แนวการพิจารณา และแนวทางปฏิบัติในชีวิตประจำวัน

โดยอาศัยการพิจารณาในธรรม "อเหตุกจิต" ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล

กิริยาจิตที่แฝงอยู่ตาม อายตนะ หรือทวารทั้ง ๕ และ มโนทวาร มีดังนี้

                 ตาไปกระทบกับรูป เกิด จักขุวิญญาณ คือการเห็น จะห้ามไม่ให้ ตาเห็นรูป ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารขันธ์ต่างๆนาๆ(แล้วยังให้เกิดมโนกรรมเช่นความคิด)   (ขอให้พิจารณาดูสภาวะธรรม หรือสภาวะแห่งธรรมชาตินี้ที่เมื่อเกิดขึ้นแล้วเป็นจริงดังนี้เป็นธรรมดาหรือไม่)  แล้วไม่คิดปรุงมโนกรรม

                 หูไปกระทบเสียง เกิด โสตวิญญาณ คือการได้ยิน จะห้ามไม่ให้ หูได้ยินเสียง ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารขันธ์ต่างๆนาๆ(แล้วยังให้เกิดมโนกรรมเช่นความคิด)  แล้วไม่คิดปรุง

                 จมูกไปกระทบกับกลิ่น  เกิด ฆานวิญญาณ คือการได้กลิ่น จะห้ามไม่ให้ จมูกรับกลิ่น ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารขันธ์ต่างๆนาๆ(แล้วยังให้เกิดมโนกรรมเช่นความคิด)  แล้วไม่คิดปรุงมโนกรรม

                 ลิ้นไปกระทบกับรส เกิด ชิวหาวิญญาณ คือการได้รส จะห้ามไม่ให้ ลิ้นรับรู้รส ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารขันธ์ต่างๆนาๆ(แล้วยังให้เกิดมโนกรรมเช่นความคิด)  แล้วไม่คิดปรุงมโนกรรม

                 กายไปกระทบกับโผฏฐัพพะ เกิด กายวิญญาณ คือการสัมผัส จะห้ามไม่ให้ กายรับสัมผัส ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารขันธ์ต่างๆนาๆ(แล้วยังให้เกิดมโนกรรมเช่นความคิด)  แล้วไม่คิดปรุงมโนกรรม

                 ใจไปกระทบกับความคิด เกิด มโนวิญญาณ คือการรับรู้ความคิดนั้น  จะห้ามไม่ให้ ใจรับรู้ความคิด ไม่ได้  จึงย่อมเกิดความจำได้และเข้าใจ(สัญญา)ในรูปนั้น  เป็นผลให้เกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารขันธ์ต่างๆนาๆ(แล้วยังให้เกิดมโนกรรมเช่นความคิด)  แล้วไม่คิดปรุงมโนกรรม

 

วิญญาณทั้ง๖  นี้ เป็นกิริยาที่แฝงอยู่ในกาย และใจ ตามทวารนั้นๆ  ทำหน้าที่รับรู้สิ่งต่างๆ ที่มากระทบ เป็นสภาวะแห่งธรรมชาติของมันเป็นอยู่เช่นนั้น  ก็แต่ว่า เมื่อจิตอาศัยทวารทั้ง ๖ เพื่อเชื่อมต่อรับรู้เหตุการณ์ภายนอกและภายใน ที่เข้ามากระทบ แล้วส่งไปยังสำนักงานจิตกลางเพื่อรับรู้ เราจะห้ามมิให้เกิดมีเป็นเช่นนั้น ย่อมกระทำไม่ได้

 

        การป้องกันทุกข์ที่จะเกิดจากกายทวารทั้ง ๕ นั้น เราจะต้องสำรวมอินทรีย์ทั้ง ๕ ไม่เพลิดเพลินในอายตนะเหล่านั้น หากจำเป็นต้องอาศัยอายตนะทั้ง ๕ นั้น ประกอบการงานทางกาย ก็ควรจะกำหนดจิตให้ตั้งอยู่ในจิต เช่น เมื่อเห็นก็สักแต่ว่าเห็นไม่คิดปรุง, ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน ไม่คิดปรุง   ดังนี้ เป็นต้น (ไม่คิดปรุงหมายความว่า ไม่ให้จิตเอนเอียงไปในความเห็นดีชั่วในมโนกรรม) [ถืออุเบกขาไม่คิดนึกปรุงแต่งเอนเอียงเข้าไปแทรกแซงในมโนกรรมนั่นเอง]

        ส่วนกิริยาจิตที่แฝงอยู่ที่มโนทวาร(ใจ) มีหน้าที่ผลิตความคิดนึกต่างๆ นานา คอยรับเหตุการณ์ภายในภายนอกมากระทบ จะดีหรือชั่วก็สะสมเอาไว้ จะห้ามจิตไม่ให้คิดในทุกๆ กรณีย่อมไม่ได้    เพราะความคิดชนิดไม่ปรุงแต่งนั้นก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตและการงาน  ดังนั้นเมื่อจิตคิดนึกสิ่งใดขึ้นมาย่อมเกิดกริยาจิต ตามที่กล่าวข้างต้นเป็นธรรมดา  แล้วอย่าคิดปรุง

        เมื่อจิตคิดปรุงไปในเรื่องราวใดๆ ถึงวัตถุ สิ่งของ บุคคลอย่างไร ก็ให้กำหนดรู้ว่าจิตคิดถึงเรื่องเหล่านั้น ก็สักแต่ว่าความคิด ไม่ใช่สัตว์บุคคล เราเขา ไม่ยึดถือวิจารณ์ความคิดเหล่านั้น    [ไม่คิดปรุง หรือ ถืออุเบกขานั่นเอง]  ทำความเห็นให้เป็นปกติไม่คิดปรุง, ไม่ยึดถือความเห็นใดๆ[อุเบกขา]ทั้งสิ้น จิตย่อมไม่ไหลตามกระแสอารมณ์เหล่านั้น ไม่เป็นทุกข์

 

         การที่สติเห็นเวทนาเหล่านี้  ขณะเกิดขึ้นบ้าง หรือเห็นในขณะเสื่อมแปรปรวนบ้าง หรือเห็นในขณะดับไปบ้าง แล้วไม่คิดปรุง[อุเบกขา] ต่างล้วนเป็นการปฏิบัติเวทนานุปัสสนา(สติตามดูรู้ทันเวทนา)อันถูกต้องดีงาม

หรือ

        การที่สติเห็นสังขารหรือความคิด  ขณะเกิดขึ้นบ้าง หรือเห็นในขณะเสื่อมแปรปรวนบ้าง(ขณะกำลังคิดปรุง) หรือเห็นในขณะดับไปบ้าง แล้วไม่คิดปรุง[อุเบกขา] ต่างก็ล้วนเป็นการปฏิบัติจิตตานุปัสสนา(สติตามดูรู้ทันจิตสังขาร)อันถูกต้องดีงามเช่นกัน

        

        เหตุที่ต้องไม่คิดปรุง ก็เพราะว่าการคิดปรุงก็คือ การเกิดของขันธ์๕ขึ้นอีกครั้งหนึ่งนั่นเอง จึงเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาขึ้นอีกครั้งเช่นกัน อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา อันเป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาท อันยังให้เกิดทุกข์ขึ้นนั่นเอง

        หรืออาจพิจารณาจากข้อเขียนข้างบน ที่กล่าวว่า ใจ  ไปกระทบกับ  ความคิด เกิด มโนวิญญาณ คือการรับรู้ความคิดนั้น  จะห้ามไม่ให้ ใจรับรู้ความคิด ไม่ได้  จึงย่อมต้องเกิดเวทนา(ความรู้สึกรับรู้)ชนิด  สบายใจ ไม่สบายใจ หรือเป็นกลางๆ ขึ้นเป็นธรรมดา แล้วเกิดสังขารขันธ์ต่างๆนาๆ(แล้วยังให้เกิดมโนกรรมเช่นความคิด) ดังนั้นเมื่อเราคิดปรุงต่อเนื่องเข้าไปอีกก็ย่อมต้องรับผลที่เกิดขึ้นต่อเนื่องสัมพันธ์ไปไม่จบสิ้น  จึงเกิดเป็นวงจรที่เกิดดับๆ....อย่างต่อเนื่องอันเป็นทุกข์

 

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ