อะไร? ที่ทำให้"อุปาทานขันธ์ ๕"ที่ทำให้เป็นทุกข์ เกิดการหมุนเวียนต่อเนื่องเป็นเหตุปัจจัยกันในวงจรของทุกข์ใน"ชรา"ได้
|
ภาพขยายในชรา ล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ เพราะเกิดจากสังขารูปาทานขันธ์ในชาติ อันถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว |
ภาพแสดงการขยายความของ "ชรา"ธรรม ในวงจรปฏิจจสมุปบาทโดยพิศดาร (ภาพวงจรปฏิจจสมุปบาทแบบขยายความ"ชรา")
โยนิโสมนสิการ ในภาพขยาย"ชรา"ธรรม ของวงจรปฏิจจสมุปบาทข้างต้น เมื่อพิจารณาโดยแยบคาย จะเกิดปัญญาอันยิ่งว่า การที่จะหยุดการหมุนหนุนเนื่องการเป็นเหตุปัจจัยกันในวงจรของ"ชรา"ธรรม(แสดงโดยสีแดง)อันเป็นทุกข์เร่าร้อนด้วยกิเลสเนื่องด้วยประกอบจากอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ในวงจรปฏิจจสมุปบาทได้นั้น ก็คือต้อง"หยุด" หรือบางท่านเรียกว่าการ"ดับ" แต่แท้จริงแล้วการดับทุกข์คือการทำให้"ไม่เกิดการทำงานขึ้นเนื่องต่อไป"อีกของอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ที่เป็นแรงที่ทำให้เกิดการหมุนหนุนเนื่องสัมพันธ์เป็นเหตุเป็นปัจจัยกันเป็นลำดับขึ้นอีก เพราะดังที่พระองค์ท่านได้ตรัสแสดงอยู่เนืองๆว่า ขันธ์ทั้ง ๕ ล้วนเป็นอนัตตา แม้ทั้ง"อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕" คือขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทานหรือกิเลสของตัวตนนั้น ก็ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของขันธ์จึงจำเป็นในการดำรงและดำเนินชีวิต ทั้งไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จึงย่อมไปควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามใจปรารถนาไม่ได้ ขันธ์ทั้ง ๕ ทำงานเพียงตามหน้าที่ของตน และเป็นไปตามเหตุปัจจัยได้เท่านั้น ดังนั้นอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ที่เกิดดับๆ..อย่างวนเวียนเป็นวงจรอยู่ในชรานั้น จึงย่อมไม่สามารถสั่งให้ดับ คือให้หยุดได้โดยตรงๆตามใจปรารถนา จึงย่อมไม่สามารถทำได้ แต่ขณะที่อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ดำเนินไปจนสุดสิ้นกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ แล้ว คือ จนเกิดสังขารขันธ์ชนิด"สังขารูปาทานขันธ์"ขึ้นแล้ว ทั้งๆที่ควรจะจบคือ เสื่อมดับไป แต่เกิดมีเหตุปัจจัยไปหนุนให้เกิดการหมุนหนุนเนื่องสืบต่อกันไปอีกได้ขึ้นมา ซึ่งจำต้องอาศัย"รูปูปาทานขันธ์"เพิ่มขึ้นมาอีกขันธ์หนึ่งจึงจะเกิดการสืบเนื่องเป็นเหตุปัจจัยต่อไปได้อีก จึงไปอาศัยมโนกรรมคือความคิดนึกต่างๆที่เกิดขึ้นมาจาก"สังขารูปาทานขันธ์"นั้น(ดูรูปด้านบนประกอบ) มาทำหน้าที่เป็น"รูป"คือสิ่งที่ถูกรู้อีกครั้ง แต่ย่อมเป็น"รูป"ชนิด"รูปูปาทานขันธ์"คือสิ่งที่ถูกรู้ ที่ประกอบด้วยอุปาทานคือถูกครอบงำด้วยกิเลส เหตุเพราะเกิดมาแต่เหตุปัจจัยคือมโนกรรมจากสังขารูปาทานขันธ์อันประกอบด้วยกิเลสจากอุปาทานแล้วนั่นเอง เมื่อเกิด"รูปูปาทานขันธ์"เป็นเหตุขึ้นมาอีก จึงเกิดการขับเคลื่อนให้หมุนหนุนเนื่องให้ดำเนินไปตามกระบวนธรรมของขันธ์ที่เนื่องสัมพันธ์กันโดยธรรมหรือธรรมชาติ จึงเกิดการขับเคลื่อนให้หมุนเวียนเป็นวงจรของทุกข์ขึ้นอยู่อย่างนี้ได้ยาวนาน และยิ่งประกอบเพิ่มด้วยดีกรีของความรุ่มร้อนเผาลนสั่งสมคุกรุ่น จนกว่าจะเหนื่อยอ่อน หรือ"จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า"มาแทรกแซง จึงดับไปชั่วขณะหนึ่ง แต่ก็เก็บจำเป็นอาสวะกิเลส ที่สามารถผุดระลึกขึ้นมาอีกเมื่อใดก็ได้, หรือทำให้ดับไปด้วยสติและปัญญาจากการปฏิบัติ โดยการ"อุเบกขาสัมโพชฌงค์"ใน"มโนกรรม"ความคิดนึกอันเกิดจากสังขารขันธ์อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นมาและเล็งเห็นว่าให้โทษหรือสมควรแก่เหตุแล้ว จึงทำให้วงจรของทุกข์ขาดสะบั้นลงไปได้ เนื่องจากขาด"รูปูปาทานขันธ์"ที่ต้องมาเสริมเติมแต่งจึงจะทำให้วงจรหมุนหนุนเคลื่อนต่อไปได้
"มโนกรรม"หรือความคิดนึกปรุงแต่งต่างๆที่เป็นผลจากอารมณ์(สังขารขันธ์)นี้นี่เอง ที่เป็นตัวขับเคลื่อนขับดัน คือเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการหมุนเวียนเป็นวงจรของความทุกข์ให้เชื่อมต่อเนื่องสัมพันธ์กันได้อย่างยาวนาน และเร่าร้อนทวีคูณ
อีกทั้งสามารถทำลายวงจรของทุกข์ โดยการอุเบกขาได้ที่องค์ธรรม"ชาติ"เช่นกัน เพราะที่"ชาติ"นี้นี่เอง ที่หมายถึงการเกิด แต่เป็นการเกิดของทุกข์ที่ประกอบด้วยกิเลสหรืออุปาทานอย่างเต็มตัว เพราะตัณหาอันคืออกุศลสังขารขันธ์อย่างหนึ่งที่ได้เกิดขึ้นมานั้น ได้เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทาน จึงถูกครอบงำด้วยอุปาทานเสียแล้ว จึงแปรไปเป็นสังขารูปาทานขันธ์ คืออารมณ์หรือสิ่งที่ไปปรุงแต่งจิตให้เกิดเจตนาหรือความคิดอ่าน(สัญเจตนา)ให้การกระทำ(กรรม)ต่างๆที่ประกอบด้วยกิเลสหรืออุปาทานความยึดมั่นหรือความพึงพอใจของตัวตน ซึ่งย่อมยังให้เกิดผลตามมาคือเกิดมโนกรรมความคิดนึกต่างๆแต่ล้วนย่อมแฝงด้วยกิเลสขึ้น ซึ่งมโนกรรมความคิดนึกปรุงแต่งแฝงกิเลสนี้จะไปทำหน้าที่เป็น"รูปูปาทานขันธ์ใน"ชรา"ธรรมอีกได้ แต่เมื่ออุเบกขาในมโนกรรมต่างๆที่เกิดขึ้น ย่อมทำให้วงจรปฏิจจสมุปบาทขาดการต่อเนื่องสัมพันธ์เป็นเหตุปัจจัยกันต่อไป จึงหยุดการหมุนเวียนเป็นวงจรของทุกข์ต่อไปอีกได้ แล้วจึงต้องเสื่อมคลายและดับไปเป็นที่สุด ด้วยพระไตรลักษณ์