ข้อเตือนใจนักปฏิบัติ

         นักปฏิบัติที่ปฏิบัติในแนวทางปฏิจจสมุปบาท หรือสติปัฏฐาน๔ คือ สติเห็นเวทนา(เวทนานุปัสสนา)  หรือสติเห็นจิต(จิตตานุปัสนา)  ขอให้มีสติเตือนใจตนว่า เวทนา หรือจิตคิดนั้นยังมีอยู่เป็นปกติธรรมชาติ   มิใช่หยุดเวทนาหรือหยุดคิด  เพียงแต่มีสติหยุดคิดปรุงแต่ง   เหตุที่กล่าวเตือนนั้น เพราะเมื่อเกิดเวทนาทั้งสุขเวทนาและทุกขเวทนาหรือจิตคิดขึ้นมาก็ตาม   ถึงแม้จะเห็นการเกิด  การแปรปรวน  หรือการดับอย่างแจ่มแจ้งบ้างแล้ว    แต่ถ้าไม่ถูกใจ ไม่ชอบใจ ก็จะแอบผลักไส   ถ้าถูกใจ ติดใจ ชอบใจก็แอบยึดไว้   อาการเหล่านี้เกิดแต่ความเคยชินที่ได้สั่งสมมายาวนานตั้งแต่จำความได้  จึงมักไหลเลื่อนกระทำเองโดยอัติโนมัติอย่างไม่รู้ตัว หรือเป็นสังขารอันเกิดแต่อวิชชานั่นเอง  กล่าวคือ เห็นเวทนาหรือจิตอย่างแจ่มแจ้งก็จริงอยู่ แต่สตินั้นไม่ทันว่า ยังคงต้องเกิดต้องมีเช่นนั้นเป็นธรรมดา เพราะความที่ได้สั่งสมเคยชินมาอย่างแก่กล้าดังที่กล่าวไว้  จึงเกิดเป็นตัณหาต่อความรู้สึกนั้นๆโดยไม่รู้ตัว   จึงเพียงแต่รู้ถึงสภาวะของการเกิดขึ้น  แปรปรวน  ดับไป   และหยุดคิดปรุงแต่ง  อันจึงย่อมต้องรับรู้ยอมรับตามความเป็นจริงในเวทนาเหล่านั้นว่าเป็นธรรมดา  เมื่อมีสติเวทนาใจก็จะเบาบางลงเอง  ไม่ใช่การไปเผลอ อยากให้เกิด  อยากให้มี  อยากให้เป็น    หรือไม่อยากให้เกิด  ไม่อยากให้มี  ไม่อยากให้เป็นขึ้น  อันจะก่อให้เกิดความทุรนทุรายเร่าร้อนโดยไม่รู้ตัว

-------------------

ตัณหาจะเกิดขึ้นมาได้  ต้องอาศัยเวทนา

เพราะ

เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา

          แต่เวทนาก็เป็นสภาวะธรรมของชีวิต  จึงดับให้สนิทไปไม่ได้  แต่อยู่ในสภาวะเกิดดับๆๆๆ  อยู่เยี่ยงนั้น   จึงยังคงต้องมีอยู่ในลักษณาการดังที่กล่าว   เวทนานุปัสสนาจึงหมายถึงการปฏิบัติในทางปัญญาที่หมายถึงรู้เข้าใจตามความเป็นจริง และการมีสติระลึกรู้เท่าทันในเวทนาที่เกิดขึ้นเหล่านั้น จนเป็นมหาสติ คือ ทำหรือปฏิบัติได้เอง อันเกิดแต่ความชำนาญอย่างยิ่งยวด ดังเช่น การอ่านหนังสือออก   หรือมหาสตินั่นเอง

 

กลับสารบัญ

 

  

 

 

 

hit counter