มีพุทธพจน์ตรัสไว้ดั่งนี้
ผู้ไม่มีอุปาทาน ย่อมบรรลุพระนิพพาน
(เวสาลีสูตร ๑๘/๑๒๓)
พระพุทธองค์ผู้ทรงเลิศซึ่งพระปัญญา ได้ทรงแบ่งขั้นตอนในการดับอุปาทานทุกข์ ตามฐานะเช่นบรรชิตหรือฆราวาส และกําลังสติ ปัญญาและจริต, โดยการพิจารณาพอสามารถแบ่งออกได้เป็น
ขั้นทาน การรู้จักบริจาคแบ่งปัน เป็นการลด การละความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจในทรัพย์ของตัวของตน ด้วยการแบ่งปันเจือจานแก่บุคคลอื่น, และเพื่อให้การอยู่ร่วมกันของฆราวาสในสังคมนั้นๆเป็นไปอย่างสงบสุข
ขั้นศีล เป็นการลด การละความยึดมั่นความพึงพอใจในการกระทําต่างๆ ด้วยข้อวัตรหรือศีลด้วยกฎข้อปฏิบัติ หรือกฏข้อบังคับ เพื่อให้ไม่กระทําทุกอย่างตามความพึงพอใจของตัวของตนแต่ฝ่ายเดียวอันยังให้เกิดทุกข์หรือเบียดเบียนแก่บุคคลอื่นๆ, เพื่อให้เกิดการอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างสงบสุข
ขั้นสติ เป็นขั้นใช้สติ ดังเช่นสติปัฏฐาน๔ ซึ่งใช้สติเป็นประธานในการกําจัดความยึดมั่นในความพึงพอใจในกาย เวทนา จิต และโดยมีธรรมเป็นเครื่องรู้ เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ
ขั้นสมาธิ การมีสติอยู่ในกิจหรืองานหรือธรรมที่ปฏิบัติอย่างต่อเนื่อง ทรงแจงถึงโทษด้วยเช่นกันดังในสังโยชน์๑๐-กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์ กล่าวถึงสิ่งที่ต้องละ อันคือรูปฌานและอรูปฌานอันเป็นสุขอย่างละเอียดประณีตที่เป็นประโยชน์ในการปฏิบัติซึ่งถ้าติดเพลินแล้วก็เป็นสิ่งที่ต้องละเช่นกัน อันจัดอยู่ในสังโยชน์ขั้นละเอียดหรือขั้นสุดท้าย, ในปฏิจจสมุปบาทกล่าวแสดงในเรื่องภพ อันมี รูปภพ,อรูปภพ เป็นการต้องละในขั้นละเอียดเพราะยังติดอยู่ในภพ, การกําจัดซึ่งความยึดมั่นในความพึอใจหรือสุขอันประณีตอันเกิดจากรูปฌานและอรูปฌาน (ละหมายถึงละการติดยึด มิใช่ทิ้งฌานหรือสมาธิ)
ขั้นปัญญา เป็นการกําจัดความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจหรือสุขทั้งหลายทั้งปวงโดยหลัก "พระไตรลักษณ์" คือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนไม่เที่ยง ล้วนทนอยู่ไม่ได้ ไม่เป็นแก่นเป็นแกนอย่างแท้จริง ล้วนต้องดับไปตามเหตุปัจจัย เพื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นพึงพอใจในสิ่งใดๆอันก่อให้เกิดอุปาทานทุกข์
จุดประสงค์ของแต่ละขั้นนั้นล้วนแล้วแต่ดับหรือลดละ"อุปาทาน"ความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจหรือสุขของตัวตนเองทั้งสิ้น ตามกําลังสติ, ปัญญา, จริต, ความมุ่งมั่น, และฐานะของแต่ละบุคคล, เหล่านี้ล้วนแต่เป็นธรรมที่มีรากเหง้ามาจากหลัก"ปฏิจจสมุปบาท"ทั้งสิ้นที่ให้รู้และกําจัดอุปาทาน อันก่อให้เกิดอุปาทานขันธ์๕อันเป็นทุกข์, แก่นธรรมอันสําคัญยิ่งในพุทธศาสนา ดังเช่น อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท อุปาทานขันธ์๕ สติปัฏฐาน พระไตรลักษณ์ ตลอดจนความรู้ในพระนิพพาน อนัตตลักขณสูตร อาทิตตปริยายสูตร ฯลฯ. ล้วนบ่งแจ้งถึงสิ่งที่เราผู้ปฏิบัติต้องกระทําเพื่อให้บรรลุถึงนิโรธหรือจางคลายจากทุกข์ อันคือ"การนําออกและละเสีย ซึ่งอุปาทานความพึงพอใจของตน" อันมีตัณหาเป็นมูลเหตุปัจจัยใหญ่
หมู่พระอรหันต์ท่านอยู่เป็นสุขจริงหนอ
|
|
สุขิโน
วต อรหนฺโต, ตณฺหา เตสํ น วิชฺชติ, อสฺมิมาโน สมุจฺฉินฺโน, โมหชาลํ ปทาลิตํ. |
หมู่พระอรหันต์
ท่านอยู่เป็นสุขจริงหนอ, |
อเนชนฺเต
อนุปฺปตฺตา, จิตฺตํ เตสํ อนาวิลํ, โลเก อนุปลิตฺตา เต, พฺรหฺมภูตา อนาสวา. |
หมู่พระอรหันต์นั้น
ท่านถึงความไม่หวั่นไหว, |
ปญฺจกฺขนฺเธ
ปริญฺาย, |
หมู่พระอรหันต์นั้น
ท่านกำหนดรู้ขันธ์ทั้ง ๕ โดยทั่วถึง, ท่านมีสัทธรรม ๗ เป็นโคจร, ท่านเป็นสัตบุรุษ ที่ควรสรรเสริญ, ท่านเป็นพุทธบุตร พุทธโอรส แท้จริง. |
สตฺตรตนสมฺปนฺนา, |
หมู่พระอรหันต์นั้น
ท่านสมบูรณ์ด้วยรัตนะทั้ง ๗, ท่านศึกษา ในสิกขาทั้ง ๓ อยู่ด้วยดี, ท่านย่อมท่องเที่ยวไปอย่างมหาวีรบุรุษโดยลำดับ, ท่านละความกลัวและความขลาด ขาดสะบั้นไป. |
ทสหงฺเคสิ
สมฺปนฺนา, |
หมู่พระอรหันต์นั้น
ท่านสมบูรณ์ด้วยองค์ธรรม ๑๐ ประการ, ท่านเป็นมหานาค มีจิตตั้งมั่นด้วยดี, หมู่พระอรหันต์นี้แล เป็นพระผู้ประเสริฐสุดในโลก, เพราะท่านไม่มีตัณหา ความอยาก นั่นเอง. |
อเสกฺขาณํ
อุปฺปนฺนํ, |
หมู่พระอรหันต์นั้น
ท่านมีอเสขญาณบังเกิดขึ้นแล้ว, ร่างกายนี้ มีเป็นครั้งสุดท้าย, "เนื้อแท้" แห่งพรหมจรรย์อันใด มีอยู่, ท่านไม่ต้องมีคนอื่น เป็นปัจจัยจูงใจให้เชื่อในเนื้อแท้อันนั้น. |
วิธาสุ
น วิกมฺปนฺติ, |
หมู่พระอรหันต์นั้น
ท่านไม่หวั่นไหวในมานะไร ๆ, จึงหลุดพ้นจากภพใหม่, ได้บรรลุถึงซึ่งอรหัตตภูมิแล้ว โดยลำดับ, หมู่พระอรหันต์นั้น จึงชื่อว่าชนะเด็ดขาดแล้วในโลก. |
อุทฺธํ
ติริยํ อปาจินํ, นนฺทิ เตสํ น วิชฺชติ นทนฺติ เต สีหนาทํ, พุทฺธา โลเก อนุตฺตรา, อิติ. |
ทั้งส่วนเบื้องบน
ท่ามกลาง และเบื้องล่าง, "อรหันตสูตร" |
|