ภาพแสดงการทำงานหรือกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ ที่ทำงานเป็นเหตุปัจจัยกัน เหมือนดั่งวงจรปฏิจจสมุปบาท
และล้วนทำงานตามหน้าที่ตนโดยอิสระ ควบคุมบังคับเขาไม่ได้ ด้วยล้วนเป็นอนัตตา จึงยังผลให้เกิดกรรม(การกระทำ)ต่างๆขึ้น
โดยเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับ"เหตุ"ต่างๆ คือ อายตนะภายนอก อันมี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์(คิด) ทั้ง ๖
ข้อสังเกตุ เมื่อเกิดการกระทบกันของอายตนะภายนอกและภายในดังที่แสดง แล้วย่อมดำเนินไปตามกระบวนธรรมนี้อย่างแน่นอน เหมือนดั่งวงจรปฏิจจสมุปบาท ดุจดั่งลูกธนูที่หลุดจากแหล่งแล้ว ย่อมไม่สามารถควบคุมบังคับได้อีกต่อไป มีหน้าที่เพียงมี "สติรู้เท่าทัน"และ"ปัญญา"เห็นตามความเป็นจริงว่า มันเป็นเช่นนี้เอง แล้วปล่อยวางหรืออุเบกขา
ธรรมารมณ์(คิดอันเป็นเหตุ) |
ลักษณาการเหมือนๆกันในทุกอายตนะเมื่อมีการผัสสะ ยังให้เกิดมโนกรรม คือความคิดนึกอันเป็นผลได้เหมือนกัน
รูป |
เสียง |
กลิ่น |
รส |
ผัสสะ โผฏฐัพพะสัญญา โผฏฐัพพะสัญเจตนา โผฏฐัพพะ |
ภาพแสดงกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง๕ ที่มักยังให้พลาดท่าเกิดทุกข์ จากการคิดฟุ้งซ่าน จึงสามารถปรุงแต่งวนเวียนเป็นวงจรได้อย่างไม่รู้จบ จนอาจเกิดทุกข์ขึ้น
คิด
หรือ ธรรมารมณ์ (คิดที่เป็นเหตุ
เมื่อเกิดแล้วย่อมดำเนินไปตามเหตุ) +
ใจ หยุด สังขารขันธ์ เกิดมโนกรรม(เกิดคิดที่เป็นผล
แม้ต้องรับผล
ไม่สามารถดับได้ แต่อุเบกขาได้ จึงไม่ไปเป็นเหตุอีกได้)
|
( อุปาทานขันธ์ ๕ ที่ยังให้เกิดอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนวนเวียนแสนยาวนาน ก็เกิดในลักษณาการเดียวกันเช่นนี้ ดั่งในองค์ธรรมชรานั่นเอง)
โดยย่อ เมื่อ"ความคิด" กระทบ "ใจ" เป็นเหตุปัจจัยให้"มโนวิญญาณ"ย่อมเกิด การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ เรียกผัสสะ เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด"เวทนา" แล้วเวทนาจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด"สัญญา" แล้วสัญญาจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด"สังขารขันธ์" และสังขารขันธ์หรืออารมณ์ทางโลกๆนี้นี่เอง ที่ปรุงแต่งจิตให้เกิดสัญเจตนาความคิดอ่านต่างๆให้เกิดการกระทำต่างๆขึ้น รวมทั้งความคิด(มโนกรรม) ความคิดนึกหรือมโนกรรมนี้จึงเป็นผลที่เกิดมาจากสังขารขันธ์นั่นเอง แม้ต้องรับผลที่เกิดขึ้น แต่เมื่ออุเบกขาเสีย ผลที่ได้รับจึงย่อมเสื่อมดับไป ไม่เป็นเหตุก่อให้ต่อเนื่องสืบไปอีก, จึงต่างจากความคิดแรกหรือธรรมารมณ์ที่ทำหน้าที่เป็นเหตุ เมื่อเกิดผุดนึกผุดจำขึ้นมาแล้ว ก็จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ต้องดำเนินไปตามกระบวนธรรมของชีวิต จึงดับไม่ได้โดยตรง คือจะหยุดคิดหยุดนึกทุกๆความคิดไม่ได้นั้นเอง อีกทั้งยังจำเป็นใช้ในการดำเนินชีวิตอีกด้วย จึงหยุดแค่มโนกรรมความคิดนึกอันเป็นผลของสังขารขันธ์อันเป็นทุกข์หรืออกุศลเท่านั้นพอ
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เมื่อเกิดการผัสสะ ก็เกิดผลเป็นสังขารขันธ์ความคิดนึกขึ้นได้เฉกเช่นกัน แล้วก็วนเวียนเป็นวงจรดั่งแสดงข้างต้นนี้ได้อีกเช่นกัน
เมื่อความคิดแรกเป็นเหตุ จึงต้องดำเนินไปตามเหตุปัจจัยจนเกิดผล คือจนเกิดสังขารขันธ์เช่นความคิดอันเป็นผล(มโนกรรม) ความคิดนี้จึงย่อมต้องเกิดขึ้นเช่นนี้เองแม้เป็นโทสะ ทุกข์ ฯ. แม้ห้ามไม่ได้ แต่สามารถอุเบกขา ปล่อยวางได้ แล้วสังขารขันธ์ทุกข์ที่เกิดมานั้นย่อมเสื่อมดับด้วยธรรมนิยาม ไม่เกิดทุกข์สืบเนื่องต่อไปอีกได้
คิดหรือธรรมารมณ์ (คิดที่เป็นเหตุ
เมื่อเกิดแล้วย่อมดำเนินไปตามเหตุ) +
ใจ
หยุด อารมณ์ ยังให้เกิดมโนกรรมเกิดคิดนึกที่เป็นผล
แม้ต้องรับผล
ไม่สามารถดับได้ แต่อุเบกขาได้ จึงไม่ไปเป็นเหตุอีกได้
|
ขยายแบบบริบูรณ์ที่สุด
ใจ กระทบ ธรรมารมณ์ เป็นเหตุปัจจัยจึงมี
มโนวิญาณ ขึ้นรับรู้หรือรู้แจ้ง
เพราะเหตุทั้ง ๓ เป็นปัจจัย จึงมี
ผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี
ธัมมสัญญาความจำได้หมายรู้ จึงเข้าใจในคิดนั้นๆ
เพราะธัมมสัญญาเป็นปัจจัยจึงมี
เวทนา รู้สึกรับรู้ในคิดนั้นเป็น
สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมี ธัมมสัญเจตนา
ความคิดอ่านในความคิดนั้นไปปรุงจิต
เพราะธัมมสัญเจตนาเป็นปัจจัยจึงมี
สังขารขันธ์คือ
สิ่งปรุงแต่งของจิต คืออารมณ์ต่างๆทางโลกเช่น เจตนา โทสะ โมหะ ราคะ สงบ สบาย
กลางๆ ฯ.
เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมี
สัญเจตนาเจตนาจงใจไปปรุงแต่งจิตให้กระทำการต่างๆ(กรรม)ได้ทั้งทางดี
ชั่ว หรือกลางๆ ได้ทั้งทางกาย วาจา ใจ
เพราะสัญเจตนาเป็นปัจจัย จึงมี
สังขารปรุงแต่งต่างๆขึ้นได้ทั้งทาง
กายสังขาร วจีสังขาร มโนสังขาร
เพราะสังขารปรุงแต่งเป็นปัจจัยจึงมี
กรรม การกระทำต่างๆขึ้นจึงเกิด กายกรรม วจีกรรม มโนกรรม ต่างๆขึ้นได้