|
มงคล ๓๘ ประการ หรืออุดมมงคล ธรรมที่นำมาซึ่งความสุขความเจริญ |
|
เมื่อมหาชนและผู้คนทั้งหลายพากันบูชาสิ่งเคารพของตนๆ
ดังได้กล่าวมาแล้ว
ต่างก็พากันบูชาด้วยของบูชาอันเลิศ พร้อมกระนั้นก็ขอความคุ้มครองรักษา บำบัดปัดเป่าขจัดทุกข์ภัยจากสิ่งเคารพของตน ซึ่งผลที่ตอบรับบางทีก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง จนทำให้เป็นที่โจษจัน เคลือบแคลงระแวงสงสัยแก่มหาชนคนทั้งหลายว่า สิ่งเคารพอันใดกันแน่ ที่จัดว่าเป็นสิ่งเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ดีมีมงคล มหาชนทั้งหลายต่างฝ่ายต่างพากันถกเถียงกันอยู่เกลื่อนกล่นอลหม่าน ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ ว่าอะไรคือสิ่งเคารพที่เป็นมงคลสูงสุด ![]() เหล่าเทวดาทูลถาม ท้าวสักกเทวราช "อะไรคือมงคล" จนร้อนถึงเทวดาชั้นกามาวจร อันได้แก่เทวดาที่สถิตอยู่ใกล้ชิดกับมนุษย์ เมื่อได้สดับคำโจษขานของมนุษย์ที่อยู่ในความดูแลของตนๆ ก็พากันสอบถามกันและกันว่า "เอ...พวกมนุษย์เขาถามกันไปมาว่า อะไรคือสิ่งดีมีมงคลสูงสุด" "นั่นซิท่าน! อะไรล่ะ ข้าพเจ้าก็มิได้รู้เหมือนกัน" "ถ้าอย่างนั้นชาวเราทั้งหลาย พากันไปเฝ้ามหาเทพ เพื่อทูลถามปัญหานี้เถิด" เหล่าเทพเทวาทั้งหลาย ก็ได้พากันเข้าเฝ้ามหาเทพ ผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์ พร้อมกับทูลถามปัญหาว่า อะไรเป็นมงคลสูงสุด องค์อินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ในสรวงสวรรค์ เมื่อได้ทรงฟังปัญหา ของเหล่าเทพเทวาทั้งหลายดังนั้นแล้ว ก็วิเคราะห์ใคร่ครวญพิจารณาดู ก็หาได้รู้ไม่ สุดปัญญาที่จอมเทพไทจักแก้ไข ก็เลยตรัสขึ้นว่า เห็นทีปัญหานี้ จักต้องกราบทูลอาราธนาขอให้พระจอมบรมศาสดา ทรงเมตตาแก้ปัญหาในครั้งนี้ ด้วยเหตุที่ว่า พระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญู มิมีอะไรที่ไม่ทรงรู้ คิดดังนั้นแล้ว ก็ชวนเหล่าเทวดาทั้งหลายมาเฝ้าทูลถามปัญหา ณ เชตวันมหาวิหารอารามของอนาถปิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี ![]() ท้าวสักกเทวราชทูลถาม พระพุทธเจ้า ณ เชตวันมหาวิหารอารามของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี |
พรพุทธเจ้าทรงแสดง มงคล ๓๘ ประการ |
พรพุทธเจ้าได้โปรดแสดงธรรม คือ มงคล ๓๘ ประการ
มงคลที่ ๑
มงคลที่
๒
มงคลที่
๓ |
มงคลที่ ๔
|
|||
|
มงคลที่ ๘
การรอบรู้ในศิลปะ
(มีศิลปะ)
มงคลที่ ๙
ความศึกษาวินัยดี
(มีวินัย)
บ้านที่มีวินัย
บุคคลผู้อยู่ร่วมกับสังคม พึงศึกษารู้จักกฎเกณฑ์กติกา
ระเบียบวินัย ของสังคมนั้นๆ เมื่อเข้าไปร่วมกับสังคมนั้นจะได้ไม่เก้อเขิน ไม่ประหม่า
ไม่พลาดพลั้งผิดต่อกติกานั้นๆ แม้แต่จักมิได้เข้าสังคมใดๆ ตัวเราก็จำต้องมีระเบียบวินัยเอาไว้กำกับกิริยา
อาการ กาย วาจา มิให้ผิดพลาด ฟุ้งซ่าน ต่อตน และคนอื่น จัดได้เป็นผู้กล้าแข็ง
เชื่อมั่นในตนเอง องอาจ มั่นคง เช่นนี้จึงจักถือว่าเป็นผู้มีชีวิตเป็นสาระรักษาและวินัยดี
มงคลที่ ๑๑
ความบำรุงมารดาและบิดา บุคคลใดหญิงชายที่เกิดมา ได้ปฏิบัติมารดา บิดาให้เป็นสุข จัดเป็นมงคลอันประเสริฐ ถามว่า คนอย่างไรเรียกว่า บิดา มารดา ก็คือหญิงใดเป็นที่อาศัยแห่งสัตว์ให้บังเกิด หรือยังให้สัตว์เหล่านั้นให้เจริญขึ้น หญิงนั้นเรียกว่ามารดา ชายใดยังสัตว์ให้บังเกิดหรือยังให้สัตว์ให้เจริญขึ้น ชายนั้นชื่อว่าบิดา ![]() ดูแลบิดา มารดา ด้วยการนวดขาและป้อนข้าว
|
มงคลที่ ๑๒
ความสงเคราะห์แก่บุตรหญิงชาย ![]() ได้รับการฝึกฝนทางธรรมด้วยการบวช
![]() ได้รับการศึกษา
![]() มารดาเฝ้าดูแลบุตรยามเมื่อเด็ก
![]() เป็นคนรับผิดชอบการงาน |
|
มงคลที่ ๑๔
การงานไม่อากูล (ทำงานไม่คั่งค้าง) ![]() คนสร้างบ้านให้สำเร็จลุล่วง
![]() คนเล่นการพนัน คนเอาแต่นอน คนทำงานคั่งค้าง |
|
มงคลที่ ๑๕
ความให้ทาน
![]() ทำบุญใส่บาตร ![]() ปล่อยนก ปล่อยปลา ![]() เลี้ยงดูบ้านเด็กกำพร้า |
|
มงคลที่ ๑๙
ความงดเว้นจากบาป
![]() คนขโมยเสื้อผ้า ![]() คนตกปลา ![]() ตำรวจจับเข้าคุก ![]() การเดินหนีจากการทำบาป |
**
|
โทษของการดื่มน้ำเมามี ๖
ประการ
๑. ทำให้เสื่อมทรัพย์
๒. ทำให้เกิดความทะเลาะวิวาท ทุบตี
ฆ่าฟันกันตาย
๓. กินสุราทำให้เกิดโรคต่างๆ ตับแข็ง เป็นต้น
๔. ไม่รู้จักอาย
นอนไหนก็นอนได้ดังเดรัจฉาน
๕. มีผู้ติเตียนนินทาด้วยกิริยาอันหยาบ
๖.
เป็นคนโง่เขลาไม่มีปัญญา ขาดสติ
เมื่อบุคคลผู้หวังความเจริญแก่ตนเอง
พิจารณาเห็นโทษภัยของน้ำเมาดังกล่าวแล้ว ควรจักสำรวมระวัง อย่าปล่อยให้น้ำเมาและสิ่งเสพติดทั้งปวง
เข้ามาบั่นทอนชีวิต จิตวิญญาณและความเจริญในตน
มงคลที่ ๒๒
ความเคารพกราบไหว้
![]() แสดงความเคารพพระบรมสารีริกธาตุ |
|
มงคลที่ ๒๓
ความเจียมตัว ไม่จองหอง
![]() ใช้อำนาจข่มเหงรังแกผู้ที่ขวางทางเดิน |
|
มงคลที่ ๒๔
ความยินดีด้วยของอันมีอยู่ ![]() มีของกินมากมายแต่จะหากินอีก ![]() ทำนา ![]() ประกอบอาชีพกสิกรรม พออยู่พอกิน บุคคลมายินดีในสิ่งที่มีและตนทำได้ โดยมิใช่ปล่อยอะไรให้เลื่อนลอยไปตามยถากรรม เกียจคร้านหลังยาว ขาดความเพียร เช่นนี้ไม่ถือว่ายินดีในสิ่งที่ตนมีอยู่ ตัวอย่างเช่น มักจักมีผู้เข้าใจผิดแล้วอ้างว่าความยินดีในสิ่งที่ตนมีตนได้คือ มีมาอย่างไร ก็พอใจยินดีแค่นั้น รู้แค่ไหน ก็รู้แค่นั้น เคยเป็นอยู่อย่างไร ก็จักเป็นอยู่อย่างนั้น เข้าใจอย่างนี้ก็มิได้ถูกทั้งหมด ถ้าผู้มีปัญญาเขาแย้งขึ้นมาว่า ตอนท่านออกมาจากท้องแม่ แก้ผ้ามาแล้วทำไมทุกวันนี้ ไม่แก้ผ้าเดินตามถนน แก้ผ้าเข้าสังคมเล่า เพราะฉะนั้นบางอย่างมองอะไรไปในทางไม่เจริญย่ำอยู่กับที่ไม่ก้าวหน้า ความหมายของความยินดีด้วยของอันมีอยู่ ชื่อมันก็บอกอยู่แล้วว่าด้วยของ แล้วของนั้นจะมาจากไหน ถ้าท่านไม่แสวงหามา หรือใครจัดหาให้ท่านมา โดยเนื้อแท้แล้ว ท่านหมายถึงว่า ให้ทุกคนลงไม้ลงมือกระทำให้เต็มความรู้ ความสามารถของตนเสียก่อน เมื่อทำจนเต็มที่อย่างสุดความรู้ความสามารถแล้ว มันได้มาเท่าไร ค่อยยินดีพอใจในสิ่งนั้น เพราะถ้าขืนไม่พอใจยินดีแค่นี้ ตนก็จะเป็นทุกข์ เราจะเห็นว่าของทุกอย่างที่ได้มาก ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาเล่าเรียน ความรู้ ความสามารถ เครื่องนุ่งห่ม ทรัพย์สมบัติ ที่อยู่อาศัย หรือแม้แต่ยารักษาโรค เราได้มาด้วยความเพียรพยายาม ทำได้มาทั้งนั้น ท่านสอนให้เรามีความเพียรใช้ศักยภาพและใจนี้ให้ได้ประโยชน์สูงสุดและประหยัดสุด โดยมิให้ทะเยอทะยานอยากจนเกินเหตุ |
แม้ว่าชีวิตประจำวัน จะสับสนว้าวุ่นเพียงใด
แต่เมื่อถึงกาลสมัยที่ฟังธรรมก็ต้องให้เวลากับกาลนั้นด้วย อย่างน้อยธรรมนั้นก็อาจจะช่วยชำระล้างมลทินภายในใจ
และช่วยผ่อนความตึงเครียด สับสนของชีวิตให้ลดลง ทั้งนี้ท่านต้องฟังด้วยความตั้งใจ
จดจ่อใคร่ครวญพิจารณาในธรรมที่ฟังนั้นๆ ท่านก็จะได้ประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย
เพราะธรรมแปลว่า ธรรมชาติเครื่องฟอกจิต ชำระจิต ถ้าท่านคิดว่าอาหารและน้ำ
จำเป็นต่อร่างกายฉันใด ธรรมะก็จำเป็นต่อจิตใจฉันนั้น ร่างกายที่ขาดน้ำและอาหารเป็นร่างกายที่อยู่ไม่ได้ฉันใด
ใจนี้ขาดธรรมก็อยู่ดีไม่ได้ฉันนั้น สำหรับประโยชน์ของการฟังธรรมนั้นมีมากมาย
ตัวอย่างเช่น
๑. ธรรมอันใดที่ตนยังไม่เคยฟังก็จะได้ฟัง
๒.
ธรรมที่ตนได้เคยฟังแล้ว มาได้ฟังเข้าอีกก็มีปัญญารู้แจ้ง รู้ชัดในธรรมนั้นมากขึ้น
๓.
มีความสงสัยครั้งมาฟังธรรมก็สิ้นความสงสัยเสียได้
๔. จะทำความเห็นให้ตรงถูกต้องต่อพระศาสนา
๕.
จิตของผู้ฟังย่อมผ่องใส เบิกบาน
ยังอานิสงส์ในการฟังธรรมมีอีก
๕ ประการคือ
๑. ยังพระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองเจริญไปภายหน้า
๒. ตายแล้วจะไปสู่สุคติคือมนุษย์และสวรรค์
๓.
จะได้ตรัสรู้ซึ่งมรรคและผล
๔. จะทำให้เกิดเป็นนิสัยแก่ผู้ฟังทั้งมนุษย์และเทวดาและสัตว์เดรัจฉาน
๕.
ฟังแล้วทำให้เกิดปัญญา รู้ตื่นและเบิกบาน
มงคลที่ ๒๗
ความอดทน ![]() อดทนต่อการทำมาหากิน
![]() เกี่ยงกันซ่อมเรือไม่อดทนต่อความยากลำบาก |
มงคลที่ ๒๘
ความเป็นผู้ว่าง่าย
![]() ยอมไปโรงเรียนโดยดี
![]() หนีโรงเรียน มั่วสุม เกเร |
|
เมื่อครั้งพระศาสดาได้ปัญจวัคคีย์ทั้ง
๕ เป็นพระสาวก แล้วส่งไปประกาศพระศาสนานั้น พระอัสสชิก็เป็นพระอรหันต์สาวกรูปหนึ่ง
ได้จาริกไปตามคามนิคมชนบท แล้วออกบิณฑบาตโปรดสัตว์อยู่นั้น พระสารีบุตรซึ่งยังครองเพศเป็นพราหมณ์อยู่
ได้เห็นกิริยาอันละเมียดละไม สง่างามดังกวางทองเยื้องย่างปานนั้น ก็ทำให้เกิดศรัทธา
เข้าไปน้อมกราบแล้วถามขึ้นว่า ท่านเป็นสาวกของใคร ใครเป็นศาสดาของท่าน แล้วศาสดาของท่านสอนว่าอย่างไร
ท่านจะเห็นได้ว่า
พระสารีบุตรซึ่งยังไม่ได้นับถือศาสนาพุทธเลย แค่เพียงเห็นพระอัสสชิออกเดินบิณฑบาตโปรดสัตว์เท่านั้นเอง
ทำให้เกิดความเลื่อมใส ยอมตนก้มลงน้อมกราบแทบเท้าของพระอัสสชิ เพียงเพื่อต้องการรู้ว่าใครเป็นผู้สั่งสอน
จึงทำให้พระอัสสชิช่างมีกิริยาอาการละเมียดละไม สง่างาม มั่นคง เสียเหลือเกิน
ประโยชน์ของการได้เห็นสมณะผู้สงบ
ทำให้จิตของผู้พบเห็นมีจิตสงบ
- เกิดศรัทธาที่บริสุทธิ์
- กิเลสไม่กำเริบ
-
เกิดวิชาความรู้
มงคลที่ ๓๐
ความเจรจาธรรมตามกาล
![]() หมั่นศึกษาธรรมะ พบปะสนทนาธรรม
![]() สนทนาธรรมผิดกาล |
|
การพูดถึงธรรม ดูน่าจะดีทุกกาล
ในข้อนี้ท่านหมายถึงผู้พูดและผู้ฟัง จะต้องมีใจเห็นพ้องกันว่าควรจะพูดและควรจะฟังในเวลานี้
แต่ถ้าพูดถึงเรื่องธรรมในเวลาที่ผัวเมียกำลังเสพกาม เสพเครื่องดองของเมา หรือบริโภคอาหาร
เช่นนี้ผู้พูดและผู้ฟังอาจจะต้องเกิดทะเลาะกันก็ได้ เพราะพูดไม่ถูกกาลเทศะ
บริษัททั้ง
๔ คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ทั้ง ๔ นี้มีความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
ได้เล่าเรียนศึกษาพระธรรมและพระวินัยที่พระศาสดาทรงบัญญัติไว้ เมื่อเล่าเรียนศึกษาได้แล้ว
มีข้อข้องใจสงสัย ก็จำข้อสงสัยนั้นมานั่งสนทนากัน สอบถามกันในเวลาประชุมหรือในเวลาพบปะท่านผู้รู้
เพื่อช่วยแก่ข้อสงสัยนั้นให้กระจ่าง ในส่วนที่รู้แล้วก็จะยิ่งทำให้รู้ชัดไม่หลงลืม
เรียกว่าทำให้มั่นยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่ไม่รู้เลย เมื่อได้มาร่วมรับฟังการเจรจาธรรมนั้น
ผู้ที่ไม่รู้นั้นก็จะได้รู้ตาม ถือได้ว่าเป็นการเผยแผ่ธรรม กระจายธรรมไปในตัวด้วย
บุคคลใดมีความเพียรสำรวมระวังรักษาซึ่งอินทรีย์เป็นต้น
กำจัดเสียซึ่งอกุศล คือ ราคะ โทสะ โมหะ อวิชชา ตัณหา มานะ ทิฏฐิ อุปาทาน ให้หมดน้อยถอยจากสันดานจัดเป็นมงคลอันประเสริฐ
ความเพียรที่จะละกิเลสดังต่อไปนี้
๑.
สำรวมรักษาอินทรีย์ทั้ง ๖ ให้บริบูรณ์
๒. การรักษาศีล ๕ ไม่โหดร้าย ไม่มือไว
ไม่ใจเร็ว ไม่พูดปด ไม่หมดสติ
๓. การรักษาศีลในวันโกน วันพระ
๔. ขันติความอดใจที่จะไม่โกรธไม่พยาบาทอาฆาตจองเวรแก่สัตว์
ยังกิเลสให้เร่าร้อน
๕. ปาติโมกข์สังวร สำรวมระวังในพระปาติโมกข์
๖.
ความเห็นซึ่งมรรคด้วยอำนาจแห่งปัญญา ความรู้อริยสัจ ๔
๗. มีความยินดีรักษาซึ่งธุดงควัตร
เป็นข้อปฏิบัติของบรรพชิต
๘. มีความยินดีเจริญพระกัมมัฏฐานสมถภาวนาและวิปัสสนาภาวนา
๙.
ความทำนิพพานให้แจ้ง
มงคลที่ ๓๒
ความประพฤติอย่างพรหม
![]() ประพฤติอย่างพรหม
![]() ผู้ไม่ประพฤติอย่างพรหม |
|
ท่านให้เห็นอริยสัจ มิใช่ให้เป็นโดยการท่องจำ
แต่ให้เห็นโดยปัญญารู้แจ้งตามสภาพความเป็นจริง ในสภาพแวดล้อมในปัจจุบันว่า
ทุกชีวิตของสรรพสัตว์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เกิดขึ้น ตั้งอยู่และแตกสลายไป
หรือจะมีปัญญาแยบคายมาก สามารถเห็นตามหลักอริยสัจ ๔ ก็ได้ เช่นเห็นว่า
ชีวิตนี้เป็นทุกข์ อันมีมาแต่เหตุ ถ้าจะดับทุกข์ก็ต้องดับที่เหตุ โดยมีข้อปฏิบัติให้ทุกข์นั้นดับ
มีอยู่คือ มรรค ๘ ประการ เช่นนี้เรียกว่าเห็นอริยสัจ ๔
มงคลที่ ๓๔
ความทำพระนิพพานให้แจ้ง บุคคลมาเจริญวิถีแห่งนิพพาน ได้แก่ มีความเพียร เจริญสติ เป็นสมาธิ เกิดปัญญา พิจารณาสภาวะธรรม ทั้งนอกกาย ในกาย ให้รู้เห็นตามความเป็นจริง จนเกิดความเบื่อหน่าย คลายความยึดถือทั้งนอกกายในกายละเสียได้ซึ่ง โทสะ โมหะ ความยินดียินร้าย มีจิตอันไม่เศร้าหมองแล้ว บุคคลนั้นย่อมลุถึงความดับและเย็นแห่งชาติภพเสียได้ เช่นนี้จึงกล่าวได้ว่าเป็นผู้ทำนิพพานให้แจ้ง
มงคลที่ ๓๕
จิตของผู้ใด อันโลกธรรมถูกต้องแล้วไม่หวั่นไหว โลกธรรม ๘ ประการ เป็นเครื่องผูกสัตว์ทั้งหลายให้ข้องอยู่ในโลก จนต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดไม่รู้จักจบ โลกธรรมทั้ง ๘ คือ ๑. มีลาภ ๒. เสื่อมลาภ ๓. มียศ ๔. เสื่อมยศ ๕. มีสรรเสริญ ๖. มีนินทา ๗. มีความสุข ๘. มีทุกข์ ![]() คนต้องการสรรเสริญ ![]() ประจบสอพลอ ![]() คนอยากได้อยากมีทอง มีเสื้อผ้า ![]() คนขออาจารย์ใบ้หวย ![]() ขูดหาเลขที่ต้นไม้ ![]() คนร่อนทองในแม่น้ำ จิตอันโลกธรรมถูกต้องแล้วไม่หวั่นไหว คือจิตที่ต้องมีความเพียร มีสติ เกิดสมาธิ ปรากฎปัญญา เห็นตามความเป็นจริงว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข มันมีการเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วแปรปรวน ดับไปเป็นธรรมดา ไม่มีอะไรคงที่ อยู่ถาวรตลอดกาล เมื่อมีปัญญาพิจารณาเห็นสภาพตามความเป็นจริงอย่างนี้แล้ว ย่อมไม่มัวเมา หลงยึดถือ สลัดหลุดจากเครื่องพันธนาการร้อยรัดทั้งปวง |
|||
|
|||
จบบริบูรณ์ |
|||
|
|||
ขอขอบคุณข้อมูลข้างต้นจาก มงคล ๓๘ ประการ จาก http://www.buddharam.se/thai/text/tree/tree5.htm ภาพจิตรกรรมข้างต้นโดย
กาพย์แก้ว สุวรรณกูฏ และทีมงาน |
|||
|
มงคลสูตรในขุททกปาฐะ
(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๕ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๗ ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต)
ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี
ใกล้พระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล ครั้นปฐมยามล่วงไป
เทวดาตนหนึ่งมีรัศมีงามยิ่งนัก ยังพระวิหารเชตวันทั้งสิ้นให้สว่างไสว เข้าไปเฝ้า
พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว
ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า
เทวดาและมนุษย์เป็นอันมาก ผู้หวังความสวัสดี ได้พากันคิดมงคลทั้งหลาย
ขอพระองค์จงตรัสอุดมมงคล พระผู้มีพระภาคตรัสพระคาถาตอบว่า
การไม่คบคนพาล ๑ การคบบัณฑิต ๑ การบูชาบุคคลที่ควรบูชา ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
การอยู่ในประเทศอันสมควร ๑ ความเป็นผู้มีบุญอันกระทำแล้วในกาลก่อน ๑ การตั้งตนไว้ชอบ ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
พาหุสัจจะ ๑ ศิลป ๑ วินัยทีศึกษาดีแล้ว ๑ วาจาสุภาสิต ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
การบำรุงมารดาบิดา ๑ การสงเคราะห์บุตรภรรยา ๑ การงานอันไม่อากูล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
ทาน ๑ การประพฤติธรรม ๑ การสงเคราะห์ญาติ ๑ กรรมอันไม่มีโทษ ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
การงดการเว้นจากบาป ๑ ความสำรวมจากการดื่มน้ำเมา ๑ ความไม่ประมาทในธรรมทั้งหลาย ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
ความเคารพ ๑ ความประพฤติถ่อมตน ๑ ความสันโดษ ๑ ความกตัญญู ๑ การฟังธรรมโดยกาล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
ความอดทน ๑ ความเป็นผู้ว่าง่าย ๑ การได้เห็นสมณะทั้งหลาย ๑ การสนทนาธรรมโดยกาล ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
ความเพียร ๑ พรหมจรรย์ ๑ การเห็นอริยสัจ ๑ การกระทำนิพพานให้แจ้ง ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
จิตของผู้ใดอันโลกธรรมทั้งหลายถูกต้องแล้ว ย่อมไม่หวั่นไหว ๑ ไม่เศร้าโศก ๑ ปราศจากธุลี ๑ เป็นจิตเกษม ๑ นี้เป็นอุดมมงคล
เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ทำมงคลเช่นนี้แล้ว เป็นผู้ไม่ปราชัยในข้าศึกทุกหมู่เหล่า
ย่อมถึงความสวัสดีในที่ทุกสถาน นี้เป็นอุดมมงคลของเทวดาและมนุษย์เหล่านั้น ฯ