วิถีเซ็น พุทธปรัชญาเซ็น |
มัสยา นิรัติศยภูติ (ผู้เรียบเรียง) จาก http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/phil/10.htm |
|
1. ความเป็นมา สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ ณ ภูเขาคิชกูฎ ท้าวมหาพรหมได้มาถวายดอกไม้เป็นพุทธบูชา แล้วนั่งลงกราบทูลให้ทรงแสดงธรรม พระตถาคตจึงได้ทรงแสดงโดยการชูดอกไม้ขึ้น ณ ท่ามกลางสันนิบาต แล้วมิได้ตรัสอะไร ในขณะนั้น ปวงเทพและมนุษย์ทั้งหลายต่างไม่เข้าใจในความหมาย มีแต่พระมหากัสสปะยิ้มน้อยๆ อยู่ พระโลกนาถเจ้าจึงตรัสว่า ตถาคตมีธรรมจักษุอันถูกตรงพระนิพพาน และจิตที่เยี่ยม ภาวะที่แท้จริงย่อมไม่มีลักษณะ มอบให้แก่มหากัสสปะแล้ว (ทวีวัฒน์ ปุณฑริกวิวัฒน์, 2530: 9-10) จากการที่พระมหากัสสปะผู้มีความเป็นเลิศในทางปัญญา ได้รับสังฆาฏิจีวรของพระพุทธองค์ จากจุดนี้ทำให้เกิดธรรมเนียมการส่งมอบ จีวร สังฆาฏิ และบาตร ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ในการสืบทอดตำแหน่งพระสังฆปรินายกของนิกายเซ็น ถ้าถือตามพระสูตรนี้จะถือได้ว่า พระมหากัสสปะเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่ 1 ในอินเดียและมีการสืบต่อกันมาจนกระทั่งถึงพระสังฆปรินายกองค์ที่ 28 ซึ่งก็คือ พระโพธิธรรม (Bodhidharma) ท่านได้นำพุทธธรรมเข้ามาเผยแพร่ในดินแดนจีน โดยสั่งสอนธรรมให้กับท่านฮุ่ยเคอ (Hui co) พุทธศาสนานิกายเซ็นในดินแดนจีนจะนับพระโพธิธรรมว่าเป็นพระสังฆปรินายกองค์ที่1 จากนั้นได้มีการสืบทอดตำแหน่งเรื่อยมา จนถึงสมัยของพระสังฆปรินายกองค์ที่ 6 คือ ท่านฮุ้ยเน้ง (Hui neng) หรือ ท่านเว่ยหลาง (ค.ศ. 638 - 713) หลังจากนี้พุทธศาสนานิกายเซ็นได้แตกออกเป็น 5 สาขาใหญ่ ได้แก่ เว่ยหยาง (Wen Yang) หยุนเหมิน (Yun Men) ฟาเหยน (Fa Yen) เฉาต้ง (Tsao Tung) และ หลินฉี (Lin Chi) สาขาที่สำคัญและได้รับการสืบทอดมาจนทุกวันนี้ มีเพียง 2 สาขา คือ เฉาต้ง และ หลินฉี พุทธศาสนาทั้ง 2 สาขานี้เองที่ดินแดนญี่ปุ่นรับเข้ามาในสมัย คะมะกุระ (Kamakura ค.ศ. 1185 - 1333) ท่านเอะอิไซ ( Eisai ค.ศ. 1141 - 1215) เป็นผู้ก่อตั้ง โดยนำแนวคิดจากสายหลินฉี มาเผยแพร่ เรียกว่า นิกาย รินไซเซ็น (Rinzai Zen) สำนักนี้เน้นการรู้แจ้งอย่างฉับพลันโดยอาศัยปริศนาธรรม เพื่อให้เกิดความสงสัยอย่างต่อเนื่องในจิต จนกระทั่งถึงที่สุดก็จะบรรลุสู่ความรู้แจ้งอย่างฉับพลัน* กล่าวคือ การปฏิบัติธรรมกับผลที่ได้จากการปฏิบัติธรรมเป็นคนละส่วนกัน โดยอาศัยปริศนาธรรมเป็นวิธีที่นำไปสู่การบรรลุธรรม ต่อมาท่านโดเก็น (ค.ศ. 1200 - 1253) ได้นำแนวคิดจากสายเฉาต้ง มาเผยแพร่ เรียกว่า นิกาย โซโตเซ็น (Soto Zen) สำนักนี้เน้นที่การปฏิบัติซาเซ็น (Zazen) หรือ การทำสมาธิเป็นสำคัญ ทั้งนี้เพื่อพัฒนาความสงบและมั่นคงแห่งจิต ไปสู่การรู้แจ้ง** คำสอนของสำนักโซโตเซ็นจะเน้นว่า การปฏิบัติธรรมกับผลที่ได้จากการปฏิบัติธรรมเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยที่การปฏิบัติธรรมมิใช่ วิธี สู่การบรรลุเป้าหมายบางอย่างภายนอก แต่ประสบการณ์ที่แท้ในการปฏิบัติธรรมนั้นเอง คือ การบรรลุธรรม *webmaster ปฏิจจสมุปบาท-เทียบกับทางเถรวาทแล้ว ก็คือ วิธีการธัมมะวิจยะในธรรมที่สงสัยใคร่รู้ จนเกิดมรรคสมังคีฉับพลันในที่สุด หรือฝ่ายปัญญา **webmaster-การปฏิบัติโดยการทำสมาธิ เพื่อความมั่นคงแล้วนำไปเจริญวิปัสสนา หรือฝ่ายสมาธิ
พระสูตรสำคัญในพุทธศาสนานิกายเซ็น เซ็นมิใช่ข้อสรุปทางความนึกคิด ที่เข้าถึงได้ด้วยเหตุผลและการคิดใคร่ครวญ วิถีแห่งเซ็นนั้นมิอาจพบได้โดยความรู้แบบแบ่งแยกของเรา และมิใช่เพียงเท่านี้ แม้ความรู้และความคิดของเราทั้งหมด ซึ่งเป็นผลผลิตของจิตสำนึกก็จำเป็นจะต้องขจัดออกอย่างสิ้นเชิงด้วย หากทำได้สำเร็จแล้วจะเข้าถึงสัจจะแห่งประสบการณ์บริสุทธิ์ซึ่งจะช่วยให้เราตื่นขึ้นสู่ความว่างหรือสุญญตาและในประสบการณ์ภายในอันลึกล้ำนี้แหละที่เซ็นดำรงอยู่ ถ้าพูดในแง่จุดหมายแล้ว ประสบการณ์แห่งเซ็นก็คือ การตระหนักรู้ถึงรากฐานแห่งการดำรงอยู่ ถ้าพูดในแง่มุมส่วนตัวแล้วก็อาจอธิบายได้ว่า เซ็น คือ การตื่นขึ้นสู่จิตอันล้ำลึกของมนุษย์ ซึ่งโดยภาษาแห่งเซ็น เราเรียกการตื่นขึ้นนั้นว่า ซาโตริ ซึ่งแปลว่า การตรัสรู้ เพื่อหมายถึงสัจจะแห่งประสบการณ์ทางศาสนา (เซนไค ชิบายามะ, 2526: 59) นิกายเซ็นมองว่าสรรพสิ่งล้วนแต่คือความว่าง เซ็นมองว่ามนุษย์มิใช่ศูนย์กลางแห่งจักรวาล สรรพสิ่งล้วนต้องอิงอาศัยซึ่งกันและกัน และเชื่อว่าสรรพสัตว์มีพุทธภาวะอยู่ในตัวอยู่แล้ว การบรรลุซาโตริก็คือการเห็นตามความเป็นจริงของโลกและชีวิตโดยที่โลกและชีวิตนั้น คือ ความว่าง ในเมื่อว่างจากตัวตนแล้วก็จะว่างจากการยึดติด เมื่อว่างจากการยึดติดก็จะประจักษ์ถึงศูนยตาธรรมในที่สุด *webmaster
ดังเช่นในบริบทหนึ่งนั้น
อนัตตา เป็นความไม่มีตัวตนของมันเองจริง หรือเป็นความว่าง แต่ในอีกบริบถอีกแง่มุมหนึ่งนั้นก็กล่าวได้ว่า
มีตัวตนชั่วขณะที่มีชีวิตหรือเป็นเหตุปัจจัยกันอยู่ จึงเป็นไปในลักษณะที่กล่าวได้ว่า
จะว่ามีก็ไม่ถูก จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่, จึงขึ้นอยู่กับว่าจะกล่าวถึงบริบถใด
บริบถที่เป็นจริงสูงสุดแบบปรมัตถ์ หรือเป็นจริงโดยสมมติ *webmaster ในฝ่ายเถรวาท ก็คือการเห็นทุกสรรพสิ่งเป็นอนัตตา ก็คือความว่าง ตามความเป็นจริงสูงสุด(ปรมัตถ์) ก็บรรลุถึงจุดหมายเดียวกัน ก่อนฝึกเซ็น แม่น้ำก็เป็นแม่น้ำ ขุนเขาก็เป็นขุนเขา [การรับรู้ตามปกติของคนทั่วไป] แต่เมื่อปฏิบัติเซ็นแล้ว ฉันเห็นว่าแม่น้ำก็ไม่ใช่แม่น้ำ ขุนเขาก็มิใช่ขุนเขาอีกต่อไป [การรับรู้ของผู้บรรลุธรรม] มาบัดนี้ ฉันกลับเห็นแม่น้ำก็ยังคงเป็นแม่น้ำและขุนเขาก็ยังเป็นขุนเขาอยู่ดังเดิม [การรับรู้ของผู้บรรลุธรรมแล้วแต่ก็ยังสามารถสื่อสารกับคนปกติได้]* *webmaster ยอมรับรู้ในสมมติเช่นกัน (ติช นัท ฮันท์, 2532: 74) จะเห็นได้ว่าในการรับรู้ตามปกติของคนทั่วไปจะมีลักษณะที่ยึดถือตามความหมายที่กำหนดไว้ จึงทำให้มองว่า แม่น้ำก็คือแม่น้ำ ขุนเขาก็คือขุนเขา ตามความหมายและความเข้าใจในระดับปกติ แต่เมื่อเกิดการรู้แจ้งแล้วการยึดมั่นถือมั่นต่าง ๆ ก็ได้ถูกทำลายสิ้น ภาพการมองภูเขาและแม่น้ำจะเปลี่ยนไป แม่น้ำจึงไม่ใช่แม่น้ำและขุนเขาจึงไม่ใช่ขุนเขาอีกต่อไป หลังจากที่รู้แจ้งแล้วก็กลับมามีสภาวะปกติดังเดิม แม่น้ำจึงเป็นแม่น้ำ ภูเขาก็คือภูเขา แต่ภาพของภูเขาและแม่น้ำสำหรับผู้บรรลุธรรมแล้วจะเป็นคนละอย่างกับผู้ยังไม่บรรลุธรรม คือไม่ยึดติดกับความหมายเดิมของคนทั่วไป ผู้บรรลุธรรมยังดำรงอยู่ในโลกตามความเป็นจริง กล่าวคือผู้ที่บรรลุซาโตริจะสามารถมีชีวิตอยู่อย่างธรรมดาโดยไม่ถูกสิ่งอื่นครอบงำ อยู่กับปัจจุบันขณะ คือ ไม่ไปหวนรำลึกถึงอดีต และไม่วิตกกังวลกับอนาคต แต่จะมองทุกอย่างตามที่เป็นในปัจจุบันขณะ *webmaster
คือความเป็นอนัตตาในทุกสรรพสิ่ง เป็นหนึ่งเดียวเช่นกัน *Webmaster-
ถ้าเทียบเคียงกับเถรวาทแล้ว ก็คือ มีสมาธิระดับขณิกสมาธิ หรือวิปัสสนาสมาธินั่นเอง
แล้วน้อมนำไปโยนิโสมนสิการ จนเมื่อสั่งสมไว้ดีแล้วเกิดมรรคสมังคีความรู้แจ้งไได้อย่างทันทีทันใดเช่นกัน ณ ที่นั่งประจำของท่าน ปูเสื่อหนา ๆ แล้ววางหมอนลงบนเสื่อ นั่งขัดสมาธิเพชร หรือสมาธิดอกบัว ในท่าสมาธิเพชร ให้วางเท้าขวาบนขาซ้ายและเท้าซ้ายบนขาขวา ในท่าสมาธิดอกบัว ท่านเพียงวางเท้าซ้ายบนขาขวาเท่านั้น ท่านควรห่มจีวรและคาดรัดประคดแต่หลวม ๆ แต่เข้าที่ให้เรียบร้อย แล้ววางมือขวาบนขาซ้ายและวางฝ่ามือซ้ายในท่าหงายขึ้นบนฝ่ามือขวาโดยให้ปลายนิ้วโป้งจรดกัน นั่งตรงในท่าที่ถูกต้อง อย่าเอียงไปทางซ้ายหรือขวา อย่าเอียงไปข้างหน้าหรือข้างหลัง เมื่อท่านั่งเรียบร้อยแล้ว สูดลมหายใจลึก ๆ หายใจเข้าออก โคลงร่างไปทางซ้ายทีขวาทีแล้วปล่อยให้หยุดนิ่งสมดุลในท่านั่ง คิดถึงการไม่คิด จะคิดถึงการไม่คิดได้อย่างไร โดยปราศจากการคิด สิ่งนี้เองคือหัวใจแห่งศิลปะการนั่งซาเซ็น (สุวรรณา สถาอานันท์, 2534: 49 - 50) (Webmaster - หมายถึง พยายามหยุดคิดปรุงแต่ง แต่มัวแต่คิดปรุงแต่งถึงการหยุดไม่คิดปรุงแต่งอย่างไร จึงเกิดการวนเวียนปรุงแต่งต่างๆไปโดยไม่รู้ตัว) การนั่งซาเซ็นนี้เป็นปัจจัยที่เกื้อหนุนให้จิตหลุดพ้นจากกรอบอ้างอิงเดิมที่เคยคิด เคยเชื่อ เคยยึดมั่นถือมั่น ไปสู่การปราศจากการคิดซึ่งหมายถึงการที่จิตพ้นไปจากการแบ่งแยกเชิงทวิลักษณ์ เพื่อก้าวเข้าสู่ความว่างอันเป็นหนึ่งเดียวกับจิตเดิมแท้ ประเด็นเรื่องปราศจากความคิดนี้ อาจารย์คาสุลิส (T. P. Kasulis, 1981: 71 - 77) ได้อธิบายไว้ว่า การคิด คือ การกำหนดมโนทัศน์ต่าง ๆ อันเป็นกิจกรรมทางจิตให้กับสิ่ง ๆ หนึ่ง ซึ่งรวมถึงการตัดสินใจด้วยว่า ชอบ ไม่ชอบ เชื่อ ไม่เชื่อ เป็นต้น เช่น การรับรู้ว่าอะไรคือโต๊ะ อะไรคือเก้าอี้ การไม่คิด คือ การปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งที่เกิดขึ้นภายในจิตใจ หรือกล่าวได้ว่าการไม่คิดคือการปฏิเสธกระบวนการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ทั้งหมด การจงใจปฏิเสธการคิดนี้ในแง่หนึ่งก็เป็นตัวการคิดนั้นเอง คือมีกรอบกำหนดเพื่อการปฏิเสธ ส่วนการปราศจากความคิด แตกต่างจากการคิดและการไม่คิดในแง่ที่ว่า การปราศจากการคิดไม่มีการจงใจใดๆ (intentionality) ไม่ใช่ทั้งการยืนยันและปฏิเสธ ไม่ใช่ทั้งเชื่อและไม่เชื่อ ทั้งนี้เพราะไม่มีกรอบกำหนดในเชิงปฏิเสธอย่างเดียวกับการไม่คิด แต่เป็นการปล่อยให้สิ่งต่างๆ ปรากฏอย่างที่มันเป็น (pure presence of things as they are) หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ สภาวะก่อนการแยกแยะเชิงมโนทัศน์ การปราศจากการคิดนี้อาจเปรียบได้กับการที่เรายืนดูความงามของธรรมชาติบนยอดเขาโดยเราจะซาบซึ้งและซึมซับความงามจนอยู่ในสภาวะที่ปราศจากคำพูดหรือคำบรรยายใดๆ* *webmaster
เปรียบเทียบได้กับ รับรู้ตามความเป็นจริง ในสุข ทุกข์ แต่ไม่คิดปรุงแต่งต่อไปอีก คือว่างจากความคิดปรุงแต่ง
คือหยุดมโนกรรมต่างๆที่เกิดขึ้นจากสุข ทุกข์ หรือสังขารขันธ์นั้นๆ *webmaster
หมายถึง จึงไม่ใช่การนั่งแบบสมถสมาธิ ที่เพียงแต่แน่วแน่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งที่จิตไปที่ยึดเหนี่ยว
เช่น คำบริกรรม ฯ. ที่เป็นเพียงการกำจัดการรับรู้ออกไป ชั่วขณะหนึ่งๆ *webmaster คือกระตุ้นให้เกิด การพิจารณาภายในใจโดยละเอียดและแยบคาย คือ โยนิโสมนสิการ นั่นเอง ตัวอย่างของปริศนาธรรม
จากตัวอย่างปริศนาธรรมข้างต้นจะเห็นได้ว่าลักษณะการตอบแสดงให้เห็นถึงภาวะแห่งการบรรลุธรรมของผู้ตอบ ในแง่ที่ว่า สรรพสิ่งล้วนรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน คำตอบไม่จำเป็นต้องเป็นคำตอบที่มีลักษณะของการอธิบายตามความเข้าใจทั่วไป เช่น หลักสำคัญแห่งพุทธศาสนา ได้แก่ หลักการเวียนว่ายตายเกิด กรรม อริยสัจสี่ เป็นต้น แต่การอธิบายเช่นนี้อาจพบกับข้อวิจารณ์ได้ว่าการตอบของอาจารย์เซ็นต่างกันอย่างไรกับคนที่ไม่ได้บรรลุธรรม สำหรับประเด็นนี้ ผู้เรียบเรียงเห็นว่า วิธีที่ใช้แยกแยะการตอบของผู้บรรลุธรรมจากคนอื่น ๆ สามารถตรวจสอบได้จาก หนึ่ง ตัวคำตอบนั้นเอง และ สอง การใช้ชีวิตประจำวัน คือ มีความเข้าใจและดำรงอยู่ในแก่นแท้แห่งเซ็นหรือไม่ ทั้งสองข้อนี้จะได้รับความเห็นชอบจากอาจารย์เซ็นผู้บรรลุธรรมอีกต่อหนึ่ง แต่ถ้าพิจารณาในอีกทางหนึ่ง ลักษณะการตอบของผู้บรรลุธรรมเป็นการตอบจากสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบันขณะซึ่งบ่งถึงการตระหนักรู้ถึงปัจจุบันขณะอยู่ตลอดเวลา
และเป็นการแสดงให้เห็นถึงการไม่อาศัยเหตุผลในการไตร่ตรองคำตอบแต่เป็นการตอบอย่างฉับพลันอันเป็นการสะท้อนประสบการณ์ปัจจุบันขณะตามคติปรัชญาเซ็นที่เน้นการมองโลกตามความเป็นจริงปราศจากการแบ่งแยก ดังตัวอย่างของปริศนาธรรมที่ถามเกี่ยวกับเหตุผลหรือความหมายของการเดินทางมาจากทิศตะวันตกของท่านโพธิธรรม คำตอบสำหรับคำถามนี้คนส่วนใหญ่คาดหวังว่าน่าจะเป็นการอธิบายเหตุผลเกี่ยวกับทำไมและอย่างไร แต่ผู้ตอบกลับตอบ (ซึ่งดูเหมือนจะไม่เป็นที่เข้าใจได้) ว่า โอ้! กอไผ่ต้นนี้ช่างสูงตระการเสียจริง! ในที่นี้คำตอบนี้อาจไม่เป็นที่เข้าใจได้หรือเป็นคนละเรื่องกับคำถาม แต่ถ้าพิจารณาให้ดีจะพบว่า ถ้าจุดหมายของการสอนธรรมะของท่านโพธิธรรมเป็นไปเพื่อการบรรลุสัจธรรมที่มองว่าสรรพสิ่งล้วนดำรงอยู่เป็นหนึ่งเดียวกันโดยปราศจากการคิดแบ่งแยกแต่โดยอาศัยการพิจารณาและอยู่กับปัจจุบันขณะ ก็จะเห็นได้ว่าการตอบในลักษณะดังกล่าวแสดงว่าผู้ตอบนั้นเข้าใจจุดหมายของการสอนธรรมะของท่านโพธิธรรม คือ เข้าใจว่าตนเป็นหนึ่งเดียวกับสรรพสิ่ง พระรูปหนึ่งถามท่านอาจารย์โจวชูว่า: "กระผมเพิ่งมาถึง ณ สถานปฏิบัติธรรมนี้ โปรดให้คำชี้แนะด้วย" จากตัวอย่างมนโดข้างต้น พระที่ขอคำชี้แนะอาจารย์โจชูได้ลืมว่าแท้ที่จริงแล้วหลักคำสอนแห่งพุทธะเป็นเรื่องของการปฏิบัติธรรมที่มีอยู่ในทุกขณะจิตของชีวิตประจำวัน ในบทสนทนาของอาจารย์โจชูเป็นการเตือนพระรูปนั้นว่าอย่าได้แสวงหาธรรมะที่อยู่นอกตัว แต่ให้หันกลับมาพิจารณาประสบการณ์แห่งพุทธะในตนเองมากกว่าที่จะถามหาหลักคำสอนที่แยกออกจากวิถีชีวิตปกติ * จงแสดงใบหน้าที่แท้จริงของท่านก่อนท่านเกิด 4.2 ความเป็นมา ประเภทที่ 1 ปริศนาธรรมที่มีความขัดแย้งภายในอยู่ในลักษณะของคำสั่งง่าย ๆ หรืออยู่ในคำถามเพียงคำถามเดียว เช่น
ประเภทที่ 2 ปริศนาธรรมที่มีความขัดแย้งภายในอยู่ความสัมพันธ์ระหว่างคำถามและคำตอบ โดยที่คำถามหรือคำตอบอย่างใดอย่างหนึ่งจะมีลักษณะขัดแย้งกันเองภายในตัว เช่น
ประเภทที่ 3 ปริศนาธรรมที่มีความขัดแย้งภายในอยู่ในความสัมพันธ์ระหว่างคำถามและคำตอบ แต่ในที่นี้ตัวคำถามและคำตอบไม่ได้มีความขัดแย้งกันภายใน เช่น ในประวัติศาสตร์นิกายเซ็น ปริศนาธรรมได้ถูกรวบรวมสืบทอดต่อกันมาตั้งแต่อดีตไม่ว่าจะในรูปของคำถามหรือคำตอบแห่งปริศนาธรรม อาจารย์เซ็นใช้ปริศนาธรรมเป็นเครื่องมือตรวจสอบความเข้าใจและความรู้แจ้งของศิษย์และยังใช้เป็นเครื่องมือในการตัดสินหาผู้เหมาะสมกับตำแหน่งสังฆปรินายกองค์ต่อไป กล่าวคือผู้ที่ได้รับการยอมรับจากอาจารย์เซ็นในการสืบทอดตำแหน่งสังฆปรินายก นอกจากจะมีความเป็นเลิศทางธรรมแล้วยังต้องเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยสภาพจิตที่เปี่ยมด้วยความรู้แจ้ง ความน่าเชื่อถือในความสามารถสั่งสอนแนวทางแห่งเซ็นจะต้องผ่านการตรวจสอบโดยอาศัยปริศนาธรรมและกระบวนการต่างๆอย่างเข้มงวด นอกจากปริศนาธรรมจะสามารถใช้เป็นเครื่องทดสอบประสบการณ์ทางจิตของผู้ปฏิบัติธรรมแล้ว บทบาทสำคัญของปริศนาธรรมอีกประการหนึ่งคือ ก่อให้เกิดอาการงุนงงภายในจิตของผู้ปฏิบัติธรรมจนระเบิดออกสู่การรู้แจ้ง เพราะคนทั่วไปมักยึดติดกับกรอบมโนทัศน์ที่แยกแยะ แต่เมื่อพบกับความเป็นปฏิทัศน์ในปริศนาธรรมกรอบความยึดมั่นเชิงทวิทัศน์ก็จะถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง หนทางแห่งปริศนาธรรมคือการแสดงออกแห่งสภาวะความจริงแท้ซึ่งอยู่เหนือการใช้เหตุผล และความคิดในเชิงสมมติบัญญัติ อาจารย์เซ็นมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าปริศนาธรรมในแง่ที่ว่า อาจารย์เซ็นเป็นผู้ใช้ปริศนาธรรมเพื่อตรวจสอบสภาพจิตของศิษย์ว่าอยู่ในระดับใด โดยอาจารย์เซ็นจะพิจารณาจากคำตอบหรือการแสดงออกทางปริศนาธรรมที่ตนได้มอบให้แก่ศิษย์ อย่างไรก็ดี อาจารย์เซ็นทั้งหลายโดยเฉพาะสายรินไซเซ็น ได้พยายามสร้างชุดการอธิบายที่เอื้อต่อการทำความเข้าใจภาวะการรู้แจ้ง โดยอาศัยปริศนาธรรมเป็นเครื่องทำลายภาษาในระดับสามัญสำนึก เพื่อปลุกจิตสำนึกให้ตื่นขึ้นสู่ความจริงแท้แห่งสรรพสิ่ง หาใช่การสื่อสารเพื่อการบ่งบอกข้อเท็จจริงแต่ประการใด ทั้งนี้เพราะนัยแห่งปริศนาธรรมนั้นต้องการแสดงให้เห็นถึงความจริงที่ว่า ความจริงแท้นั้นไม่สามารถเข้าถึงได้ด้วยเพียงการใช้ภาษา ความคิด หรือเหตุผลธรรมดาตามสมมติบัญญัติ สถานการณ์การใช้ปริศนาธรรมนั้นจะเกิดขึ้นในสถานการณ์เฉพาะระหว่างอาจารย์กับศิษย์ กล่าวคือ ปริศนาธรรมเป็นเครื่องนำผู้ปฏิบัติธรรมกลับคืนสู่ใบหน้าที่แท้จริงอันบริสุทธิ์ปราศจากความคิดแบ่งแยก จุดหมายแห่งปริศนาธรรมมิใช่การอธิบายแก่นแท้แห่งพุทธธรรมแต่เป็นไปเพื่อผลในเชิงปฏิบัติ คือ เพื่อให้เกิดผลเป็นประสบการณ์ทางศาสนา อันเป็นการหลุดออกจากกรอบอ้างอิงเดิม ไปสู่ประสบการณ์การรับรู้ที่แท้จริงในขณะนั้น ฉะนั้นจึงมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่เราจะงุนงงกับปริศนาธรรม เพราะลักษณะของปริศนาธรรมที่อาจารย์เซ็นใช้นั้นจงใจที่จะให้เกิดความงุนงงหรือไม่อาจทำความเข้าใจได้โดยเหตุผลปกติ โดยที่ปริศนาธรรมจะเข้าไปทำลายความคิดและภาษาในระดับปกติ จนกระทั่งเกิดการ ระเบิดออกสู่ การรู้แจ้งอย่างฉับพลัน มีผู้เปรียบการใช้ปริศนาธรรมว่าเป็นดั่ง นิ้วที่ชี้สู่ดวงจันทร์ หมายความว่า จุดมุ่งหมายของปริศนาธรรมไม่ได้อยู่ที่การพยายามหาความหมายภายในตัวปริศนาธรรมนั้นเอง ทั้งนี้เพราะปริศนาธรรมไม่ใช่จุดหมายปลายทางแต่เป็นเพียงวิธีการเท่านั้น ถ้าเรายังคงยึดติดอยู่ที่ปริศนาธรรมแล้วจะไม่สามารถก้าวพ้นไปสู่สภาวะอันแท้จริงได้ เปรียบได้กับการมองเพียงนิ้วที่ชี้ไปสู่ดวงจันทร์ ซึ่งถ้ามองเพียงแต่นิ้วเราก็ไม่อาจมองถึงดวงจันทร์ได้ กล่าวคือ สิ่งที่ผู้ชี้ต้องการคือไม่ใช่การมองเพียงที่นิ้ว แต่เป็นการมองดูดวงจันทร์อันเป็นเป้าหมายของการชี้นิ้วสู่ดวงจันทร์ ทั้งปริศนาธรรมและมนโดต่างก็เป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการบรรลุธรรมได้ ปริศนาธรรมเป็นปัญหาที่อาจารย์ใช้ถามลูกศิษย์เพื่อเป็นการตรวจสอบว่าลูกศิษย์ของตนมีความก้าวหน้าทางจิตเพียงใด เมื่อศิษย์ได้รับปริศนาธรรมมาแล้วก็จะต้องพยายามขบคิดปริศนาธรรมที่ได้รับมาเพื่อเป็นการทดสอบประสบการณ์ทางจิตของตน ในขณะที่มนโดเป็นระบบการถามตอบอย่างปัจจุบันทันด่วนโดยไม่ผ่านการขบคิดพิจารณาอย่างต่อเนื่องอย่างปริศนาธรรม กล่าวคือ ในบางครั้งอาจารย์เซ็นอาจมอบปริศนาธรรมแก่ศิษย์ไปขบคิด แต่ในบางครั้งอาจารย์เซ็นอาจถามปริศนาธรรมในกระบวนการของมนโด โดยที่การตอบในกระบวนวิธีมนโดจะเป็นการตอบอย่างฉับพลัน ไม่ปล่อยให้ใช้ระบบคิดหรือเหตุผลในการไตร่ตรองคำถาม คำตอบที่ได้จากวิธีการมนโดนี้เป็นคำตอบที่มาจากจิตที่บริสุทธิ์ปราศจากกรอบมโนทัศน์ใด ๆ ที่อาจบิดเบือนโลกแห่งความเป็นจริง 5. เซ็นกับจริยศาสตร์ สมมติฐานเกี่ยวกับโลกในปรัชญาตะวันตกกระแสหลักบางสำนัก คือมีความจริงบางอย่างอยู่ก่อนการรับรู้ของมนุษย์ จากการยอมรับสมมติฐานนี้นำไปสู่การมองโลกในเชิงทวิลักษณ์ เช่น โลกของผู้รับรู้ กับโลกของสิ่งที่ถูกรับรู้ กาย กับ จิต เหตุผล กับ ประสบการณ์ ถูก กับผิด ดี กับ ชั่ว เป็นต้น และถ้าพิจารณาในบริบทของจริยศาสตร์ตะวันตกเราจะพบว่าจริยศาสตร์เชิงปทัสฐาน (normative ethics) ซึ่งเป็นเรื่องของการอธิบายแยกแยะด้วยเหตุผลในการแสวงหา สิ่งที่ควร สำหรับทุกคน โดยที่การแสวงหาสิ่งที่ควรมีนัยของการแยกแยะว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรควร อะไรไม่ควร โดยพิจารณาว่ามนุษย์อาศัยเกณฑ์ใดเกรฑ์หนึ่งในการตัดสินการกระทำว่าการกระทำใดเป็นการกระทำที่ถูกที่ควร นอกจากนี้การกระทำที่ควรยังมีนัยของความสามารถที่จะกระทำได้ของมนุษย์ จริยศาสตร์จึงเป็นเรื่องของการแสวงหาคำตอบต่อคำถามว่า เราควรทำอย่างไร ซึ่งบางครั้งการมองจากกรอบการแยกแยะเชิงทวิทัศน์อาจทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์และสิ่งอื่นแยกขาดจากกันโดยสิ้นเชิง ในขณะที่พุทธปรัชญานิกายเซ็นเลือกที่ตั้งคำถามกับประเด็นทางจริยศาสตร์ว่า เราควรเป็นอย่างไร มากกว่าการถามว่า เราควรทำอย่างไร ข้อเสนอในนิกายเซ็นคือ การเรียกร้องให้มนุษย์กลับไปสู่ประสบการณ์ดั้งเดิมที่ปราศจากการแยกแยะเชิงมโนทัศน์ เพราะความจริงสำหรับเซ็นคือการปรากฎขึ้นของความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษย์ โลก และการรับรู้ กล่าวคือ ความจริงมิใช่โลกภายนอกที่ต้องแสวงหาต่อไป แต่ความจริงเป็นเรื่องภายในตัวมนุษย์เอง จริยศาสตร์สำหรับนิกายเซ็นจึงไม่ใช่เรื่องของ ควร แต่เป็นเรื่องของ เป็น กล่าวคือ ผู้ฝึกปฏิบัติเซ็นคือผู้ที่รับรู้โลกตามอย่างที่เป็น ปราศจากการแยกแยะระหว่างตัวตนหนึ่งกับอีกตัวตนหนึ่ง แต่เป็นการตระหนักรู้ในตนเอง สำหรับพุทธปรัชญาแล้วข้อเสนอของนิกายเซ็นจึงเป็นอีกข้อเสนอหนึ่งที่น่ารับฟังในเรื่องของ อนัตตา กล่าวคือ สำหรับนิกายเซ็นตัวตนหนึ่งดำรงอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์กับตัวตนอื่น หรือกล่าวได้ว่า ผู้อื่นดำรงอยู่ในตัวเรา ซึ่งอันที่จริงแล้วความเป็นตัวเราซึ่งดำรงอยู่อย่างเป็นเอกเทศ ไม่เปลี่ยนแปลงและไม่ขึ้นต่อสิ่งอื่นนั้นไม่มี ต่อไปจะเป็นการเสนอทัศนะเกี่ยวกับจริยศาสตร์ในปรัชญาเซ็นจากการพิจารณาปริศนาธรรมต่อไปนี้ ครั้งหนึ่งอาจารย์เซ็นหม่าจือ (Ma-tsu,? 788 A.D.) เดินไปกับศิษย์ชื่อไป่ฉาง (Pai-Chang, 720 814 A.D.) ท่านสังเกตเห็นห่านป่าฝูงหนึ่งบินผ่านหน้าไป ท่านจึงถามไป่ฉางว่า ห่านป่าพวกนี้กำลังบินไปไหน? ไป่ฉางตอบว่า พวกมันบินลับตาไปแล้ว อาจารย์หม่าจือได้ยินดังนั้นก็ตรงเข้าไปบิดจมูกลูกศิษย์อย่างแรง เมื่อไป่ฉางร้องว่า เจ็บครับเจ็บ ท่านอาจารย์! ท่านก็ตะคอกด้วยเสียงอันดังว่า ใครกันที่บอกว่าพวกมันบินลับตาไปแล้ว! ( Mumonkan case 53) กรณีนันชวนฆ่าแมว
จากที่กล่าวมา การรู้ (knowing) ก็คือ การดำรงอยู่ (being) เพราะความจริงทำให้ผู้ฝึกเซ็นรู้เกี่ยวกับความจริงว่าตัวเขาคือความจริงและกำลัง ทำความจริง ซึ่งเป็นอิสระจากสิ่งชั่วร้ายไปโดยปริยาย และหากจะเปรียบวิธีคิดระหว่างเซ็นและพุทธปรัชญาแบบเถรวาทแล้ว จะเห็นได้ว่าเถรวาทมองเรื่องจริยศาสตร์(ศีล)เป็นวินัยหลักในการก่อให้เกิดสมาธิและปัญญา(ศีล-สมาธิ-ปัญญา) แต่ในนิกายเซ็นนั้นปัญญาช่วยทำให้ศีลไม่เป็นเพียงกรอบหรือข้อวัตรปฏิบัติเท่านั้น แต่เป็นวัตรปฏิบัติที่เป็นไปเองภายในวิถีแห่งเซ็น(ปัญญา-สมาธิ-ศีล) หรือก็คือจิตปกตินั่นเอง มัสยา นิรัติศยภูติ (ผู้เรียบเรียง) : http://www.satit.up.ac.th/BBC07/AroundTheWorld/phil/10.htm
|