส  อุปายาส  ตามที่ได้บรรยายมาแล้วโดยละเอียดในเรื่องปฏิจจสมุปบาท,  อันล้วนแล้วแต่เป็นกิเลสที่เป็นดั่งเชื้อไฟ อันจะลุกไหม้ขึ้นใหม่อย่างง่ายดายดุจดั่งฟืนเคยไฟและไปเผาลน กระตุ้น ขับดันให้เกิดสังขารกิเลส  จึงเกิดแต่อาสวะกิเลสเหล่านั้นเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอวิชชา กล่าวคือยังไม่มีวิชชาหรือความรู้ความเข้าใจในธรรมต่างๆตามความเป็นจริง(ปรมัตถ์)ของพระองค์ท่านคอยกำกับ,คอยควบคุมดูแลความคิดความประพฤติต่างๆ

         ฝ่ายความสุขที่เกิดขึ้นภายในปฏิจจสมุปบาทธรรม เป็นไปดังนี้  เมื่อเกิดตัณหาในสิ่งใดขึ้น  ย่อมเกิดอุปาทาน  เกิดภพ และเกิดชาติที่เป็นไปตามปรารถนาขึ้น  จึงย่อมเป็นสุข หรือก็คือดับทุกข์ลงไปได้  แม้เป็นสุขก็จริงอยู่ แต่เพราะชรา-มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสนี้นี่เอง ย่อมทำให้สุขนั้นแปรปรวน แล้วดับไป พร้อมย่อมเก็บจำแบบนอนเนื่องเป็นอาสวะกิเลสโดยธรรม  ที่เมื่อคราใดเกิดอาการปริเทวะ โหยไห้ อาลัยหาในความสุขที่เคยเกิดเคยเป็นขึ้นมาเป็นสังขารกิเลสอีกนั่นเอง จึงย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้ดำเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทธรรมอีกครั้ง และอีกครั้งๆๆ....ครั้งใดไม่สามารถตอบสนองได้ก็ย่อมแปรผันไปเป็นทุกข์ในที่สุด เป็นไปดังนี้เสมอๆ  ด้วยเหตุดังนี้นี่เองจึงกล่าวว่า สุขก็คือทุกข์อย่างละเอียดนั่นเอง หรือเป็นดังคำกล่าวที่ว่า มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น  จึงมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป

         ฝ่ายความทุกข์อันแสนเร่าร้อนเผาลนที่เกิดขึ้นแล้วในชรา แม้เสวยทุกข์อันแสนเผ็ดร้อนยาวนานไปแล้วก็จริงอยู่ แต่ก็ยังไม่จบสิ้นกันไปเท่านั้นจริงๆ เช่นเดียวกันกับสุข เพราะย่อมนอนเนื่องเป็นอาสวะกิเลสเช่นกัน  ที่รอวันจะถูกกระตุ้นเร้าหรือผุดด้วยอวิชชาขึ้นมาเป็นสังขารกิเลสด้วยอวิชชาอีกครั้งหนึ่ง  จึงย่อมขับเคลื่อนเลื่อนไหลให้เป็นไปตามกระแสของเหตุปัจจัยในปฏิจจสมปบาทธรรมอีกครั้ง และอีกครั้ง....ตลอดกาลนานหรือตราบจนกว่าจะมีวิชชาของพระองค์

         ดังนั้นอาสวะกิเลส ย่อมเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอวิชชาความไม่รู้อันมีเป็นธรรมชาติของชีวิต  ดำเนินการครอบงำให้ไม่เห็นตามความเป็นจริงอย่างปรมัตถ์   และวิชชาของพระองค์จะบังเกิดขึ้นมาได้ก็จากการศึกษาและปฏิบัติโดยถูกวิธี  มิสามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติได้ ต้องสังขารที่หมายถึงปรุงแต่งขึ้นมา แต่เป็นสังขารปรุงแต่งที่มีคุณประโยชน์ในการดับทุกข์ เป็นสังขารธรรมที่ควรทำให้มี ให้เกิด และให้เจริญยิ่งๆขึ้น(ภาเวตัพพธรรม)

          เมื่อยังไม่มีวิชชา หรือมอวิชชานั่นเอง อันเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของปุถุชน จึงเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอาสวะกิเลส จึงทำให้เกิดสังขารกิเลสขึ้น ที่ย่อมเป็นกระแสแห่งเหตุปัจจัยให้หมุนเคลื่อนไหลเลื่อนไปตามวงจรอีกคราหนึ่ง และจักเป็นเช่นนี้ไปตลอดกาลนาน  ดังนั้นวงจรของทุกข์จึงเกิดการหมุนหนุนเนื่องให้เคลื่อนเลื่อนไหลอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว จึงทำให้เกิดภพ เกิดชาติ วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏอันคือการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์

ด้วยเหตุนี้นี่เอง เมื่อคราวองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้

จึงปีติพระทัยเปล่งพระพุทธอุทานไปทั่วทุกโลกธาตุ ขึ้นดังนี้ว่า

"ชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย  บัดนี้ภพเป็นที่เกิดใหม่ไม่มีอีกต่อไปแล้ว" 

อันบังเกิดขึ้น ณ บัดนั้น หรือ ณ ขณะจิตนั้นนั่นเอง  สิ้นภพสิ้นชาติจึงมิได้หมายถึงการบังเกิดขึ้นเมื่อคราวพระองค์ท่านเสด็จสู่พระปรินิพพานแต่อย่างใด.

แสดงเหตุปัจจัยนี้โดยละเอียด

ปฏิจจสมุปบาท โดยย่นย่อ ลงไปอีกระดับหนึ่ง

 

 เข้าหน้าหลัก ปฏิจจสมุปบาท แต่ละองค์ธรรมโดยละเอียด

 

 

Google


ทั่วโลก  ค้นหาเฉพาะใน"ปฏิจจสมุปบาท"

 

กลับสารบัญ