ย้อนกลับ

 ขันธ์ ๕ ทำงานเหมือนดั่งสรีระยนต์

คลิกขวาเมนู

        ขันธ์ ๕ ทำงานเหมือนดั่งสรีระยนต์ กล่าวคือ เป็นการเปรียบเทียบการทำงานของขันธ์ทั้ง ๕ หรือชีวิต ว่าทำงานเหมือนดั่งเครื่องยนต์หรือเครื่องจักรยนต์อย่างหนึ่งเท่านั้น กล่าวคือ ไปบังคับบัญชาเขา อีกทั้งให้ไปทำหน้าที่อื่นๆนอกจากหน้าที่ของเขาตามที่ออกแบบมาแล้วไม่ได้เลยเป็นเหมือนเครื่องยนต์ทั้งปวง  ด้วยความที่เป็นอนัตตา จึงไปบังคับบัญชาเขาให้เป็นไปตามใจปรารถนาไม่ได้   ขันธ์ ๕ จึงได้แต่เพียงทำงานตามหน้าที่ของตนได้เท่านั้น เหมือนเป็นเพียงดั่งเครื่องจักรกลเครื่องหนึ่งจริงๆ

        กล่าวคือ เมื่อมีชีวิตอยู่ คือขันธ์ ๕ ได้เกิดขึ้นมาแล้ว ก็อุปมาดั่งการสตาร์ทเครื่องยนต์ ที่เมื่อเกิดเริ่มทำงานแล้วย่อมทำงานประจำไปตามหน้าที่ตนเท่านั้น ไม่เป็นอื่นไปได้เลย เช่น เครื่องยนต์ ๔ จังหวะที่มีการทำงานคือ ดูด, บีบอัด, ระเบิด, คาย ซึ่งไม่มีใครไปบังคับบัญชามันให้ทำงานเป็นอื่นนอกเหนือจากนี้ได้อีกเลย ทำงานได้เพียงตามหน้าที่ที่ถูกกำหนด,ออกแบบมาเท่านั้นเอง  ทำได้ก็เพียงมีการเร่งเครื่องให้ช้า ให้เร็ว ได้เพียงเท่านั้นเอง ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงระบบการทำงานของการ ดูด บีบอัด ระเบิด คาย ได้เลย,  ยังคงทำงานไปตามหน้าที่เดิมของตนเท่านั้น คือทำงานโดยอาการ ดูด, บีบอัด, ระเบิด, คาย วนเวียนอยู่เยี่ยงนี้เองตลอดไป จนกว่าจะดับเครื่อง ซึ่งเปรียบเสมือนความตายหรือการดับไปของขันธ์ ๕ หรือชีวิตเช่นกัน,   เครื่องยนต์นี้จึงอุปมาได้ดั่งขันธ์ ๕ ที่ทำงานได้เพียงตามหน้าที่ตนเท่านั้นเอง ไปบังคับบัญชามันให้เป็นอื่นไม่ได้เลยเช่นกัน คือ รูปขันธ์(ซึ่งตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ต่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งของรูปขันธ์หรือร่างกายเช่นกัน) เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ ต่างล้วนจึงได้แต่ทำหน้าที่ตนเท่านั้น ดั่งเช่น

        รูปขันธ์ ร่างกายส่วนต่างๆก็ทำงานตามหน้าที่ส่วนต่างๆของตนเท่านั้น เช่น ปอดไว้หายใจ, กระเพาะไว้ย่อยอาหาร ฯลฯ. อีกทั้งอายตนะภายในต่างๆที่ล้วนอาศัยอยู่ในรูปขันธ์ทั้งสิ้น เช่น ฝ่ายตา ก็ทำหน้าที่ได้แต่เพียงเห็นรูป, รูปขันธ์ฝ่ายหู ทำหน้าที่ได้แต่เพียงได้ยินเสียง, รูปขันธ์ฝ่ายจมูก ก็ทำหน้าที่ได้แต่เพียงดมกลิ่น ฯ. ต่างล้วนทำงานตามหน้าที่ตนได้เท่านั้น  จึงทำงานสักว่าตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น ด้วยเหตุดังนี้จึงจักเป็นทุกข์ ถ้าไปถือมั่นด้วยตัณหาหรือทิฏฐิ(ความคิด,ความเห็น)ปรุงแต่งใดๆ เมื่อไม่เป็นไปตามใจปรารถนา

        เวทนาขันธ์ ก็ทำงานได้เพียงแต่เสวยอารมณ์ คือเพียงแต่เสพเสวยรสในสิ่งที่ผัสสะคือกระทบ จึงเกิดความรู้สึกจากการรับรู้ในรสนั้นๆเป็น สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา โดยอิงอาศัยสัญญาอย่างหนึ่ง(เช่นรูปสัญญา)เป็นตัวให้เกิดรส คือเสพเสวยความรู้สึกสุข ทุกข์ เฉยๆ อีกด้วย,  โดยไม่ทำอื่น และห้ามไม่ได้อีกด้วย เหมือนดั่งเครื่องยนต์ที่ทำงานตามหน้าที่  จึงทำงานสักว่าตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น ด้วยเหตุดังนี้จึงจักเป็นทุกข์ ถ้าไปถือมั่นด้วยตัณหาหรือทิฏฐิ(ความคิด,ความเห็น)ปรุงแต่งใดๆ เมื่อไม่เป็นไปตามใจปรารถนา

        สัญญา ก็ทำงานได้แต่เพียงฝ่ายความจำ คือ จำได้(เช่น ธัมมสัญญา) และหมายรู้ต่างๆ(เช่น ธัมมสัญเจตนา) เกี่ยวกับความจำที่ได้สั่งสม,อบรมไว้  จึงยังผลให้เกิดเวทนาต่างๆ อีกทั้งสังขารขันธ์(อาการของจิตต่างๆ)ตามมาอีกด้วย   จึงทำงานสักว่าตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น ด้วยเหตุดังนี้จึงจักเป็นทุกข์ ถ้าไปถือมั่นด้วยตัณหาหรือทิฏฐิ(ความคิด,ความเห็น)ปรุงแต่งใดๆ เมื่อไม่เป็นไปตามใจปรารถนา

        สังขาร(ขันธ์) หรือ ส่วนที่ทำหน้าที่ในการปรุงแต่งจิต ที่เกิดขึ้นจากการปรุงแต่งของสัญญาอย่างหนึ่ง ดังเช่น ธัมมสัญเจตนา  ซึ่งยังให้เกิดอาการต่างๆของจิตได้ทั้งดี และชั่ว หรือกลางๆ หรืออารมณ์ต่างๆในทางโลกนั่นเอง   จึงทำงานสักว่าตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น ด้วยเหตุดังนี้จึงจักเป็นทุกข์ ถ้าไปถือมั่นด้วยตัณหาหรือทิฏฐิ(ความคิด,ความเห็น) เมื่อไม่เป็นไปตามใจปรารถนา

        วิญญาณ ทำหน้าที่รู้แจ้งอารมณ์ คือรู้ในสิ่งที่กระทบกันระหว่างของอายะตนะภายใน และภายนอก ดั่งเช่น เมื่อตากระทบรูป ย่อมเกิด(จักขุ)วิญญาณขึ้นรู้ในรูปนั้นๆเช่นว่ารู้ว่ารูปนั้นสวยหรือไม่สวย คือรู้แจ้งในรูปนั้น,   หรือหูกระทบเสียง ย่อมเกิด(โสต)วิญญาณขึ้นรู้ในเสียงที่กระทบนั้นๆ  เป็นการทำงานแบบปัญจทวาราวัชชนจิตนั่นเอง  คือมันทำงานตามหน้าที่เขา ไปบังคับไม่ได้ ดั่งเครื่องจักรกลที่ดำเนินไปตามหน้าที่ตนได้เท่านั้น    จึงทำงานสักว่าตามหน้าที่ของเขาเท่านั้น ด้วยเหตุดังนี้จึงจักเป็นทุกข์ ถ้าไปถือมั่นด้วยตัณหาหรือทิฏฐิ(ความคิด,ความเห็น)ปรุงแต่งใดๆ เมื่อไม่เป็นไปตามใจปรารถนา

ตัวอย่างการทำงานของขันธ์ทั้ง ๕ ที่เพียงทำงานเหมือนดั่งสรีระยนต์

รูป กระทบกับ ตา     เป็นปัจจัย จึงมี จักขุวิญญาณ     เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ    เป็นปัจจัย จึงมี รูปสัญญา     เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา     เป็นปัจจัย จึงมี รูปสัญเจตนา     เป็นปัจจัย จึงมี สังขารขันธ์ [จึงเกิดการเจตนาคือ สัญเจตนา --> จึงเกิดกรรม คือ กายกรรม วจีกรรม หรือมโนกรรม]

         เมื่อพิจารณาเห็นได้ดังนี้  ก็จะได้หลักปฏิบัติว่า เวทนาต่างๆ อีกทั้งสังขารขันธ์คืออารมณ์ต่างๆ ยังพึงต้องเกิดขึ้นอย่างนี้ๆเอง เป็นธรรมดา  จึงพึงต้องยอมรับความเป็นจริงอย่างนี้ๆ  อย่าดิ้นรนมีตัณหา อยากให้มันดับไป,  ดังนั้นจึงอย่าได้พยายามไปทำสิ่งใด เพื่อไม่ให้มันไม่เกิดขึ้น  หรือต้องการให้มันเป็นอื่นไป(มันเพียงเป็นไปตามเหตุปัจจัย)  หรือพยายามทำให้มันดับลงไปตรงๆดื้อๆเดี๋ยวนั้น ก็ย่อมไม่ได้ด้วยความเป็นอนัตตา  จึงให้ทำแต่เพียงการมีสติระลึกรู้เท่าทัน คือจำหรือนึกขึ้นมาได้ อีกทั้งด้วยปัญญา จึงไม่ไปยึดมั่นถือมั่นด้วยตัณหาหรือทิฏฐิใดๆ  คือ ไม่ยึดมั่นใดๆ  หรือการไม่เอา คือไม่เอาไปปรุงแต่งให้เนื่องต่อไปอีก หรือการอุเบกขาสัมโพชฌงค์เสียนั่นเอง  มันก็จะดับลงไปเองโดยธรรม คือสภาวธรรมของการ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา

 

ธรรมข้อคิดพิจารณา

        ขันธ์ ๕ ย่อมทำงานของเขาไปตามธรรมชาติ  ไม่มีใครหยุด  หรือห้ามการทำงานของเขาได้  เพียงแต่มีสติ ระลึก รู้ แล้ว วาง ไม่ยึดมั่นถือมั่น ก็สามารถเป็นอิสระเหนือขันธ์ ๕ ได้ โดยวิธีนี้

หลวงพ่อเยื้อน ขันติพโล

ขันธ์ทั้ง ๕ ทำงานโดยอิสระจากเรา

  กลับหน้าเดิม

 

 หัวข้อต่อไป anired06_next.gif

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ

 

Google


ทั่วโลก  ค้นหาเฉพาะใน"ปฏิจจสมุปบาท"