สติ ควรระลึกรู้เท่าทันระดับใดในการปฏิบัติ ที่ยังผลอันยิ่ง |
|
อุปมาดั่ง สติระลึกรู้เท่าทัน คือนึกขึ้นมาได้ จำขึ้นมาได้ ในสัญญา(ความจำ)แม่สูตรคูณ
คือระลึกรู้ ชนิดรู้เท่ารู้ทัน หรือนึกขึ้นได้ในทันที เมื่อกระทบคำถามว่า ๒ x ๒ = เท่าใด
สติระลึกรู้เท่าทันเวทนา หรือจิต แม้กาย, ธรรมก็ฉันนั้น อันจักให้ผลอันยิ่ง
อนึ่งพึงระลึกรู้ด้วยว่า
สติระลึกรู้เท่าทัน ดังนี้ว่า ๒ x ๒ = ๔, เป็นสติที่ประกอบด้วยญาณปัญญาอันยิ่ง อันยังให้วิชชานั้นบริบูรณ์ในที่สุด
อนึ่งสติระลึกรู้เท่าทัน เช่นดังนี้ว่า ๒ x ๒ = ๖, เป็นสติที่ประกอบด้วยมิจฉาญาณ หรือเป็นอวิชชายังให้เกิดความเดือดร้อนในที่สุด
สติ การระลึกรู้ การนึกขึ้นได้ การจำขึ้นมาได้ในสัญญา คือความจำต่างๆ (ถ้านึกไม่ออกลองพิจารณาดูว่า ความนึกขึ้นมาได้จากสัญญา(ความจำ)ว่า "2X2=เท่าไร" แล้วจำขึ้นมาได้ทันทีว่าเท่ากับ "4", การจำขึ้นได้ว่าเท่ากับ 4 นั่นแหละคือ การมีสติระลึกรู้ ความนึกขึ้นมาได้, จำขึ้นมาได้ อีกทั้งเท่าทันในการใช้การงานได้ดี อีกทั้งถูกต้อง นั่นแหละคือสติอย่างหนึ่ง อีกทั้งจัดเป็นมหาสติ คือรู้เท่ารู้ทันอย่างเรียกได้ว่าโดยอัตโนมัติด้วยความเพียรที่ได้สั่งสมมา แต่เพียงเป็นไปแบบโลกิยะหรือเพื่อประโยชน์ในทางโลกๆ
สติ คือ สังขารอย่างหนึ่ง มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสัญญาขันธ์(ความจำได้,หมายรู้) สติเองจัดเป็นสังขารขันธ์ที่ท่านจัดอยู่ในเจตสิก๕๐ ข้อที่ ๒๙(เป็นอาการอย่างหนึ่งของจิต คือการที่จิตระลึกได้ นึกได้ คือดึงความจำขึ้นมาได้ ความไม่เผลอ กุมจิตไว้กับสิ่งที่เคยเกี่ยวข้อง, จำการที่ทำหรือคำที่พูดแล้วได้ แท้จริงแล้วจึงมีความหมายถึง การระลึก หรือการนึกขึ้นได้ในสัญญา(ความจำ,ความหมายรู้)ที่สั่งสมอบรมไว้แต่อดีตจวบปัจจุบันนั่นเอง (ถ้าพิจารณาในแบบขันธ์ ๕ จึงมีความเนื่องสัมพันธ์กับสัญญาขันธ์ในขันธ์ ๕ นั่นเอง) หรืออีกนัยหนึ่งกล่าวได้ว่า สติ คือ การระลึกรู้ หรือการจำได้ในสัญญาจากอดีตที่สั่งสมอบรมมาอีกทั้งประกอบด้วยปัญญา, ดังนั้นพึงรู้ไว้ว่าทั้งสติและปัญญาแม้เป็นสังขารขันธ์ คือ อาการอย่างหนึ่งของจิต แต่เมื่อสั่งสมอบรมดีแล้วย่อมสามารถแปรไปทำหน้าที่เป็นสัญญา(ความจำได้,หมายรู้)ได้อีกด้วย ดังแม่สูตรคูณที่อบรมสั่งสมแต่เยาว์วัย จนในที่สุดย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของสัญญา(สัญญาขันธ์) และสามารถดึงสัญญาความจำนี้มาใช้งานได้ดีก็โดยสตินี้นี่เอง คือรู้เท่ารู้ทันในทันที
ดังนั้น สติ ก็คือ การระลึกรู้, การจำขึ้นมาได้, การนึกขึ้นมาได้ ในสัญญาคือความจำ ตามที่ได้สั่งสมอบรมเก็บจำไว้มาแต่อดีตแล้วนั่นเอง คือ การดึงเอาสัญญาขึ้นมาใช้งานได้ดีอย่างคล่องแคล่วว่องไว สติกับสัญญาจึงมีความสัมพันธ์กันแนบแน่นดังนี้นี่เอง, เหมือนดั่งแม่สูตรคูณ ที่สติระลึกรู้หรือจำได้ในสัญญา(ความจำ)ของแม่สูตรคูณได้ดี ที่ได้สั่งสมไว้จากการท่องบ่นแต่เยาว์วัยที่ประกอบด้วยความวิริยะหรือความเพียร อยู่เนืองๆบ่อยๆเสมอๆนั่นเอง
ในการปฏิบัติธรรมให้ได้ผลบริบูรณ์นั้น จำเป็นอย่างยิ่งต้องใช้สติระลึกรู้อย่างเท่าทันในสิ่งที่ปัญญาเห็นคือเข้าใจ (จึงประกอบด้วยสัญญาอีกด้วย) กล่าวคือเป็นมหาสติในกาย เวทนา จิต หรือธรรม, หรือเป็นมหาสติในปฏิจจสมุปบาทธรรม จึงเป็นสติดังในลักษณะที่จักอาราธนาธรรมคำสอนของ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี จากหนังสือ เทสรังสีอนุสรณาลัย เรื่อง "สิ้นโลก เหลือธรรม (นัยที่สอง)" (หน้า ๙๓) ที่ได้กล่าวถึงเรื่อง สติ ไว้ดังนี้
"จิตคือผู้คิดผู้นึกในอารมณ์ต่างๆ ที่รวมเรียกว่ากิเลส อันเป็นเหตุทำให้จิตเศร้าหมองนั่นเอง จึงต้องฝึกหัดให้มีสติระวังควบคุมจิต ให้รู้เท่าทันจิต ซึ่งคำนี้เป็นโวหารของพระกรรมฐานโดยเฉพาะ คำว่า " รู้เท่า " คือ สติรู้จิตอยู่ ไม่ขาดไม่เกินยิ่งหย่อนกว่ากัน สติกับจิตเท่าๆกันนั่นเอง คำว่า " รู้ทัน " คือ สติทันจิตว่าคิดอะไร พอจิตคิดนึก สติก็รู้สึกทันที (webmaster-ดังแม่สูตรคูณ) เรียกว่า " รู้ทัน " แต่ถ้าจิตคิดแล้วจึงรู้นี้เรียกว่า " รู้ตาม " อย่างนี้เรียกว่าไม่ทันจิต ถ้าทันจิตแล้ว พอจิตคิดนึก สติจะรู้ทันที ไม่ก่อนไม่หลัง ความคิดของจิตก็จะสงบทันที..ฯ." |
คำว่า รู้เท่า รู้ทัน ตามที่ท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี กล่าวแสดงข้างต้นนั้น ต้องทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง ถ้ายังไม่แจ่มแจ้ง ก็ขอให้ลองพิจารณาย้อนระลึกรู้อดีตในปัจจุบันชาตินี้ เมื่อในสมัยอยู่อนุบาลหรือประถมต้นๆ ที่เมื่อคุณครูสอนเลข เรื่องการบวก ลบ คูณ หารใหม่ๆ แล้วเมื่อถูกคุณครูหรือคุณพ่อคุณแม่ที่บ้านถามว่า ๒ x ๒ เท่ากับเท่าใด? แล้วตอบได้ แต่ประกอบด้วยอาการที่ลังเลบ้าง คิดนึกเสียนานบ้าง คิดนึกไม่ออกในเบื้องแรกบ้าง ตอบแบบมั่วบ้าง จึงผิดบ้าง ถูกบ้าง ตอบอย่างไม่แน่ใจบ้าง อาการลังเลสงสัยไม่แน่ใจบ้าง อาการประคับประคองเค้นหาคำตอบกว่าจะตอบออกมาบ้าง ดังนี้นี่เอง นั่นแหละเป็นเหมือนอาการที่หลวงปู่เทสก์กล่าวไว้ว่า เป็นอาการของการ"รู้ตาม"
ส่วนอาการในปัจจุบันชาติที่ได้สั่งสมจนเป็นมหาสติ ดังเมื่อมีใครถามว่า ๒ x ๒ เท่ากับเท่าใด? แล้วสามารถตอบได้ทันที โดยถูกต้องมั่นใจ เรียกได้ว่าโดยอัตโนมัติ คือสามารถทำได้เองราวกับตั้งอกตั้งใจอย่างแรงกล้า ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจหรือมัวประคับประคองแต่อันใดเลย ก็สืบเนื่องมาจากการฝึกฝนอบรมและสั่งสมมาอย่างดีงามมาแต่อดีตจนเป็นสัญญา(คือความจำได้)อย่างแนบแน่น จากการร่ำเรียนท่องบ่นพึมพำยิ่งว่า ๒ คูณ ๒ เท่ากับ ๔ หรือ ๓ + ๓ เท่ากับ ๖ จึงจดจำอันจัดเป็นกุศลสัญญาในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันชาตินี้อีกด้วย จากการสั่งสมอบรมปฏิบัติเล่าเรียนอีกทั้งท่องบ่นอยู่เสมอๆสมัยเด็ก, นั่นแหละอาการ"รู้ทัน, รู้เท่าทัน, รู้เท่าทันจิต" หรือก็คืออาการนึกขึ้นมาได้ จำขึ้นมาได้ อย่างเท่าทันอยู่เนืองๆ หรือ"มหาสติ"นั่นเอง เพียงแต่ว่าการรู้เท่าทัน ๒ x ๒ หรือ ๓ + ๓ เยี่ยงนี้นั้น ไม่จัดเป็นมหาสติในทางธรรมหรือโลกุตระ เหตุก็เพราะเป็นการระลึกรู้เท่าทันอย่างโลกๆหรือโลกิยะ ที่เป็นไปเพื่อยังประโยชน์แก่ขันธ์หรือชีวิตในปัจจุบันชาติที่สามารถนำไปใช้งานในชีวิตประจำวันได้เท่านั้น ไม่ได้เป็นไปเพื่อการดับไปของทุกข์ ที่เป็นไปเพื่อการดับภพชาติอย่างโลกุตระ ที่ควรระลึกรู้อยู่ใน กาย เวทนา จิต ธรรม เหมือนดั่งการระลึกรู้ในสูตรคูณแม่ต่างๆ อย่างเชี่ยวชาญชำนาญยิ่ง, ดังมักท่องจำได้ในสูตรคูณแม่ ๒ ถึงแม่ ๑๒ แต่ที่ใช้ในการงานก็จะคล่องแคล่ว เช่นการทำการงาน การขายของ การซื้อของ ที่ย่อมต้องทบทวนสั่งสมกันอยู่เสมอๆเป็นธรรมดา เพียงแต่ไม่รู้ตัว, ที่แม้อาจไม่คล่องแคล่วในบางสูตรคูณที่ไม่จำเป็นบางประการบ้าง อุปมาดั่งวิชชาทางโลกบางประการ ที่ชำนาญบ้าง ไม่ชำนาญบ้างเป็นธรรมดา แต่ยังประโยชน์อันยิ่งใหญ่ในการดำเนินชีวิตในปัจจุบันชาติ
หรือดั่งการอ่านหนังสือ ตามที่ได้สั่งสมอบรมบ่มเพาะร่ำเรียนมาด้วยความเพียรคือวิริยะ จนเป็นสัญญาความจำอันดีเลิศอย่างหนึ่งแล้ว ดังนั้นเมื่อตากระทบกับอักษรหนังสือ ก็เกิดสติระลึกรู้คือจำได้ในความหมายในทันที นั่นแหละ"มหาสติ" เกิดขึ้นจากอะไร? ถ้าพิจารณาแบบขันธ์ ๕ มหาสติก็คือสติระลึกเท่าทันปัญญาที่อบรมสั่งสมดีแล้วจนเป็นสัญญาที่เกิดจากการวิริยะ(ความเพียร)นั่นเอง กล่าวคือแม้สติเป็นสังขารขันธ์ที่ประกอบด้วยปัญญาอย่างหนึ่ง แต่เมื่อมีการสั่งสมอบรมฝึกฝนอยู่เนืองๆด้วยความเพียร ย่อมเกิดการสั่งสมเก็บจำได้หมายรู้อันเป็นชนิดกุศลสัญญาอย่างหนึ่งด้วยนั่นเอง มหาสติ ก็คือสิ่งปรุงแต่งหรือสังขารที่ประกอบด้วยปัญญาตามที่ได้สั่งสมอบรมไว้ดีแล้วด้วยความเพียรจนเป็นสัญญา เมื่อเกิดการผัสสะกับสิ่งนั้นๆก็เกิดการระลึกรู้ คือจำได้ขึ้นโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องมัวคอยตั้งสติหรือประคับประคองอย่างตั้งอกตั้งใจ เรียกได้ว่าสามารถทำได้โดยอัตโนมัติ ดังเช่น
หนังสือ ผัสสะ คิดอ่านหมายรู้ในข้อความนั้นๆ รูป |
2X2 ผัสสะ คิดอ่านหมายรู้ว่า = 4 รูป |
หรือจากความคิด
3+2 ผัสสะ คิดอ่านหมายรู้ว่า = 5 ธรรมารมณ์(คิด) |
สติ ระลึกรู้เท่าทันเยี่ยงดังนี้นี่เอง จึงเป็นเหมือนดังที่ท่านหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ได้กล่าวแสดงดังข้างต้น คือ อาการของ สติที่ "รู้เท่า" "รู้ทัน" ที่จักบังเกิดผลอันยิ่ง กล่าวคือ รู้เท่าทันสังขาร(ในแง่หรือมุมมองแบบปฏิจจสมุปบาท)ที่เกิดขึ้นจากอวิชชาร่วมกับความทรงจำ(สัญญาที่เจือกิเลสหรือก็คืออาสวะกิเลสนั่นเอง), หรือการรู้เท่าทันเวทนาว่าสักว่าเวทนา หรือเห็นจิตต่างๆ(รวมทั้งมโนกรรมอันเป็นส่วนหนึงของสังขารขันธ์จิตนั้นด้วย), ส่วนในทางสติปัฏฐาน ๔ ก็คือรู้เท่าทันใน กาย เวทนา จิต ธรรม, ทั้ง ๒ ต่างล้วนดีงามยิ่งและมีลักษณาการเดียวกัน จึงรู้เท่าทันแบบใดก็ย่อมได้ จึงขึ้นอยู่กับจริต สติ ปัญญา แนวทางปฏิบัติของตนที่สั่งสมอบรม เป็นสำคัญ แต่ล้วนยังให้เกิดผลอันยิ่ง มีจุดหมายปลายทางเดียวกัน กล่าวคือ ถ้ารู้เท่ารู้ทันความคิดทันทีจริงๆแล้ว ความคิดของจิตก็จะสงบทันที ไม่เปิดโอกาสให้จิตฟุ้งซ่านขยายความต่อไปอีกนั่นเอง
สติระลึกรู้เท่าทัน ในขณะฝึก สั่งสมอบรมนั้น ก็ไม่ใช่การที่ต้องมีสติระลึกรู้ทุกอย่างเสียจนเขม็งเกร็ง หรือแน่วแน่ แน่นิ่งดั่งสมถสมาธิ และต้องไม่ประคับประคองจนเกินไป แต่ให้เหมือนดังสติรู้เท่าทันในทางโลกเช่นเรื่องสูตรคูณ ที่ร้องท่องบ่นเป็นเพลงแม่สูตรคูณต่างๆด้วยความเพียร จนเชี่ยวชาญชำนาญยิ่งเสียแค่พอเห็นหรือได้ยิน ก็เกิดการ"ระลึกรู้จำได้"ในสัญญาขึ้นในทันที, และก็ไม่ใช่การต้องมีสติระลึกรู้เท่าทันไปเสียทุกๆอย่าง ก็เพียงแม่ ๒ ถึงแม่ ๑๒ ก็เพียงพอแล้วในการดำเนินชีวิตในทางโลกไปได้ด้วยดีแล้ว เป็นแค่พอเหมาะพอควร ในทางธรรมก็เป็นไปในลักษณาการเดียวกัน เช่น ฝึกสติให้สติเห็นเวทนาต่างๆบ้าง หรือจิตอันให้โทษเช่น โทสะ โมหะ โลภะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯ. เหล่านี้เป็นต้น
ในสติปัฏฐาน ๔ ที่ให้รู้เท่าทัน หรือจำขึ้นมาได้ นึกขึ้นมาได้ในเหล่าเวทนาหรือจิต ในขณะเกิดบ้าง ขณะแปรปรวนบ้าง ขณะดับไปแล้วบ้าง กล่าวคือ อาจรู้ทันบ้าง อาจรู้ตามบ้าง อาจระลึกรู้ภายหลังบ้าง หรือรู้ธรรมของจิตบ้าง(เช่นเกิดแต่เหตุปัจจัยใด) เพราะล้วนเป็นการฝึกฝนปฏิบัติให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์อยู่ คือรู้เท่ารู้ทัน, ในเบื้องแรกย่อมมิสามารถรู้เท่าทันจนเป็นมหาสติได้อย่างสูตรคูณในทันที เป็นธรรมดา ย่อมเป็นเหมือนกับขณะเล่าเรียนในชั้นอนุบาลหรือประถมต้น ที่มีการรู้ทันบ้าง รู้ตามบ้าง ระลึกรู้เมื่อดับไปแล้วบ้าง ระลึกรู้เห็นในสภาวธรรมของการเกิด การแปรปรวน การดับไปเป็นธรรมดาบ้าง แต่ล้วนเป็นการฝึกสติอีกทั้งสั่งสม อีกทั้งยังสั่งสมจนเกิดปัญญาเข้าใจในสภาวธรรมต่างๆ เช่น พระไตรลักษณ์ ฯลฯ. และเมื่อมีสติดังนี้อยู่เนืองๆเป็นอเนก ย่อมกลายเป็นมหาสติขึ้นในที่สุด เหมือนดั่งเป็นมหาสติในแม่สูตรคูณหรือการอ่านหนังสือนั่นเอง เป็นการระลึกรู้ในภาวะวิถีจิต คือในขณะที่มีการรับรู้อารมณ์ต่างๆที่กระทบในวิถีชีวิตปกติ (จึงไม่เหมือนดั่งสมถสมาธิที่แน่วแน่อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเดียวเท่านั้น)
ส่วนในปฏิจจสมุปบาทนั้นก็เป็นไปเฉกเช่นเดียวกัน ที่ขั้นแรกนั้นปัญญาย่อมยังไม่เข้าใจแจ่มแจ้ง และยังทั้งไม่เท่าทันใน"สังขาร"สิ่งปรุงแต่งอันเกิดแต่อวิชชาร่วมกับอาสวะกิเลสเป็นธรรมดาในการปฏิบัติขั้นต้นๆ แต่ก็เป็นไปเพื่อให้เกิดการสั่งสม จึงต้องรู้ทันเวทนา(องค์ธรรมในปฏิจจสมุปบาท)บ้าง หรือตัณหา(อกุศลสังขารขันธ์)บ้าง ยังอีกทั้งเวทนูปาทานขันธ์ และสังขารูปาทานขันธ์ที่อาจเกิดขึ้นในองค์ธรรมชราบ้าง ดังนั้นในระยะแรกปฏิบัติจึงย่อมเป็นการรู้เท่าทันบ้าง รู้ตามบ้าง รู้เมื่อเป็นสุขเป็นทุกข์ดับไปแล้วบ้าง เป็นธรรมดา จนในที่สุดแล้วสติที่ใช้ร่วมกับปัญญาที่ใช้ในการปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งอวิชชาที่ต้องปฏิบัติสั่งสมจนพัฒนาเป็นสติที่ "รู้เท่า" "รู้ทัน" บรรดาสังขารกิเลสดังแสดงข้างต้นจึงเป็นที่สุดของการดับทุกข์ อันจักบังเกิดขึ้นจากการปฏิบัติด้วยความเพียรสั่งสมจนกล้าแข็ง แลเป็นมหาสตินั่นเอง อนึ่งการรู้เท่าทันสังขารกิเลสที่เกิดขึ้น ไม่ได้หมายถึงการปฏิบัติแบบหยุดคิดหยุดนึกเสียดื้อๆทุกอย่าง แต่เป็นเพียงสังขารกิเลส
จงฝึกจิตหรือสติให้รู้เท่าทันจิต และความคิดมโนกรรมอันเป็นส่วนหนึ่งของจิตหรือจิตสังขารหรือสังขารขันธ์นั่นเอง ให้ได้ดุจดั่งตาเห็นรูป เช่นตัวอักษรหรือแม่สูตรคูณ และประกอบด้วยปัญญาที่เล็งเห็นว่าเกิดจากสังขารขันธ์ อันเป็นโทษ เช่น โทสะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ตัณหา ฯ. ก็ปล่อย วาง ไม่เอา หรืออุเบกขาสัมโพชฌงค์เสียนั่นเอง อันเป็นการปฏิบัติจิตตานุปัสสนานั่นเอง
สติควรระลึกรู้เท่าทัน ระดับใด ดังคำสอนหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี ดังข้าวต้นแล้ว ก็ยังมีจากธรรมคำสอนของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่กล่าวแสดงไว้ใน วิธีเจริญจิตภาวนา ในข้อที่ ๔ ดังนี้
"จงทำญาณ(ปัญญา)ให้เห็นจิต ให้เหมือนดั่งตาเห็นรูป" (webmaster- ญาณหมายถึงปัญญาอีกทั้งสติ จึงหมายทั้ง สติ(ทั้งปัญญา)ให้เห็นทั้งเวทนาและจิต จิตที่หมายถึงจิตสังขาร(คือสังขารขันธ์และมโนกรรม)ที่เกิดขึ้น โดยให้รู้เท่ารู้ทันได้ดุจดั่งเมื่อ ตาเห็นรูป ที่ย่อมรู้แจ้งในรูปที่กระทบนั้นได้ในทันใด, อันจักพึงเกิดขึ้นได้จากการฝึกปฏิบัติ ให้ได้เหมือนการท่องแม่สูตรคูณหรือการอ่านเขียนเช่นกัน) หรือสติเป็นไปดังธรรมคำสอนของ หลวงปู่ดูลย์ อตุโล จากหนังสือ "อตุโล ไม่มีใดเทียม" (น.๔๖๙) ".........ในทางปฏิบัติที่ว่า
ปฏิบัติจิต ปฏิบัติใจ โดยให้ใจอยู่กับใจนี้
ก็คือให้มีสติกํากับใจให้เป็นสติถาวร
ไม่ใช่เป็นสติคล้ายๆ หลอดไฟที่จวนจะขาด
เดี๋ยวก็สว่างวาบ เดี๋ยวก็ดับ เดี๋ยวก็สว่าง (ดังภาพ
|
สติที่มันรู้เท่าทัน เหมือนดั่งใจเมื่อนึกถึงแม่สูตรคูณ แล้วระลึกรู้ หรือนึกขึ้นมาได้ จำขึ้นมาได้ในทันที และใช้งานได้อย่างดีนั่นเอง
สติรู้เท่าทันในกายนั้น
เป็นไปเพื่อจุดประสงค์ คือ เมื่อจิตกำหนดอยู่กับกายได้ดี ก็ย่อมหมายถึงละความดำริพล่านลงไปได้
จิตจึงสงบระงับ เมื่อจิตสงบระงับ, กายก็ย่อมสงบระงับตามเป็นเหตุปัจจัยกันไปอีกด้วย
จึงย่อมพบสุขสงบ เมื่อพบสุข จิตจึงตั้งมั่นเป็นสมาธิได้ดี เป็นสภาวธรรมชาติของชีวิตอย่างหนึ่ง และยังให้เกิดปัญญาญาณคือนิพพิทาญาณในสังขารกายที่ใช้ไปในการพิจารณาในแบบต่างๆเช่น
ล้วนประกอบด้วยสิ่งที่เป็นปฏิกูล, เพียงเป็นธาตุ ๔ คือสังขารขันธ์,
ที่สุดแล้วก็ไม่งามเน่าเปื่อยผุพังเหมือนกันทั้งหมดทั้งสิ้น, อนึ่งพึงเข้าใจด้วยว่า อาการที่จิตส่งในไปในกายนั้น
ไม่ใช่อาการของสติรู้เท่าทันในกายในสติปัฏฐานแต่อย่างใด แต่เป็นอาการของการติดเพลินในสมาธิหรือฌาน
อันให้โทษแก่ผู้ปฏิบัติในที่สุดเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งก็คือสุขในวิปัสสนูปกิเลส
เรียกกันง่ายๆทั่วไปว่าติดสุขนั่นเอง
จึงควรรีบแก้ไขเสีย
สติรู้เท่าทันในธรรม ก็ด้วยจุดประสงค์ คือ เมื่อจิตอยู่กับการพิจารณาธรรม จิตย่อมละความดำริพล่าน จิตจึงตั้งมั่นเป็นสมาธิ และเพื่อให้เกิดปัญญาญาณจากธรรมต่างๆที่พิจารณาหรือรู้เท่าทันในขณะจิตนั้นๆ
ส่วนการมีสติรู้เท่าทันเวทนาและจิต หรือเรียกรวมกันสั้นๆทั่วไปกันว่า สติเท่าทันจิต นั้นก็เพื่อการละดำริพล่านเช่นกัน ใช้ปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ดี พร้อมการอุเบกขาอยู่เนืองๆเป็นอเนก จึงยังให้เกิดทั้งปัญญาญาณและเป็นมหาสติขึ้นในที่สุด จึงเป็นการดับทุกข์ในที่สุด
"สติ"และ"สมาธิ" ต่างกันอย่างไร |
สติกับสมาธินั้นมีการทำงานประสานอาศัยสนับสนุนซึ่งกันและกันอยู่ และใกล้เคียงกันอยู่จึงก่อความสับสน, สติ การระลึกได้ นึกจำได้ในสัญญา ไม่ลืม ไม่เผลอเรอ ก็อุปมาเหมือนดั่งเส้นเชือกที่ผูกโค(ใจ)ที่ไว้กับหลักที่ยึดไว้ดีแล้ว วัว(ใจ)จึงไม่หนีหายไปไหนไกลๆได้ ได้แต่เดินวิ่งวนเวียนอยู่ในวงเชือกไม่สามารถหนีหายสูญไปได้นั่นเอง (เชือกที่ผูกกับหลักนี้จึงทำหน้าที่เหมือนสติ ที่ทำหน้าที่ระลึกรู้หรือจำได้ใน"สัญญา"นั่นเอง) วัว(ใจ)จึงถูกตรึงอยู่ภายในวงรัศมีของเชือกนั้นนั่นแล และเมื่อต้องการวัวก็สามารถแลเห็นเข้าไปจับต้องได้ง่ายกว่า การปล่อยให้วิ่งเพ่นพล่านไปทั่วได้เอง, ส่วนสมาธิก็ทำหน้าที่คล้ายสติ แต่เมื่อสติดึงสัญญาขึ้นมาใช้แล้ว สมาธิจะมีหน้าที่จับตรึงไว้ให้อย่างแน่วแน่ ตรึงจิตไว้กับที่ หรือกับกิจได้ดี คือแน่วแน่ต่อกิจหรืองาน เหมือนดั่งวัวที่แม้ผูกไว้กับหลักดีแล้ว แต่ยังผูกตอกตรึงมัดรัดวัวนั้นให้หมอบอยู่กับที่อย่างแน่นหนากำกับลงไปอีกทีหนึ่ง ไม่ให้ดิ้นรนดิ้นพล่านไปที่ใดๆได้อีก เราก็ย่อมจัดการใดๆกับโคที่ถูกตอกตรึงแน่นหนาดีแล้วนั้นได้ง่ายยิ่งขึ้นไปอีก แม้แต่การนำมาฆ่าชำแหละพิจารณา ก็ย่อมทำได้ง่าย หรือจะนำไปใช้ไปในการพิจารณาส่วนใดๆก็ตาม จึงเหมือนการใช้ไปตรึงปัญญาไปในปัญหาต่างๆได้แน่วแน่ขึ้นไปอีกนั่นเอง จึงย่อมสัมฤทธิ์ผลได้ง่ายกว่าการไปวิ่งไล่จับโคคือใจที่ปล่อยเป็นอิสระวิ่งเพ่นพล่านไปทั่ว หรือแม้แต่ผูกอยู่กับหลักแต่ยังสามารถวิ่งวนเวียนหลบหลีกอยู่ในรัศมีวงเชือกเอาไว้แต่อย่างเดียว(อาการที่จำได้บ้าง, จำไม่ได้บ้าง นั่นเอง จึงยังต้องเที่ยวไล่จับวัวหรือสัญญาอยู่เป็นครั้งคราว) อีกทั้งสมาธิยังเป็นเครื่องอยู่และกำลังของจิตอันดีเลิศอีกด้วย แต่อย่าไปติดเพลินจนเป็นมิจฉาสมาธิเสีย ต้องนำมาใช้ประโยชน์เยี่ยงนี้ย่อมดีเลิศ
สติ VS สมาธิ ต่างกันอย่างไร โดยพระพรหมคุณาภรณ์
สติ ระลึกรู้เท่าทันระดับใดที่ยังผลอันยิ่ง
อุปมาดั่ง สติระลึกรู้เท่าทันคือนึกได้ ในสัญญา(ความจำ)ว่า ๒ x ๒ = เท่าใด, สติระลึกรู้เท่าทันก็ฉันนั้น อันจักให้ผลยิ่ง
อนึ่งพึงระลึกรู้ว่า
สติระลึกรู้เท่าทันดังนี้ ๒ x ๒ = ๔, เป็นสติที่ประกอบด้วยปัญญาอันยิ่ง อันยังให้ผลบริบูรณ์ต่อขันธ์หรือชีวิตแบบโลกๆในที่สุด
สติระลึกรู้เท่าทันดังนี้ ๒ x ๒ = ๖, เป็นสติที่ประกอบด้วยมิจฉาญาณ อันยังให้เกิดความเดือดร้อนต่อขันธ์หรือชีวิตในที่สุด
ดังนั้นคงจะพอเห็นได้แล้วว่าความเร็วของสติเท่าทันในระดับใด ที่ยังให้ผลอันยิ่ง
สตินี้จึงมีองค์ประกอบในการปฏิบัติ เช่นเดียวกับการเจริญอิทธิบาท ๔ อีกด้วย กล่าวคือ
ไม่ย่อหย่อนเกินไป ไม่ต้องประคองเกินไป
ไม่หดหู่ในภายใน ไม่ฟุ้งซ่านไปในภายนอก
(ทำให้ได้เหมือนดั่งระลึกรู้ในแม่สูตรคูณ ที่ไม่ต้องประคองอยู่ตลอดเวลา
อันพีงเกิดขึ้นจากการสั่งสมอบรมท่องบ่นไว้อย่างดีนั่นเอง)
พนมพร
มหาสติ คืออะไร เป็นอย่างไร
สมาธิขั้นใด จำเป็นในการเจริญกรรมฐาน
โดยท่านพระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
มี"สติ"ให้รู้เท่าทัน"จิตอีกทั้งมโนกรรม"คิดนึกที่เกิดขึ้นจากอารมณ์อันเป็นโทษ
ให้ได้ดุจดั่ง
ตาเห็นรูป เช่นตัวหนังสือ หรือแม่สูตรคูณ ที่ประกอบด้วยความเข้าใจพลัน