แสดงภาพปฏิจจสมุปบาท
แบบปฏิโลม หรือนิโรธวาร หรือการดับไปแห่งทุกข์
|
เพราะชาติดับ จึงดับชรา-มรณะ อีกทั้งอาสวะกิเลสได้ ๑๓. เพราดับภพได้ จึงดับชาติได้ ๑๒. เพราะดับชาติได้ จึงดับชราได้ ๑๑. เพราดับภพได้ จึงดับชาติได้ ๑๐. เพราะอุปาทานดับ จึงดับภพได้ ๙. เพราะตัณหาดับ จึงดับอุปาทานได้ ๘.
|
๑. เพราะ อวิชชา ดับไป ๒. เพราะอวิชชาดับ จึงดับสังขารได้ ๓. เพราะสังขารดับ จึงดับวิญญาณได้ ๔. เพราะวิญญาณดับ จึงดับนาม-รูปได้ ๕. เพราะนาม-รูปดับ จึงดับสฬายตนะได้ ๖. เพราะสฬายตนะดับ จึงดับผัสสะได้ ๗. เพราะผัสสะดับ จึงดับเวทนาได้
|
หลักปฏิจจสมุปบาท ล้วนดำเนินเป็นไปตามหลักธรรมอิทัปปัจยตา
เพราะอวิชชาดับไปเป็นปัจจัย
สังขารจึงดับ
เพราะสังขารดับไปเป็นปัจจัย
วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับไปเป็นปัจจัย นาม-รูปจึงดับ
เพราะนาม-รูปดับไปเป็นปัจจัย สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับไปเป็นปัจจัย
ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับไปเป็นปัจจัย
เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับไปเป็นปัจจัย
ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับไปเป็นปัจจัย
อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับไปเป็นปัจจัย
ภพจึงดับ
เพราภพดับไปเป็นปัจจัย
ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับไปเป็นปัจจัย
ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสย่อมดับไปเป็นที่สุด
อธิบายกระบวนธรรมของปฏิจจสมุปาทฝ่ายนิโรธวารหรือการดับไปของทุกข์ อันเป็นธรรมที่เป็นปัจจัยให้พระองค์ท่านตรัสรู้ อย่างง่ายๆ
เพราะอวิชขาคือความไม่รู้,ความหลง,ความไม่รู้ธรรมของพระพุทธเจ้า
คืออวิชชา
๘ ดับลงไปได้ ด้วยรู้ดียิ่งว่าสังขารสิ่งปรุงแต่งเจือกิเลสคือเหตุเบื้องต้นให้เกิด....ตัณหา
อุปาทาน
อุปาทานทุกข์
ในที่สุด จึงหยุดการปรุงแต่งให้เกิดสังขารขึ้น
สังขารคือสิ่งปรุงแต่งเจือกิเลสจึงไม่เกิดขึ้นคือดับไป
เมื่อสังขารดับไป
วิญญาณผู้รู้แจ้งอารมณ์คือสิ่งที่ทำให้รู้แจ้งในสังขารกิเลสข้างต้นจึงไม่มี
คือ ไม่เกิดขึ้นหรือดับไป
เมื่อวิญญาณไม่เกิดขึ้นคือดับไป
นาม-รูปคือการร่วมกันทำงานของขันธ์ทั้ง
๕ เกี่ยวกับสังขารนี้ จึงย่อมไม่เกิดขึ้น คือไม่สามารถตื่นตัวหรือถูกปลุกเร้าขึ้นทำงานได้ เพราะขันธ์
๕ ไม่ครบ คือขาดวิญญาณในสังขารข้างต้นไปเสีย(ขันธ์ ๕ ต้องทำงานเป็นเหตุปัจจัยกัน
ขาดตัวใดตัวหนึ่งย่อมไม่ได้ ดังที่กล่าวอยู่ในเรื่องขันธ์ ๕ อยู่เนืองๆ)
เมื่อนาม-รูปไม่เกิดคือไม่ทำงาน
หรือนอนเนื่องอยู่ หรือเรียกว่าดับไป
สฬายตนะคือการทำงานของอายตนะภายในทั้ง
๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ อันเป็นส่วนหนึ่งของรูปขันธ์ ที่ย่อมต้องทำงานร่วมกับขันธ์อื่นๆ
จึงไม่สามาถเกิดการทำงานได้เช่นกัน
เมื่อสฬายตนะไม่ทำงานคือดับไป
จึงย่อมไม่มีการผัสสะ(คือการประจวบกันของปัจจัยทั้ง
๓ คือ อายตนะภายใน กระทบกับ อายตนะภายนอก จึงทำให้เกิดวิญญาณขึ้นได้ แต่เพราะสฬายตนะคืออายตนะภายในไม่ทำงานคือนอนเนื่องอยู่
อีกทั้งอายตนะภายนอก(สังขารสิ่งปรุงแต่งเจือกิเลส)ก็ไม่มีคือดับไปแล้ว ผัสสะจึงไม่เกิดขึ้น
เมื่อไม่มีการผัสสะคือไม่เกิดขึ้น
เวทนาความรู้สึกจากการเสวยอารมณ์คือเสวยสังขารสิ่งปรุงแต่งเจือกิเลสข้างต้น
จึงเกิดขึ้นไม่ได้เช่นกัน
เมื่อเวทนาไม่เกิดขึ้น
ตัณหาคือธรรมที่ปรุงแต่งจิตฝ่ายอกุศล
จึงไม่เกิดขึ้นคือดับไป เพราะไม่มีเวทนาไปปรุงแต่งให้เกิดจิตฝ่ายอกุศลนั่นเอง
เมื่อตัณหาไม่เกิดขึ้น
อุปาทานจึงไม่มีที่ให้ไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใด
คือเมื่อไม่มีตัณหา
อุปาทานจึงต้องดับไป
เมื่ออุปาทานดับไป
จึงไม่เกิดการตกลงปลงใจของจิตหรือภพคือสภาวะของจิต
หรือที่อยู่ที่อาศัยของจิต
เมื่อภพดับไป
เมื่อไม่มีที่อยู่ที่อาศัย ชาติคือการเกิด
คือการเกิดขึ้นของทุกข์หรืออุปาทานขันธ์ ๕ คือกรรม(การกระทำต่างๆ) เช่น มโนกรรม(ความคิด)ซึ่งย่อมถูกครอบงำโดยอุปาทาน
จึงไม่เกิดขึ้น
เมื่อชาติดับไปคือไม่มีการเกิดของทุกข์
ชราความความแปรปรวนวนเวียนปรุงแต่งอยู่ในอุปาทานขันธ์
๕ หรือกองทุกข์จึงย่อมไม่มีคือดับไป จึงไม่มีการมรณะ อีกทั้งอาสวะกิเลสที่ไปนอนเนื่องอยู่ในจิตรอวันกำเริบเสิบสาน
จึงไม่เกิดขึ้นเช่นกัน
ดู วงจรปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายนิโรธวาร ประกอบการพิจารณา
อธิบายกระบวนธรรมปฏิจจสมุปาทฝ่ายนิโรธวาร อย่างง่ายๆ