ส่งจิตออกนอก หมายถึง การส่งจิตออกไปภายนอกไปเสวยอารมณ์ (อันหมายถึงเวทนา) มีความหมายถึง การที่ไม่สำรวมจิต การฟุ้งซ่าน คือส่งจิตออกไปสอดส่ายรับการกระทบสัมผัสกับอารมณ์ภายนอกต่างๆ ได้แก่ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส จึงส่งจิตออกไปคิดนึกปรุงแต่งต่อสิ่งต่างๆเหล่านั้น จึงเกิดการเสวยอารมณ์คือเวทนาต่างๆ ขึ้น ซึ่งมักเป็นปัจจัยให้เกิดการคิดปรุงแต่งต่างๆสืบต่อมา เมื่อเกิดการคิดปรุงแต่งต่างๆขึ้นจึงเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาต่างๆหลากหลาย ซึ่งมักเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้น จึงยังให้เกิดความทุกข์ขึ้นในที่สุด อันเป็นการดำเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทหรือการเกิดขึ้นของกองทุกข์นั่นเอง
หรือกล่าวโดยย่อก็คือ การส่งจิตออกไปภายนอก ไปปรุงแต่ง ไม่มีสติอยู่ภายใน กาย เวทนา จิต ธรรม เพื่อการระลึกรู้ หรือเพื่อการพิจารณาในธรรมทั้ง๔ นั่นเอง
ส่งจิตออกไปภายนอก จิตฟุ้งซ่านไปภายนอก จิตคิดปรุงแต่ง จิตปรุงแต่งไปภายนอก คิดปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน มีความหมายเดียวกัน
ส่วน จิตส่งใน หมายถึง การส่งจิตเข้าไปเสวยอารมณ์หรือเวทนา อันอิ่มเอิบสุขสงบสบาย อันเกิดแต่ภายในกายหรือจิตของตน ด้วยอำนาจขององค์ฌานหรือสมาธิ หรือแม้แต่ความสุข,ทุกข์ต่างๆภายในเป็นต้น จึงเกิดการติดเพลิน(นันทิ)จึงกระทำโดยไม่รู้ตัวอันเป็นตัณหาเช่นกัน จึงเป็นทุกข์ในที่สุด เพราะเมื่อติดเพลินเสียแล้วด้วยความไม่รู้(อวิชชา) จึงเกิดการกระทำทางจิตอยู่เสมอๆ จนในที่สุดได้กลายเป็นองค์ธรรมสังขารในปฏิจจสมุปบาท ที่หมายถึงการกระทำตามที่ได้สั่งสมหรือเคยชินเสมอโดยบังคับควบคุมไม่ได้ จึงยังให้เกิดทุกข์เป็นที่สุด เพราะความไม่เที่ยงขององค์ฌาน ดังที่กล่าวมาแล้วในทั้งในเรื่องฌานสมาธิ, จิตส่งใน และติดสุข
จิตส่งใน กล่าวคือ เป็นอาการของการติดสุขในฌานหรือสมาธินั่นเอง อันยังผลร้ายแรงทั้งต่อกายและจิตรุนแรงตามมา เพราะการปฏิบัติอย่างผิดๆนี้เอง แรกๆก็เกิดเพราะความไม่รู้ด้วยอวิชชา หรือด้วยความเข้าใจผิด จึงปฏิบัติแต่แบบผิดๆโดยไม่รู้ตัว จนติดเคยชนิดเป็นสังขาร
เมื่อกล่าวกันว่า "อย่าส่งจิตออกนอก" จึงมักสับสน ไปเข้าใจกันไปเองหรือหมายรู้อย่างผิดๆด้วยอวิชชาไปว่า เมื่อไม่ส่งจิตออกนอกดังนั้นจึงควรทำ "จิตส่งใน" แต่ความเป็นจริงนั้นสังขารทั้งสองต่างล้วนเป็นสังขารขันธ์ชนิดการกระทำทางจิต ที่ไม่สมควรปฏิบัติอย่างยิ่งยวด เพราะต่างล้วนเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดทุกข์ ดังนั้นหลักการปฏิบัติต่อสังขารทั้งสองนี้จึงเป็นดังนี้
อย่าส่งจิตออกนอก ไปเสวยอารมณ์ภายนอก
และอย่าจิตส่งใน ไปเสวยความสุขสบายอันเกิดแต่กายหรือจิต จากอำนาจของฌาน,สมาธิ
แล้วควรทำจิตหรือปฏิบัติอย่างไร สิ่งที่ควรปฏิบัติก็คือ ให้จิตหรือสติระลึกรู้อยู่ใน กาย เวทนา จิต หรือธรรม หรือแนวทางปฏิบัติในสติปัฏฐาน๔ นั่นเอง ซึ่งเมื่อระลึกรู้แล้วต้องปล่อยวาง ไม่ติดเพลิน หรืออุเบกขานั่นเองโดยการไม่เอนเอียงแทรกแซงด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆเช่นการจดจ่อหรือจดจ้องใดๆไม่ปล่อยวาง จึงไม่ยึดมั่นหมายมั่นในสิ่งใดๆ
อนึ่งควรรู้อย่างแจ่มแจ้งว่า จิตระลึกรู้อยู่ใน กาย เวทนา จิต และธรรม หรือบางทีก็เรียกว่าจิตอยู่ภายในนั้น ไม่เหมือนกับจิตส่งในหรือจิตส่องใน เพราะจิตส่งในมีองค์ประกอบที่สำคัญคือความติดเพลินคือนันทิหรือตัณหา และความไม่รู้(อวิชชา) จึงไม่ปล่อยวาง จนเป็นสังขารกิเลสในปฏิจจสมุปบาท, ส่วนสติหรือจิตอยู่ภายใน มีความหมายว่า มีสติหรือจิต ระลึกรู้เท่าทันหรือมีสติพิจารณาอยู่ใน กาย, เวทนา, จิต, ธรรม เพื่อให้เห็นความจริง อันเป็นการวิปัสสนา
และในการปฏิบัติแบบจิตระลึกรู้ในกาย เวทนา จิต เช่น ข้อ ลมหายใจ อิริยบถ และ สัมปชัญญะ หรือเวทนา หรือจิต ก็สามารถเป็นได้ทั้งสมถะและการฝึกพัฒนาสติเพื่อการวิปัสสนา เมื่อขาดสติในการติดตามดู ปล่อยให้เลื่อนไหลแน่วแน่ไปเองตามความชำนาญหรือเคยชินก็เป็นสมถะเป็นสมาธิแต่อย่างเดียว ถ้ามีสติก็เป็นการฝึกสติที่ถูกต้องดีงามพร้อมด้วยสมาธิที่ดีงามเป็นผลตามมาอีกด้วย เพราะมีนักปฏิบัติเป็นจำนวนมากที่ฝึกสติตามหลักสติปัฏฐาน๔ แต่กลายเป็นอยู่ในมิจฉาสมาธิหรือมิจฉาฌาน แทนการฝึกและพัฒนาสติชนิดสัมมาสติหรือสัมมาสมาธิเพื่อประโยชน์ในการเจริญวิปัสสนา โดยไม่รู้ตัว
_______________
|