กลับสารบัญ

องค์สำคัญยิ่งในการปฏิบัติ

คลิกขวาเมนู

        อุเบกขา ที่จะกล่าวในเบื้องต้น ณ บัดนี้ คือ อุเบกขาในโพชฌงค์ ๗ องค์แห่งการตรัสรู้    ส่วนอุเบกขาในความหมายหรือนัยยะอื่นๆ เช่น อุเบกขาในฌาน, อุเบกขาเวทนา และอุเบกขาในพรหมวิหาร ๔  อุเบกขาในสังขารขันธ์  อุเบกขาในวิปัสสนูปกิเลสฯ. อ่านได้ที่นี่

        อุเบกขาในโพชฌงค์ ที่หมายถึง การมีจิตหรือก็คือการมีสติวางใจเป็นกลาง ด้วยการวางทีเฉย  ด้วยเมื่อมีสติทั้งรู้แจ้ง ปัญญาจึงเห็นโทษ หรือเห็นว่าสมควรแก่เหตุ เช่น สิ่งที่ทำให้จิตเศร้าหมองหรือเหล่าอกุศลสังขารขันธ์(อกุศลธรรม)   แล้วมีสติโดยการไม่เข้าไปแทรกแซง ด้วยการสำรวมระวัง กล่าวคือ ไม่เอนเอียงเข้าไปแทรกแซงความคิดนึกหรือถ้อยคิดที่เกิดจากสังขารขันธ์(คือมโนกรรม) ด้วยความชอบหรือชัง  หรือด้วยความยินดีหรือยินร้าย  หรือด้วยอาการของการคิดนึกปรุงแต่งด้วยถ้อยคิด หรืออาการจิตใดๆ ในสังขารขันธ์หรือมโนกรรมที่สติไประลึกรู้เท่าทันนั้นๆ  ที่ปัญญาพิจารณาเห็นแล้วว่าจักก่อให้เกิดทุกข์(ดังเช่น การเห็นเวทนา หรือเห็นเหล่าจิตที่เป็นโทษดังเช่นที่แสดงในสติปัฏฐาน๔ ) หรือผลอันเกิดขึ้นนั้นๆสมควรแก่เหตุ  และพึงปฏิบัติตามธรรมหรือตามควรแก่เหตุนั้นๆแล้ว,    เป็นสิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้อง และปฏิบัติด้วยความเพียรยิ่ง และเป็นหลักสำคัญยิ่งในการปฏิบัติในชีวิตประจำวันในทุกขณะจิตที่รู้เท่าทัน  ไม่ใช่การปฏิบัติเฉพาะเวลาปฏิบัติพระกรรมฐานเท่านั้น  ต้องปฏิบัติให้เป็นประจำสม่ำเสมอในชีวิตประจำวัน จวบจนเป็นมหาสติ  อันเกิดขึ้นและเป็นไปดังสังขารที่เกิดจากการสั่งสมในปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่ไม่ได้เกิดแต่อวิชชา แต่กลับเกิดขึ้นมาจากวิชชาโดยตรง   หรืออุปมาได้ดั่งเป็นมหาสติ ดังเช่นเมื่อตากระทบตัวอักษร จิตก็มีสติทำงานรู้เข้าใจในความหมายของอักษรในบันดลนั่นเอง  ลองพิจารณาดูโดยอาศัยกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ แล้วจะพบว่าการอ่านหนังสือออกนั้นเป็นอาการของมหาสติ เพียงแต่เป็นไปในทางโลก ไม่ได้เป็นไปเพื่อการดับทุกข์ ที่สามารถทำงานหรือมันเป็นไปของมันเองด้วยความชำนาญยิ่งหรือโดยอัติโนมัติ เมื่อเกิดการผัสสะกล่าวคือเมื่อตากระทบเห็นอักษรในทันที  กล่าวคือ ต้องฝึกสติให้เชี่ยวชาญชำนาญยิ่งในการเห็นจิต ดุจเดียวกับการที่ตาเห็นอักษรนั่นเองที่พึงเกิดขึ้นได้จากการที่ฝึกฝนปฏิบัติเล่าเรียน(สั่งสม)มาเป็นอย่างดีแต่อดีตนั่นเอง

เพราะไม่ว่าจะปฏิบัติภายใต้หลักธรรมใดๆก็ตามที  ที่สุดของการปฏิบัตินั้นๆ

ต่างล้วนต้องถืออุเบกขา ในโพชฌงค์ ๗ เป็นที่สุด

จึงจักยังให้วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์ได้เป็นที่สุด (กุณฑลิยสูตร)

        เพียงแต่ว่าในแนวการสอน  อาจสอน หรือจำแนกแตกธรรมออกไปแตกต่างกันตามครูบาอาจารย์เท่านั้น  ดังเช่น การสอนการปฏิบัติที่กล่าวว่า เมื่อเห็นจิตคิดปรุงแต่งแล้วก็ให้กลับมาอยู่กับผู้รู้ หรือการกลับมาอยู่กับสติ  ซึ่งทั้งผู้รู้ ธาตุรู้ ความจริงแล้วหมายถึงสตินั่นเอง,  เห็นจิตคิดฟุ้งซ่านก็ให้หยุดคิดนึกปรุงแต่งหรือหยุดฟุ้งซ่าน, เห็นเวทนาหรือจิตแล้วไม่ยึดมั่นหมายมั่น,  เห็นนิมิตเมื่อปฏิบัติสมถะก็อย่าปล่อยไหลเลื่อนไปกลับนิมิตนั้นๆให้กลับมาอยู่กับสติหรือผู้รู้หรือธาตุรู้,  หรือแม้แต่การปฏิบัติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ เองก็ต้องประกอบด้วยการอุเบกขา แต่เป็นคำกล่าวว่า ไม่ยึดมั่นหมายมั่น ที่แสดงในตอนท้ายของทุกๆบรรพในสติปัฏฐาน ๔ ซึ่งก็คือการอุเบกขานั่นเอง  อุเบกขาจึงยังให้วิชชาและวิมุตติสมบูรณ์ได้  ต่างๆเหล่านี้นั้น ตามปรมัตถแล้ว ล้วนเป็นลักษณาการแบบต่างๆของการปฏิบัติเพื่อการ อุเบกขา ทั้งสิ้น

         ดังนั้น อุเบกขา คือ อาการของการปฏิบัติดังกล่าวข้างต้น  อันได้แก่ อาการของการหยุดคิดนึกปรุงแต่ง,  หยุดฟุ้งซ่าน,  กลับมาอยู่กับผู้รู้ หรือการกลับมาอยู่กับสติ,  ไม่ยึดมั่นถือมั่น ฯ.  ต่างล้วนสรุปแล้วเป็นลักษณาการของการอุเบกขานั่นเอง  เพียงแต่การจำแนกแตกธรรมเพื่อการอธิบายให้ตรงกับนัยของธรรมนั้นๆ หรือการใช้เพื่อการสื่อสารสั่งสอนแตกต่างกันออกไปเท่านั้นเอง   กล่าวคือ ที่ต่างก็ล้วนมีจุดประสงค์ที่สำคัญก็คือ ไม่เปิดโอกาสให้จิต ออกไปปรุงแต่ง ด้วยการไปต่อล้อต่อเถียงกับจิตตน อันเป็นการไม่เปิดโอกาสให้ จิตมีโอกาสหลอกล่อเราให้ไปปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านต่างๆจนเกิดทุกข์  คือความคิดฟุ้งซ่านเหล่านั้นเมื่อเกิดการผัสสะกับใจ อันยังให้เกิดทุกขเวทนาขึ้นได้  แล้วทุกขเวทนาอันเป็นทุกข์ธรรมชาตินี้นี่เอง ได้เป็นเหตุปัจจัยร่วมกับตัณหา จึงยังให้เกิดทุกข์อุปาทานอันแสนเร่าร้อนเผาลนขึ้นในที่สุด  โดยไม่รู้ตัว ก็ด้วยความไม่รู้(อวิชชา) อันเป็นไปตามปฏิจจสมุปบันธรรม

ข้อสำคัญในการอุเบกขา

        ข้อสำคัญยิ่งในการอุเบกขาก็คือ ต้องมีสติรู้เท่าทันธรรมหรือตามความเป็นจริงเสียก่อน(ยถาภูตญาณ)  ดังเช่น รู้ว่าเป็นทุกขเวทนามีอามิสก็รู้ว่ามี...สุขเวทนา...หรือรู้ว่าจิตมีโมหะ...โทสะ ฯ. กล่าวคือ เมื่อมีสติระลึกรู้หรือรู้เท่าทันในอาการของจิตแล้ว อาการความรู้สึก(เวทนา)ต่างๆมันย่อมไม่ได้หายไปไหนในทันทีเป็นธรรมดา แต่ต้องยึดการอุเบกขาไว้,    การที่ต้องมีสติและปัญญารู้เข้าใจในอาการของจิตต่างๆเช่นโทสะ โมหะ โลภะ ฯลฯ. หรือมีสติและปัญญารู้เข้าใจในสังขารต่างๆ  ทั้งนี้ก็เพื่อมิให้เกิดการอุเบกขาไปในสังขารขันธ์อันดีงามอื่นๆที่จำเป็นในกิจหรืองานอันควรตามฐานะหรือหน้าที่แห่งตน  จนกลับกลายเป็นการไปหยุดคิดหยุดนึก กดข่มไปเสียทุกสิ่งโดยขาดปัญญาอันกลับกลายไปเป็นโมหะความหลงด้วยอวิชชาไปเสีย อันให้โทษรุนแรงในภายหลัง  และย่อมไม่ใช่การหยุดคิดหยุดนึกทั้งปวงด้วยคิดว่าเป็นความว่างหรือสุญญตาอย่างผิดๆ  แต่เป็นการมีสติ หยุดการคิดหรือหยุดการนึกปรุงแต่ง ด้วยการไม่เข้าไปแทรกแซงด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตใดๆเฉพาะในสิ่งที่สติระลึกรู้และเท่าทันแล้วว่าให้โทษนั้นๆ

กล่าวสรุปได้ว่า

        อุเบกขา  การที่มีสติระลึกรู้เท่าทันทั้งฝ่ายกุศลและอกุศลสังขารขันธ์ที่เกิดขึ้น เช่น โทสะ โลภะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน กังวล ความกลัว สุขใจ ทุกข์ใจ ตัณหา ฯ. เกิดความรู้สึกเป็นสุขเป็นทุกข์อย่างไร ก็เป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดาตามธรรมของการผัสสะหรือธรรมชาติ ซึ่งถูกต้องดีงามแล้ว  มันเป็นเช่นนี้เอง อย่าใส่ใจไม่เป็นการถูกผิดแต่อย่างใด,  แต่ต้องวางใจเป็นกลาง วางใจเฉย ด้วยอาการของการไม่เอนเอียงเข้าไปปรุงแต่งด้วยถ้อยคิด(คิดนึกปรุงแต่งต่างๆ)  หรือด้วยกริยาจิต(ชอบ-ชัง, ถูก-ผิด, ดี-ชั่ว,ยินดี-ยินร้าย ฯ.)ใดๆ ในสังขารขันธ์นั้นๆหรือมโนกรรม(ความคิดนึกที่เป็นผลเกิดขึ้นมาจากสังขารขันธ์)ที่เกิดขึ้นมานั้นนั่นเอง

        อุเบกขา เป็นกลางวางทีเฉย  มักไปเข้าใจกันเป็นนัยๆ โดยไม่รู้ตัวคือด้วยอวิชชาว่า ต้องรู้สึกสงบ หรือเฉยๆ ที่มีความหมายถึง เมื่อเกิดการผัสสะกับสิ่งต่างๆ เช่นอารมณ์แล้ว ควรจะต้องรู้สึกสงบ หรือรู้สึกเฉยๆ  ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเป็นเพียงอุเบกขาเวทนา(อีกชื่อหนึ่งของเวทนาชนิด อทุกขมสุขเวทนา) เกิดอวิชชาเข้าใจผิดจึงเข้าใจไปว่า ต้องไม่เป็นทุกข์ (ทุกขเวทนา) หรือเป็นสุข(สุขเวทนา)   จึงเป็นไปในแนวทางพยายามปฏิบัติให้รู้สึกเฉยๆคืออุเบกขาเวทนา  จึงเกิดความพยายามไปปฏิบัติในลักษณาการของการกดข่ม หรือสะกดไว้โดยไม่รู้ตัว อาจด้วยอำนาจของความเชื่อชนิดอธิโมกข์ หรือด้วยอำนาจของสมาธิหรือฌานกดข่มไว้อันเป็นเพียงวิกขัมภนวิมุตติ อันเป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดคลาดเคลื่อนอย่างมากมาย,    ดังนั้นอุเบกขาจึงมิใช่หมายถึง การที่มีอารมณ์ต่างๆมาผัสสะแล้วจะต้องรู้สึกสงบหรือเฉยๆ  ดังเช่น ตาไปกระทบรูป(รูปนี้ทำหน้าที่เป็นอารมณ์)เช่นคนที่โกรธหรือเกลียดชังเข้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องรู้สึกสงบหรือเฉยๆ หรือพยายามให้รู้สึกเฉยๆให้เป็นอุเบกขาเวทนา  หรือให้เกิดสังขารขันธ์ชนิดอุเบกขา(ข้อที่ ๓๔)  หรือไปอยาก(คือเกิดตัณหา)ให้รู้สึกสงบหรือเฉยๆ หรือไม่อยาก(คือวิภวตัณหา)เป็นทุกข์เป็นร้อนด้วยทุกขเวทนา  ด้วยไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปตามธรรมคือตามเหตุแล้วย่อมบังเกิดความรู้สึกเป็นทุกขเวทนาเป็นธรรมดา อันเนื่องมาจากสัญญาหรือความจำได้หมายรู้ในรูปที่กระทบนั้นย่อมมีอยู่เป็นธรรมดา อันเป็นกระบวนธรรมการรับรู้ตามธรรมของชีวิต หรือธรรมชาติของชีวิตในการรับรู้ในสิ่งที่มากระทบคือผัสสะ  จึงเป็นสิ่งที่ต้องรู้ตามความเป็นจริงของธรรม   อันเป็นไปตามธรรมหรือมีเหตุจึงเกิดผล หรือเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรมดังนี้  (แสดงตามกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ถึงเวทนา เพื่อประกอบการพิจารณา)

ตา กระทบกับ รูป เป็นปัจจัย จึงมี จักขุวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี สัญญา(ความจำได้ ชนิดอาสวะกิเลส คือ ขุ่นมัวคือมีกิเลสแฝงอยู่ในรูปที่กระทบผัสสะนั้น) เป็นปัจจัย จึงมี ทุกขเวทนา ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา อันเป็นไปตามธรรมคือธรรมชาติของชีวิตในการรับรู้ในสิ่งที่กระทบสัมผัส คือผัสสะ

หรือ เขียนอธิบายให้ละเอียดขึ้น ก็ได้เป็นดังนี้

[อาสวะกิเลส(ความจำเจือกิเลสแต่นอนเนื่องอยู่) ] ดังนั้นเมื่อ ตา กระทบกับ รูป เป็นปัจจัย จึงมี จักขุวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี สัญญา(อาสวะกิเลสที่จำและเข้าใจในรูปนี้ ที่นอนเนื่องอยู่ จึงเกิดขึ้น หรือเกิดการทำงานขึ้น คือผุดความจำใดๆที่ตนเคยเกิดเคยเป็นในอดีตในรูปนี้ขึ้นมานั่นเอง) เป็นปัจจัย จึงมี ทุกขเวทนา

ดังนั้นเมื่อเกิดการผัสสะกับรูปดังกล่าว ทุกขเวทนา จึงเกิดขึ้นเป็นธรรมดา  มีความรู้สึกเป็นทุกข์ ไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ ไม่สบายใจเป็นธรรมดา  เป็นไปตามกระบวนธรรมหรือธรรมชาติ   ลองพิจารณาจากอายตนะกายที่ถูกการอย่างกระทบอย่างรุนแรงดู ก็อาจจะเห็นแจ้งขึ้น

กาย กระทบกับ โผฏฐัพพะ เป็นปัจจัย จึงมี กายวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี สัญญา(ความจำและเข้าใจได้ คือ ขุ่นมัวในโผฏฐัพพะชนิดนี้) เป็นปัจจัย จึงมี ทุกขเวทนา ย่อมเกิดขึ้น กล่าวคือเกิดความรู้สึกรับรู้ความเจ็บปวดจากการผัสสะนี้เป็นธรรมดา ไม่มีทางเป็นอื่นไปได้นั่นเอง อันเป็นสภาวธรรมอันเป็นไปตามความเป็นจริง  ถ้าพิจารณาต่อจนจบกระบวนธรรม ดังเช่น กายกระทบโผฏฐัพพะดังกล่าวนี้ แต่จากผู้อื่นมากระทำอย่างรุนแรง จนถึง สังขารขันธ์ เช่น จิตสังขาร ดังเช่น จิตมีโทสะ  โมหะ  โลภะ  จิตหดหู่  จิตฟุ้งซ่าน ฯ

กาย กระทบกับ โผฏฐัพพะ เป็นปัจจัย จึงมี กายวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี สัญญา(ความจำได้ คือ ขุ่นมัวในโผฏฐัพพะอย่างนี้) เป็นปัจจัย จึงมี ทุกขเวทนา ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นปัจจัย จึงมี สัญญา(หมายรู้) เป็นปัจจัย จึงมี สังขารขันธ์ เช่น จิตมีโทสะ หรือโมหะ ฯ.

        เพราะในช่วงปฏิบัติย่อมยังไม่เกิดมรรคผลนั้น  สัญญาชนิดขุ่นมัวหรือเจือกิเลส หรืออาสวะกิเลสย่อมยังมีอยู่เป็นธรรมดา  ดังนั้นจึงย่อมเกิดขึ้นและเป็นไปดังกระบวนธรรมข้างต้น   ดังนั้นการอุเบกขา จึงมิได้หมายความว่า เมื่อเกิดการผัสสะแล้วต้องเกิดความรู้สึกชนิดอุเบกขาเวทนา(อีกชื่อหนึ่งของอทุกขมสุขเวทนา) หรือการต้องรู้สึกเฉยๆ หรือการพยายามทำให้รู้สึกเฉยๆ จะไม่ให้รู้สึกรู้สาในเวทนาเหล่านั้น(ความรู้สึกรับรู้อันเกิดแต่ผัสสะเป็นปัจจัย) หรือจิตสังขารที่เกิดขึ้นเหล่านั้น   ที่ตามความเป็นจริงแล้ว ต้องเข้าใจตามความเป็นจริงแห่งธรรมว่า ทุกขเวทนาย่อมบังเกิดขึ้นเมื่อเกิดการผัสสะต่างๆเมื่อเป็นไปตามธรรมหรือเหตุข้างต้นที่แสดงเป็นธรรมดา,    หรือเกิดจากการผัสสะอันเกิดแต่ทวารต่างๆ ดังเช่น จากเหตุที่เหล่าธรรมารมณ์ต่างๆกระทบผัสสะใจ  จากรูปที่ตาไปกระทบผัสสะ  จากเสียงที่หูไปกระทบผัสสะ  จากรสที่ลิ้นไปกระทบผัสสะ  จากกลิ่นที่จมูกไปกระทบผัสสะ  จากโผฏฐัพพะที่กายไปกระทบผัสสะ  ที่ล้วนเมื่อผัสสะแล้ว ย่อมต้องเกิดความรู้สึกรับรู้(เวทนา)อย่างใดอย่างหนึ่ง ก็พึงรู้สึกอย่างนั้นเป็นไปตามธรรม   การไปกดข่มหรือหลีกเลี่ยงก็ย่อมกระทำได้แต่เป็นเพียงครั้งเป็นคราวเท่านั้นเอง ดังเช่น การกดข่มด้วยอำนาจของฌาน,สมาธิในขณะนั้นๆ  หรือการใช้กำลังของจิตเข้ากดข่มดื้อๆเป็นเรื่องๆไป  เป็นสภาวะที่ยังไม่ถาวร ไม่เที่ยง ยังเป็นเพียงวิกขัมภนวิมุตติ  ซึ่งก่อผลร้ายได้ถ้าเกิดการติดเพลินหรือไปเข้าใจผิดว่าเป็นที่สุดของการดับทุกข์  ดังเช่น เหตุที่ทำให้ติดเพลินในฌานสมาธิ  ก็เหตุเพราะการดับทุกข์จึงเป็นสุขอันเกิดแต่ฌานสมาธินั้น  เนื่องแต่เป็นธรรมที่เป็นปฏิปักษ์กันโดยธรรมชาติกับนิวรณ์ทั้ง ๕ ที่เป็นกิเลสที่ยังให้เกิดทุกข์ระดับกลางขึ้น  ดังนั้นเมื่อเป็นการระงับไปของนิวรณ์ ๕ ได้ในขณะนั้นๆในระยะหนึ่งๆอันเนื่องจากการที่จิตไปแน่วแน่อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่ง(คือสมาธิ)จิตย่อมไม่ส่งส่ายไปเกิดการผัสสะให้เกิดทุกข์หรือนิวรณ์ ๕ ขึ้น  ก็ย่อมต้องเกิดความรู้สึกสงบ จึงเป็นสุข อันเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง,  จึงมักพากันไปเกิดการติดเพลินหรือเพลิดเพลิน(นันทิ)อยู่ในความสุข สงบ ฯ. ภายในที่เกิดขึ้นจากการที่จิตเป็นสมาธิเหล่านั้น โดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา

       แม้กระทั่งสัญญานั้น ไม่เป็นอาสวะกิเลสแล้วก็ตาม คือเป็นสัญญาจำและหมายรู้ตามความเป็นจริงแล้วก็ตาม ก็ยังให้เกิดทุกขเวทนาและจิตสังขารเช่นโทสะได้  เพราะเกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรมนั้นเอง  ดังที่มีผู้เรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโลว่า "ท่าน ยังมีโกรธอยู่ไหม" ท่านตอบอย่างสั้นๆตามความเป็นจริงยิ่งว่า "มี  แต่ไม่เอา"  เป็นคำตอบที่ถูกต้องดีงามที่แสดงถึงหลักการปฏิบัติตามความเป็นจริงอย่างเป็นที่สุดอีกด้วย   เพราะกระบวนธรรมหรือธรรมชาติของจิตย่อมดำเนินเกิดขึ้นและเป็นไปดังตัวอย่างต่อไปนี้  อันเกิดแต่การกระทบของเสียงที่ไม่ถูกใจ เช่นเสียงด่าว่า

หู กระทบกับ เสียง เป็นปัจจัย จึงมี โสตวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี สัญญา(จำได้ถึงความไม่ชอบในความหมายของเสียงนั้นเป็นธรรมดา แต่ไม่มีกิเลส แต่ก็เป็นไปตามความจำที่จดจำและเข้าใจ) เป็นปัจจัย จึงมี ทุกขเวทนา ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นปัจจัย จึงมี สัญญา(หมายรู้ ที่รู้ตามจริง) เป็นปัจจัย จึงมี จิตสังขาร ป็นความโกรธ ดังที่ท่านกล่าวตอบว่า มีอยู่  จึงเป็นคำตอบตามความสัจจ์ยิ่ง

กล่าวคือ เกิดขึ้นและเป็นไปตามที่ท่านกล่าวไว้นั้นจริงๆ   แต่ไม่เอาจึงมีความหมายอันสำคัญยิ่ง ที่หมายถึง มีสติ(เห็นเวทนานุปัสสนาหรือจิตตานุปัสสนา)แล้วไม่เอาไปยึดถือ  หรือไม่เอาไปคิดนึกปรุงแต่ง  หรือไม่เอาไปฟุ้งซ่านปรุงแต่ง กล่าวโดยสรุปก็คืออุเบกขานั่นเอง  ดังนั้นแม้เกิดทุกขเวทนาที่ไม่ถูกใจและจิตสังขารที่เป็นโทสะหรือโกรธแล้วก็ตาม  อันเกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติเป็นธรรมดาของกระบวนการรับรู้ของชีวิต  เป็นไปในลักษณาการของขันธ์ ๕ ที่ยังคงมีอยู่ จึงต้องเกิดการรับรู้ขึ้นเป็นไปตามธรรมเป็นธรรมดา,  แต่เมื่ออุเบกขาเสียแล้ว จิตสังขารนั้นก็จบลง ณ ที่นั้น  แบบค่อยๆมอดดับไปซึ่งย่อมไม่รวดเร็วดังการเกิด  แต่เมื่อไม่ต่อความยาวสาวความยืดให้เกิดการปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านไปในอารมณ์นั้นๆอีกให้เกิดตัณหา อุปาทาน  ภพ  ชาติ  ชรา อันเป็นอุปาทานทุกข์ ที่เป็นทุกข์จริงๆที่เร่าร้อนเผาลน ที่พระองค์ท่านต้องการให้ดับสนิทไปในทางพระพุทธศาสนา  ซึ่งไม่ใช่ทุกข์ธรรมชาติอีกต่อไปที่แม้เป็นทุกข์บ้างตามธรรมหรือตามธรรมชาติก็จริงอยู่ แต่ไม่เร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายเยี่ยงอุปาทานทุกข์

       ในกรณีที่เกิดแต่กายกระทบโผฏฐัพพะอย่างรุนแรง  ถ้าพิจารณาโดยแยบคาย จะเห็นเด่นชัดจนเกิดปัญญาจักขขึ้นได้ว่า ต้องเป็นเฉกเช่นนี้เองเป็นธรรมดา

กาย กระทบกับ โผฏฐัพพะ(อย่างแรง) เป็นปัจจัย จึงมี กายวิญญาณย่อมเกิดขึ้น เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี สัญญา(จำได้ในทุกข์กายนั้น) เป็นปัจจัย จึงมี ทุกขเวทนา ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ไม่สามารถเป็นอื่นไปได้  ลองตีแขนตัวเองอย่างแรงๆดู ก็จะเห็นเด่นชัดขึ้น  ตีแรงๆครั้งใดก็เกิดทุกขเวทนาความรู้สึกเจ็บปวดที่ไม่สบายกาย ไม่ชอบใจทุกครั้งทุกทีไป ไม่เป็นอื่น   พึงโยนิโสมนสิการโดยแยบคายพิจารณาทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้โดยละเอียดและแยบคายว่า เป็นทุกขเวทนาจริงๆกล่าวคือไม่สบายกาย ไม่ชอบใจเป็นธรรมดา  แต่ขาดเสียซึ่งความเร่าร้อนเผาลนจนเป็นทุกข์อุปาทาน  เพราะไม่ได้เกิดตัณหา  อุปาทาน จนเป็นทุกข์อุปาทาน,  ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นเพียงทุกขเวทนาหรือทุกข์ธรรมชาติของชีวิตอันมีมาแต่การเกิดนั่นเอง  พึงโยนิโสมนสิการว่า พึงมีผู้หนึ่งผู้ใดหลีกหนี หลบพ้นได้หรือ?  เป็นเช่นนี้เอง เป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาตินั่นเอง

       ในกรณีที่เกิดแต่กายกระทบโผฏฐัพพะอย่างรุนแรง โดยบุคคลอื่นมากระทำโดยไม่เต็มใจ

กาย กระทบกับ โผฏฐัพพะ(อย่างแรง) เป็นปัจจัย จึงมี กายวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี สัญญา(ชนิดขุ่นมัวในทุกข์กายนั้น) เป็นปัจจัย จึงมี ทุกขเวทนา ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ไม่สามารถเป็นอื่นไปได้   ผู้อื่นตีแรงๆครั้งใดก็เกิดทุกขเวทนาความรู้สึกเจ็บปวดที่ย่อมไม่ชอบใจทุกครั้งทุกทีไป ไม่เป็นอื่น  แต่มักเกิดตัณหาชนิดวิภวตัณหา เป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมี จนเป็นอุปาทานทุกข์ที่เร่าร้อนแลมีกำลัง  จนเกิดจิตสังขาร แช่งชักหักกระดูกในใจ  ถ้ารุนแรงก็อาจร่วมด้วยวจีสังขารถึงขั้นเกิดการด่าทอต่อว่า หรืออาจร่วมเกิดกายสังขารร่วมด้วยถึงขั้นลงมือลงไม้ก็เป็นได้

       ในกรณีที่เกิดแต่ธรรมารมณ์ชนิดความคิดแฝงกิเลสมากระทบใจ  ก็ดำเนินเป็นไปเฉกเช่นเดียวกัน  ดังนี้

คิด กระทบกับ ใจ เป็นปัจจัย จึงมี มโนวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี สัญญา(ความจำหรืออาสวะกิเลส ชนิดขุ่นมัวในความคิดนึกนั้น) เป็นปัจจัย จึงมี ทุกขเวทนา ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา

        ดังนั้น อุเบกขา เป็นกลาง วางทีเฉย ในโพชฌงค์หรือใช้ในการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ จึงหมายถึง การระลึกรู้เท่าทันตามความเป็นจริง แล้วมีเจตนาความตั้งใจ วางใจหรือจิตให้เป็นกลาง ที่มิได้หมายความว่าเป็นกลางอย่างชนิดต้องรู้สึกเฉยๆด้วยอุเบกขาเวทนา  แต่เป็นกลางวางเฉยที่หมายถึง เป็นกลางโดยการตั้งใจไม่เข้าไปแทรกแซงปรุงแต่งในกิจหรือเรื่องนั้นๆต่อไปคือปล่อยวาง กล่าวคือ เมื่อสติระลึกรู้เท่าทันเวทนา(เช่น ทุกขเวทนา,สุขเวทนา,อุเบกขาเวทนา ฯ. - เวทนานุปัสสนา) หรือรู้เท่าทันจิต(จิตสังขาร เช่น ความคิดฟุ้งซ่าน,โทสะ,โมหะ ฯ. - จิตตานุปัสสนา) ที่เกิดขึ้น  จากการที่สิ่งต่างๆจรมากระทบ(ผัสสะ)ไม่ว่าจากทวารใดๆเป็นเหตุก็ตาม อันมี ตา หู จมูก ลิ้น  กาย  ใจ,   ก็เพียงรับรู้ตามความเป็นจริง  ในความรู้สึกเช่นทุกขเวทนา หรือจิตสังขาร เช่น โทสะ ฯ.ใดๆที่เกิดขึ้นเหล่านั้น   รู้สึกอย่างไรก็ย่อมรู้สึกเช่นนั้น อันเป็นไปตามธรรมหรือเหตุ   ไม่กดข่มหรือไม่ปรุงแต่งใดๆ เช่นมีจุดประสงค์ปรุงแต่งเพื่อไม่ให้เกิดความรู้สึกเช่นทุกขเวทนาขึ้น   แต่ให้มีสติ  รู้เท่าทัน แล้วหยุดไม่ปล่อยให้ความคิดเลื่อนไหลไปคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านไปกับเวทนาหรือจิตสังขารนั้นๆต่อไปอีก โดยการเป็นกลาง วางทีเฉยด้วยการไม่แทรกแซงด้วย กริยาจิต หรือ ถ้อยคิดปรุงแต่ง ใดๆในเรื่องเหล่านั้น   กล่าวคือ ไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซงไปคิดนึกปรุงแต่งไปทั้งในทางดีหรือชั่ว ดั่งเช่น  ถูกหรือผิด  บุญหรือบาป  อดีตหรืออนาคต  ใกล้หรือไกล  ละเอียดหรือหยาบใดๆทั้งสิ้น   ซึ่งก็คือการหยุด กริยาจิต ตลอดจนการคิดนึกปรุงแต่งหรือการฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งในอารมณ์เหล่านั้นนั่นเอง  การอุเบกขา ระลึกรู้เท่าทันตามความเป็นจริงในเวทนาหรือจิต แล้วเป็นกลางวางทีเฉย  ฟังดูแล้วเห็นว่า หลักปฏิบัติอันยิ่งใหญ่ช่างแลดูง่ายแสนง่าย  แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ปฏิบัติได้ยากแสนยาก จึงต้องเพียรสั่งสมอบรมปฏิบัติ   แรกปฏิบัติย่อมยากเย็นแสนเข็ญเป็นธรรมดาเพราะเป็นการฝืนสภาวธรรมของสังขารกิเลสอันสั่งสมมาอย่างยาวนานตามดังวงจรปฏิจจสมุปบาท กล่าวคือ ตั้งแต่เกิดจำความได้จวบจนปัจจุบัน  หรือยาวนานจนไม่รู้ว่าสั่งสมมานานสักกี่ภพกี่ชาติมาแล้วนั้น ที่ปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา   แรกปฏิบัติใหม่ๆจึงอาจต้องอาศัยธรรมต่างๆเป็นเครื่องช่วย ดังที่กล่าวไว้ในเรื่องทุกขังในพระไตรลักษณ์  กล่าวคือ เมื่อมีสติระลึกรู้เท่าทันเวทนาหรือจิตแล้ว อาจอาศัยอิริยาบถบดบังทุกข์หรือการแยกพรากช่วยเบี่ยงเบนบดบัง จนกว่าจะดับไป กล่าวคือ ให้จิตไปอยู่กับสิ่งอันควร ดังเช่น มีสติอยู่ในกาย เวทนา จิต ธรรม หรือสติปัฏฐาน ๔ ขยายความ,  หรือเมื่อระลึกรู้เท่าทันแล้ว พุทโธ กำกับอย่างมีสติ  หรือจะอยู่กับการบริกรรมอย่างมีสติว่า อุเบกขาเป็นกลาง วางทีเฉย ด้วยการไม่เอนเอียงแทรกแซงสอดแส่ด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตใดๆในเรื่องนั้น   หรืออิริยาบทอื่นๆ อันครอบคลุมถึงอยู่ในกิจหรืองานอันควรตามหน้าที่ตน  หรือคิดในเรื่องอันควรอื่นๆ เช่น การพิจารณาธรรม ที่เราเรียกกันว่า มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ ดังเช่น การเห็นเวทนาเป็นสุขเป็นทุกข์บ้าง(เวทนานุปัสสนา) หรือการเห็นจิตโทสะ โมหะบ้าง(จิตตานุปัสนา) อันยังให้เกิดปัญญาญาณอีกด้วย  แต่เมื่อเชี่ยวชาญชำนาญขึ้นจากการสั่งสมอบรมด้วยความเพียร  เมื่อรู้เท่าทันตามความจริงแล้ว ก็อุเบกขาเป็นกลางวางทีเฉยเสียดื้อๆ  ไม่ต้องเยิ่นเย้อต่อความยาวสาวความยืดใดๆอีกต่อไป  กล่าวคือ ไม่ไปต่อล้อต่อเถียงกับจิต  ไม่เปิดโอกาสให้จิตหลอกล่อออกไปปรุงแต่งให้เกิดการผัสสะขึ้นนั่นเอง

เวทนาหรือจิตสังขารที่ก่อให้เกิดทุกข์เหล่านั้น  เมื่อระลึกรู้เท่าทันอันประกอบด้วยปัญญา

แล้วอุเบกขาได้ ก็จักเกิดอาการค่อยๆมอดลง...มอดลง...มอดลง...จนดับไป  

ให้เห็น  ให้รู้ประจักษ์  ได้เฉพาะตน(ปัจจัตตัง)ในที่สุด

การเกิดวิภวตัณหาต่อทุกขเวทนาเหล่าใด  ย่อมยังให้เกิดอุปาทานทุกข์ขึ้นเป็นธรรมดา  หรือ

การเกิดภวตัณหาต่อสุขเวทนาเหล่าใด  ก็ย่อมยังให้เกิดอุปาทานทุกข์ขึ้นเป็นธรรมดา เช่นกัน

การปล่อยให้เลื่อนไหลไปคิดนึกปรุงแต่ง ยังผลให้เกิดเวทนาขึ้นอีก อันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา อันก่อทุกข์ขึ้นเนื่องต่อไปนั่นเอง

        เหตุที่ต้องอุเบกขา  ก็เพราะทุกๆความคิดปรุงแต่งหรือจิตฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งนั้น  ล้วนยังให้เกิดเวทนาขึ้นอีกทุกทีทุกครั้งไปตามธรรมหรือเหตุ  อันย่อมเป็นไปดังกระบวนธรรมของจิตดังนี้เป็นธรรมดา

คิดปรุงแต่ง กระทบกับ ใจ  มโนวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี สัญญา(ความจำ) เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นเป็นธรรมดา

กล่าวคือ ย่อมยังเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเวทนาขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องจากทุกๆความคิดที่เกิดขึ้นนั้น ดังเช่น เกิดทุกขเวทนาอันเป็นทุกข์ธรรมชาติขึ้นอย่างต่อเนื่องกันไป   และที่สำคัญยิ่ง   เวทนาเหล่านั้นยังอาจเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้นในที่สุด จากการคิดนึกปรุงแต่งต่างๆเหล่านั้น   จึงยิ่งทำให้เวทนาเหล่านั้นแปรปรวนไปเป็นเวทนูปาทานขันธ์หรือเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน ที่ยิ่งแสนเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายกว่าทุกข์ธรรมชาติ(เวทนา)อีกมากนัก  อันล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปตามวงจรการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง

        การระลึกรู้เท่าทันตามความเป็นจริงในเวทนาหรือจิต  แล้วจึงอุเบกขา ก็เป็นสิ่งจำเป็นยิ่งเช่นกัน  เพราะมิฉนั้นจะเกิดความเคยชินตามที่สั่งสมอย่างผิดๆ(สังขารกิเลส)ในการไปหยุดความคิดอันดีงามอื่นๆในการดำเนินชีวิตในภายภาคหน้า  กลายเป็นคนขี้หลงขี้ลืม ไม่รู้หน้าที่หรือกิจอันควรไปเสีย

        อนึ่งการแยกแยะว่าสิ่งใดเป็นความคิดอันจำเป็นในการดำรงชีวิต(ขันธ์ ๕)  หรือสิ่งใดที่เป็นคิดนึกปรุงแต่ง หรือจิตส่งออกนอกไปปรุงแต่ง หรือฟุ้งซ่านออกไปภายนอก(กาย เวทนา จิต ธรรม) อันก่อให้เกิดทุกข์ จะบังเกิดได้อย่างถูกต้อง ต้องเกิดแต่ความเข้าใจหรือภูมิรู้ภูมิญาณ อันจักบังเกิดขึ้นได้จากการโยนิโสมนสิการ  เพราะย่อมไม่สามารถหยุดคิดหยุดนึก คือไปยึดความว่างจากการคิดทั้งปวงว่าเป็นทางพ้นทุกข์นั่นเอง

        การอุเบกขาหรือตัตรมัชฌัตตตานั้น เป็นหนึ่งในเจตสิก ๕๒(ข้อที่ ๓๔) อันเป็น สังขารขันธ์   ชนิดจิตตสังขารอย่างหนึ่ง จึงต้องประกอบด้วยสัญเจตนา ที่หมายถึง มีเจตนาหรือความจงใจหรือคิดอ่านที่จะกระทำขึ้น  ไม่ใช่จะเกิดขึ้นมาได้เองเฉยๆ  แล้วกระทำหรือปฏิบัติอย่างไรเล่า ?  ก่อนอื่นจึงต้องมีสติรู้เท่าทัน  แล้วมีเจตนากระทำเนื่องมาจากความรู้เข้าใจในธรรม(ปัญญา)  จึงกระทำโดยการไม่เอนเอียงไม่แทรกแซงด้วยถ้อยคิดปรุงแต่งหรือกริยาจิตใดๆ(ชอบ ชัง ฯ.)  เป็นสังขารขันธ์การกระทำการปฏิบัติที่มีคุณยิ่งอนันต์  จึงสามารถฝึกฝน สามารถปฏิบัติได้   อันเป็นสิ่งที่ควรภาวนา คือทำให้เจริญ ให้มี ให้เกิด ให้เป็น (ภาเวตัพพธรรม)   ในขั้นต้นนั้น จึงเป็นสิ่งที่ต้องเจตนากระทำหรือฝึกปฏิบัติที่ แม้ทำได้ยากแสนยากจริงๆ    จึงต้องหมั่นเพียรยิ่งในการฝึกฝนอบรม  จนในที่สุดเป็นความเคยชิน หรือสังขารที่สั่งสมไว้ ดังเช่น สังขารในปฏิจจสมุปบาท เพียงแต่มีแตกต่างอันยิ่งใหญ่ตรงที่มิได้เกิดแต่อวิชชา  แต่กลับก่อเกิดขึ้นมาจากวิชชา,  กล่าวคือ เมื่อเป็นสังขารอันสั่งสม  ไว้แล้ว ก็จะเหมือนกับสังขารขันธ์อื่นๆที่ได้สั่งสมไว้ เช่น การอ่านหนังสือ การว่ายนํ้า การขี่จักรยาน  บุคคลิก ฯลฯ. อันสามารถผุดขึ้นมากระทำเอง หรือกระทำเองโดยอัติโนมัติในที่สุด หรือโดยความเชี่ยวชาญชำนาญยิ่งนั่นเอง   อันเป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ของชีวิตอันยิ่งใหญ่เช่นกัน  ที่สามารถฝึกฝนอบรมได้   หรือก็คือมหาสติ   นั่นเอง อันเป็นไปเพื่อการดับทุกข์อย่างถูกต้องดีงามนั่นเอง  ข้อสำคัญการอุเบกขานี้เกิดจากสติระลึกรู้ตามความเป็นจริงหรือธรรมหรือปัญญานั่นเอง  ไม่ใช่คิดนึกสิ่งใดก็จักอุเบกขาแต่ฝ่ายเดียว อันจักกลายเป็นอุเบกขาในวิปัสสนูปกิเลส(ข้อ ๙)ไปเสีย

        สติและปัญญา ต่างก็ล้วนเป็นสังขารขันธ์ชนิดจิตสังขารหรือมโนสังขารเช่นกัน  จัดอยู่ในอาการของจิตในเจตสิก ๕๒ ข้อที่ ๒๙ และ๕๒  จึงเป็นสิ่งที่ต้องมีสัญเจตนาหรือเจตนาหรือความจงใจในการกระทำเช่นกัน  และด้วยความเพียรยิ่งเช่นกัน

        อุเบกขาในโพชฌงค์ จึงเป็นการหลักปฏิบัติที่สำคัญยิ่งเป็นที่สุด  เป็นองค์สุดท้ายในโพชฌงค์ ๗ ในการยังให้เกิดวิชชาและวิมุตติให้บริบูรณ์  หรือการดับไปแห่งทุกข์ให้บริบูรณ์ ที่หมายถึง การปฏิบัติโดยการ เป็นกลางวางทีเฉย กล่าวคือรู้สึกอย่างใดก็อย่างนั้นเป็นธรรมดา แต่ต้องไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซงไปปรุงแต่งไปฟุ้งซ่าน ด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตอย่างใดในอารมณ์นั้นๆ  กล่าวคือไม่ไปยึดมั่นหมายมั่น ไม่ปรุงแต่งแม้ใน ดี-ชั่ว  สุข-ทุกข์  บุญ-บาป  อดีต-อนาคต  ถูก-ผิด  เขา-เรา ฯลฯ.ใดๆ  เพราะล้วนเป็นการเอนเอียงไปแทรกแซงด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิต ดังเช่น เราถูกเขาผิด เราดีเขาชั่ว ฯลฯ.  ต่างล้วนเป็นมารยาของจิต อันย่อมยังให้เกิดเวทนาขึ้นจากการผัสสะตามการฟุ้งซ่านปรุงแต่งนั้นๆ  อันจักเป็นปัจจัยให้เกิดทุกขเวทนาอย่างต่อเนื่อง และถ้ามีตัณหาเกิดขึ้นต่อเวทนาใดเวทนาหนึ่งที่เกิดขึ้นเหล่านั้น ก็ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานทุกข์ขึ้น หรือเกิดอุปาทานทุกข์เผาลนต่อเนื่องแบบ เกิดดับ เกิดดับ....ไปอย่างยาวนาน  จนรู้สึกราวกับว่าต่อเนื่องเป็นชิ้นเป็นอันเดียวกัน  ทั้งๆที่เกิดขึ้นและเป็นไปในลักษณาการเกิดดับ...เกิดดับ.....

        ถ้าไม่รู้ว่าจะให้จิตอยู่ในสิ่งใด มีความรู้สึกว่าเคว้งคว้างไม่มีที่ยึดเหนี่ยว ก็ให้กำหนดอยู่ใน กาย เวทนา จิต ธรรม ขยายความ หรือที่กล่าวกันสั้นๆว่า ให้มีสติอยู่กับกายหรือจิต หรือมีสติอยู่กับรูปหรือนาม (แต่ต้องไม่ใช่จิตส่งใน) อันเป็นเครื่องอยู่ ที่หมายถึง มีสติรู้เท่าทัน หรือเพื่อการพิจารณา แล้วปล่อยวาง (ถ้าเป็นการพิจารณาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ไม่ถือว่าเป็นการไม่ปล่อยวาง) ที่ยังประโยชน์ยิ่งในการดับทุกข์  ไม่เป็นทุกข์โทษภัย และยังให้เกิดการสั่งสมปัญญาในการดับทุกข์อย่างถาวร

        อุเบกขา จะปฏิบัติได้ผลอย่างดียิ่ง  เมื่อกอบด้วยองค์ธรรมอีกทั้ง๖ ในโพชฌงค์ ๗  เป็นเหตุปัจจัยเครื่องสนับสนุนร่วมกัน  อันมี  สติ๑  เป็นปัจจัยเครื่องหนุน ธัมมวิจยะ๑  เป็นปัจจัยเครื่องหนุน วิริยะ๑  เป็นปัจจัยเครื่องหนุน ปีติ๑   เป็นปัจจัยเครื่องหนุน ปัสสัทธิ๑  เป็นปัจจัยเครื่องหนุน สมาธิ๑  เป็นปัจจัยเครื่องหนุน อุเบกขา

        ถ้าโยนิโสมนสิการในปฏิจจสมุปบาท หรือสติปัฏฐาน ๔ หรือในธรรมใดก็ตามที  กล่าวคือเมื่อเกิดปัญญาความเข้าใจธรรมอย่างถูกต้องดีงามแล้ว  เมื่อปฏิบัติต้องประกอบด้วยสติในการระลึกรู้เท่าทันอย่างต่อเนื่อง(สัมมาสมาธิในการดับทุกข์)  และองค์อุเบกขาด้วยทุกครั้งไป   เพราะตราบใดที่ยังคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านไปภายนอก(กาย เวทนา จิต ธรรม) หรือจิตส่งออกนอกไปคิดปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา ย่อมเกิดการผัสสะ ซึ่งย่อมยังให้เกิดเวทนาอันเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติทุกครั้งทุกทีไปเป็นธรรมดา (ศึกษารายละเอียดการเกิดขึ้นและเป็นไปทุกครั้งที่มีการกระทบผัสสะได้จากเรื่องขันธ์ ๕) จึงย่อมยังให้เกิดเวทนา ดังเช่นเกิดทุกขเวทนาอย่างต่อเนื่อง อุปมาดั่งการปาก้อนหินลงนํ้าอย่างไม่หยุดหย่อนนั่นเอง ผิวนํ้าอันอุปมาได้ดั่งจิตจึงเกิดการกระเพื่อมหวั่นไหวด้วยเวทนาทุกครั้งทุกทีไปที่มีการกระทบ  ผิวนํ้าหรือจิตจึงไม่สงบราบเรียบจากการกระทบ เกิดการกระเพื่อมหวั่นไหวอย่างต่อเนื่องตราบใดที่ยังไม่หยุดการขว้างหรือการปรุงแต่ง  กล่าวคือลองพิจารณาว่าเมื่อขว้างหินลงนํ้าย่อมเกิดการกระเพื่อมจากการกระทบกันเป็นธรรมดา ไม่เป็นอื่นไปได้  อย่างมากก็แค่มีความแตกต่างกันในความแรงค่อยของการกระทบ อันเป็นอีกเหตุปัจจัยหนึ่งเท่านั้น

กล่าวคือ ขว้างหินลงนํ้า อย่างไรเสียย่อมต้องมีการกระเพื่อมเป็นธรรมดา   

จะไม่ให้ผิวนํ้ากระเพื่อมหรือไม่ให้เกิดเวทนา ย่อมเป็นไปไม่ได้

 สามารถทำให้กระเพื่อมมากน้อยถี่ห่างต่างกันเท่านั้น   ส่วนการหยุดการขว้างเสียอุปมาดุจการหยุดปรุงแต่งหรือการอุเบกขา เป็นสิ่งที่กระทำได้นั่นเอง

ผิวนํ้าหรือจิต จึงย่อมสงบราบคาบลงเป็นลำดับ

        และเวทนาที่เกิดอย่างหลากหลายจากการปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านเหล่านั้น ย่อมอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้น อันจักทำให้เกิดทุกขเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน(เวทนูปาทานขันธ์)อันย่อมแสนเร่าร้อนเผาลน วนเวียนยิ่งกว่าทุกข์ธรรมชาติเดิมเสียอีก   จึงต้องมีองค์อุเบกขาเป็นการปฏิบัติควบคู่กำกับไปด้วย  เป็นการดับเหตุก่อ ที่จะยังก่อเหตุให้ต่อเนื่องสืบไปนั่นเอง  ดังในสติปัฏฐาน ๔ นั้น ในทุกๆท้ายบรรพหรือบท ท่านก็ใช้คำว่า ไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆในโลกนี้  ซึ่งมีจุดประสงค์หรือมีความหมายเดียวกันกับอุเบกขาในโพชฌงค์นั่นเอง  การปฏิบัติสติปัฏฐาน ๔ ก็คือการปฏิบัติในแนวทางปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง กล่าวคือ เมื่อเข้าใจและระลึกรู้เวทนาหรือจิตที่เกิดขึ้นตามวงจรแล้วก็ตาม  ก็ต้องหยุดคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่าน  หรือก็คือการอุเบกขาเป็นที่สุดนั่นเอง

        คำว่าไม่แทรกแซงด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตใดๆ   ถ้อยคิดหมายถึงความคิดความนึกไปปรุงแต่งหรือไปฟุ้งซ่าน  ส่วนคำว่ากริยาจิต  หมายถึงอาการการกระทำของจิต ดังเช่น การไปจดจ่อ ไปจดจ้อง ไปพัวพันหรือการไปโฟกัสในเวทนา(เช่น ทุกขเวทนา)หรือจิตเช่นความคิดที่เกิดขึ้นเหล่านั้น    อันพึงควรทำความเข้าใจให้ถูกต้องด้วยว่า หมายถึงการปฏิบัติในชีวิตประจำวันหรือกระทำเป็นประจำสมํ่าเสมอ    อันพึงยกเว้นในขณะวิปัสสนาหรือธัมมวิจยะพิจารณาธรรมนั้น เป็นเรื่องอีกเรื่องหนึ่งที่ต้องพึงกระทำ แต่เพื่อให้เกิดปัญญาเห็นเวทนาหรือจิตคิดนึกปรุงได้ชัดเจนตามความเป็นจริงเท่านั้น ดังเช่น ในการโยนิโสมนสิการ หรือสติปัฏฐาน ๔

สรุป

        อุเบกขาในโพชฌงค์  ประกอบด้วยทั้ง สติ สมาธิ และปัญญา กล่าวคือ มีสติระลึกรู้เท่าทันในเวทนาคือสุข ทุกข์ ไม่สุขไม่ทุกข์(เวทนานุปัสสนา)  หรือการมีสติระลึกรู้เท่าทันจิต กล่าวคือ จิตมีราคะ หรือจิตมีโทสะ หรือจิตมีโมหะ หรือจิตฟุ้งซ่าน หรือจิตหดหู่ ฯ.(จิตตานุปัสสนา) กล่าวคือมีสติระลึกรู้เท่าทันธรรมที่เกิดขึ้นแก่จิตอย่างหนึ่งอย่างใดก็ตามที อันย่อมส่งผลให้เป็นไปตามธรรมคือสิ่งที่มาผัสสะนั้นๆ เป็นธรรมดา กล่าวคือย่อมเกิดสุข ทุกข์ หรือจิตมีโทสะ ฯ. ตามการผัสสะนั้น  แล้วมีสมาธิที่หมายถึงการมีจิตตั้งมั่น โดยการเจตนาสำรวมคือระวัง ด้วยการไม่เอนเอียง ไม่เข้าไปแทรกแซงคิดนึกปรุงแต่งคือฟุ้งซ่านไปในกิจนั้นๆ  ไม่ยึดมั่นไปว่า ถูก-ผิด, บุญ-บาป, ดี-ชั่ว ฯ. ด้วยปัญญาที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งยิ่งจากการพิจารณหรือโยนิโสมนสิการในปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์ ๕ ว่า การแทรกแซงปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านต่อไปนั้น ย่อมยังให้เกิดการผัสสะอันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์ขึ้นสืบเนื่องต่อไป  เมื่อขาดการแทรกแซงปรุงแต่งหรือเหตุก่อเสียแล้ว ย่อมขาดการสืบเนื่องต่อไป และดับไปด้วยอำนาจอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นที่สุดโดยธรรมคือธรรมชาติ   เมื่ออุเบกขาดังนี้ด้วย สติ สมาธิ ปัญญา อย่างแน่วแน่และต่อเนื่อง ย่อมเป็นสังขารที่สั่งสมจนเป็นมหาสติขึ้นในที่สุด  อันย่อมทำให้จางคลายจากทุกข์ได้เป็นลำดับ จนถึงขั้นดับทุกข์เป็นที่สุด

        สำหรับผู้ที่เข้าใจปฏิจจสมุปบาทได้ดีแล้ว กล่าวคือ เห็นความเป็นเหตุเป็นปัจจัยกันจึงเกิดขึ้นได้เป็นลำดับอย่างถูกต้องแล้ว  ก็สามารถใช้อุเบกขาในตำแหน่งต่างๆที่สติควรระลึกรู้เท่าทัน ดังนี้

        ๑. เมื่อสติรู้เท่าทันเวทนา ในองค์ธรรมเวทนา  แล้วอุเบกขา (ดูรูปประกอบ)

        ๒. เมื่อสติเท่าทัน อุปาทานสังขาร(จิตตสังขาร)ดังในภาพประกอบ  แล้วอุเบกขา (ดูรูปประกอบ  "อุปาทานสังขาร" ที่อยู่ต่อจาก "ชาติอันคือสัญญูปาทานขันธ์")

        ๓. เมื่อสติรู้เท่าทัน อุปาทานเวทนา หรืออุปาทานสังขาร(จิตตสังขาร) ในวงจรชรา(วงจรเล็กสีแดงที่กระพริบอยู่)  แล้วอุเบกขา (ดูรูปประกอบ)

 วิธีการอุเบกขา โดยสรุปลัดสั้น

ถึงแม้อุเบกขาแล้วก็ตาม แต่ว่า.......เป็นกลาง วางใจเฉยไม่ได้

อุเบกขา แบบต่างๆ

การอุเบกขาให้ได้ผลยิ่ง

        ๑. ต้องมีญาณ คือความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เนื่องจากเป็นกำลังของจิตอันสำคัญยิ่งให้ปฏิบัติลุล่วงอย่างได้ผล ว่าทุกข์ล้วนแต่มีเหตุมาเป็นปัจจัยกันจึงเกิดขึ้น ดังความเข้าใจ(ญาณ)อันพึงเกิดขึ้นจากการเข้าใจในปฎิจจสมุปบาท หรือ อิทัปปัจจยตา หรือ ขันธ์ ๕

        ๒. ต้องมีสติรู้เท่าทันจิต คือ สติปัฏฐาน ๔ นั่นแล จนเป็นมหาสติ

        ๓. ต้องหมั่นปฏิบัติอยู่เนืองๆ  จนเป็นมหาสติอีกอย่างหนึ่งนั่นแล

การปฏิบัติ ไม่ใช่การหยุดคิดหยุดนึกทั้งปวง  แต่คิดแล้ว ให้มีสติรู้เท่าทันว่าเป็นจิตตสังขารเยี่ยงไร

และหยุดแต่การคิดนึกปรุงแต่ง(มโนกรรม)ที่เห็นว่าเป็นโทษหรือควรแก่เหตุแล้ว  ด้วยการอุเบกขาเสียนั่นเอง

จึงไม่ใช่การหยุดคิดหยุดนึกโดยการไปอาศัยอยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งดังเช่นในสมาธิ

หรือแม้แต่ไปยึดในความว่างเป็นอารมณ์อย่างผิดๆ

จนเกิดความสุขสบายเป็นวิกขัมภนวิมุตติ  จึงเข้าใจผิดไปว่าเป็นการหลุดพ้นอย่างถูกต้อง

โพชฌงค์ ๗ ยังให้วิชชาและวิมุตติบริบูรณ์

 

 

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ