กลับไปสารบัญ

กลับไปสารบัญ

จิตเดิมที่ปภัสสร แต่หมองเพราะกิเลสที่จรมา

จิตที่หมองหม่น, หดหู่, ขุ่นมัว, หรือเศร้าหมองเพราะอาสวะกิเลสความจําอันเจือด้วยกิเลสเป็นปัจจัย  อันล้วนเกิดมาแต่ความเศร้าใจ(โสกะ), ครํ่าครวญ อาลัย รําพันในสุข(ปริเทวะ), ทุกข์ทางกาย(ทุกข์), ทุกข์อันเกิดแต่ใจ(โทมนัส), ความคับแค้นขุ่นข้องใจ(อุปายาส) อันเกิดมาจากความทุกข์และสุขทางโลกๆตามที่ได้เคยสั่งสม อบรม ประพฤติ ปฏิบัติมาแต่อดีต,  จึงได้ครอบงํา หมักหมม ราวกับ เป็น ตัณหา และ อุปาทาน ที่นอนเนื่องอยู่ในจิต  ที่ท่านกล่าวว่า" อาสวะกิเลส"  ซึ่งเมื่อผุดขึ้นมา หรือเจตนาขึ้นมา

anired05_next.gif  อันไปเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน ร่วมกับ  anired05_next.gif

ความไม่รู้ตามความเป็นจริง, สติไม่รู้เท่าทัน ตามที่มันเกิด ตามความเป็นจริงแห่งธรรม(ธรรมชาติ) อันคือ อวิชชา ความไม่รู้, ความไม่รู้เท่าทันตามความเป็นจริงแห่งธรรมในการดับทุกข์

anired05_next.gif  จึงเป็นปัจจัยที่ยังให้เกิด  anired05_next.gif

สังขาร การกระทําทางกาย, วาจา หรือใจ(ความคิดนึก)ต่างๆ ตามที่ได้เคยสั่งสม อบรม เคยประพฤติ ปฏิบัติ เคยชิน มาแต่อดีต   หรือจะเรียกสังขารกิเลส  หรือสังขารวิบากก็ยังได้

anired05_next.gif  อันเมื่อเกิดสังขารแล้ว ย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด  anired05_next.gif

วิญญาณ การรับรู้ใน "สังขาร" ดังกล่าว ที่ได้เกิดขึ้นมานั้นๆ

anired05_next.gif   อันเป็นปัจจัยให้  anired05_next.gif

นาม-รูป ครบองค์ประกอบของขันธ์๕ หรือชีวิต อันตื่นตัวพร้อมทํางานตามหน้าที่ของตน

anired05_next.gif  อันย่อมเป็นปัจจัยทําให้  anired05_next.gif

สฬายตนะ อันมี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ซึ่งเป็นอวัยวะส่วนต่างๆของนาม-รูปตามธรรมชาติจึงตื่นตัวทํางานตามหน้าที่แห่งตน รับการกระทบสัมผัสใน รูป, เสียง, กลิ่น, รส, สัมผัส, ธรรมารมณ์(คิด,นึก)  ที่มากระทบนั้นๆ

anired05_next.gif  อันย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด  anired05_next.gif

ผัสสะ การประจวบรวม(กระทบ)กันของปัจจัย ๓ อย่างอันมี  สังขารอันมีทางกาย,วาจา,ใจ + วิญญาณ + สฬายตนะ  ดังกล่าวข้างต้น อันล้วนแต่เกิดขึ้นแล้วและพร้อมทําหน้าที่แห่งตน

anired05_next.gif  จึงย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด  anired05_next.gif

เวทนา การเสวยอารมณ์(ความรู้สึกรับรู้สิ่งที่มากระทบสัมผัสเช่น ความคิด รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส พร้อมทั้งจําและเข้าใจขั้นพื้นฐานในสิ่งที่มากระทบนั้น)

anired05_next.gif  อันเป็นสาเหตุปัจจัยหลักให้เกิด  anired05_next.gif

ตัณหา ความรู้สึกทะยานอยาก,หรือไม่อยาก ต่อความรู้สึกรับรู้สิ่งที่กระทบสัมผัสนั้นๆ(เวทนา)

 anired05_next.gif  ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทําให้เกิด  anired05_next.gif

อุปาทาน ที่นอนเนื่องนั้น เกิดการทํางาน ในความยึดมั่น ถือมั่นที่จะสนองต่อความรู้สึกตัณหานั้น เพื่อให้เกิดความพึงพอใจในตน,ของตนเป็นหลัก

anired05_next.gif  อันเป็นปัจจัยให้ต้องเลือก  anired05_next.gif

ภพ การเลือกบทบาทหรือสภาวะ หรือการตกลงใจ(ในขณะจิต)ที่จะกระทําใดๆ อันเนื่องมาจากอิทธิพลของอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจแห่งตนนั้น จะได้รับการตอบสนองเยี่ยงใด

anired05_next.gif  จึงเป็นปัจจัยให้เกิด  anired05_next.gif

ชาติ การเกิดขึ้นของทุกข์ หรือการเริ่มกระทําทางกาย หรือทางวาจา หรือทางใจ ตามภพอันคือสภาวะหรือบทบาทที่ได้ตกลงใจเลือกโดยขาดสติเพราะถูกครอบงําแล้วโดยอุปาทาน

anired05_next.gif  ซึ่งย่อมเป็นปัจจัยให้มี  anired05_next.gif

ชรา-มรณะ อันคือการแปรปรวน เปลี่ยนแปลง ไปๆมาๆ ของทุกข์ตามกฎอนิจจัง และการดับไปของทุกข์ในที่สุดตามกฎทุกขัง, แต่ก็ยังให้เกิด อาสวะกิเลส ตกตะกอนนอนเนื่องอยู่ในจิตใต้สํานึกอีกด้วย อันเป็นสิ่งที่ทําให้จิตขุ่นมัวและเศร้าหมอง และนอนเนื่องหมักหมมอยู่ในจิต(ใต้สํานึก)สืบต่อไป

anired05_next.gif   ชึ่งย่อมเป็นปัจจัยที่จักไปกระตุ้นให้เกิด  anired05_next.gif

อวิชชา ความไม่รู้, ความไม่รุ้เท่าทัน ตามที่มันเกิด ตามความเป็นจริงของธรรม(ชาติ) ทําให้ตัณหา แล อุปาทานที่นอนเนื่องหมักหมมอยู่ในจิต กําเริบ เกิดทํางานขึ้นใหม่อีก  

anired05_next.gif  ชึ่งย่อมเป็นปัจจัยให้เกิด  anired05_next.gif  สังขาร  anired05_next.gif วิญญาณ....... 

ป็นวงจร วงจักรอุบาทที่ไม่วันจบสิ้น เวียนว่าย ตายเกิด อยู่ในสังสารวัฏ...........

 

อ่านรายละเอียดใน

ปฏิจจสมุปบาท

กระบวนการเกิดขึ้นและดับไปแห่งทุกข์

 

ธรรมชาติของจิตและนํ้า

(พิจารณาเพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนขึ้น)

        จิตนั้นเปรียบประดุจดั่งนํ้า,

        นํ้านั้นไร้รูปร่าง แปรปรวนไปตามภาชนะที่บรรจุหรือรองรับ,  จิตนั้นก็ไร้รูปร่าง แปรปรวนไปตามสิ่งแวดล้อมทุกชนิดที่กระทบสัมผัส(ผัสสะ),

        นํ้าประกอบด้วยเหตุปัจจัยต่างๆมาประชุมรวมกันชั่วระยะหนึ่งเช่น H และ O,  จิตก็ประกอบด้วยเหตุปัจจัยอันมากหลายมาประชุมกันชั่วระยะหนึ่ง

        นํ้ามีคุณสมบัติไหลลงสู่ที่ตํ่าเพราะแรงดึงดูดโลก,  จิตก็มีคุณสมบัติเหมือนดั่งนํ้าที่ย่อมไหลลงสู่ที่ตํ่าแต่ตามแรงดึงดูดของความเคยชินที่ได้สั่งสมหรือกิเลสตัณหาแลอุปาทานนั่นเอง,

        นํ้าไม่มีวันไหลสู่เบื้องสูงได้เองฉันใด,  จิตก็ไม่มีวันไหลสู่เบื้องสูงได้เองฉันนั้น

        ถ้าเราต้องการยกระดับนํ้าให้สูงขึ้น ย่อมต้องออกแรงพยายามฉันใด,  จิตจักสูงขึ้นได้ ก็ย่อมต้องการ การพยายามปฏิบัติฉันนั้น,

        การยกระดับนํ้าให้สูงขึ้นโดยใช้วิธีการที่ถูกต้องเช่นเครื่องกล,ภาชนะหรืออุปกรณ์ที่ถูกต้อง ย่อมยกระดับนํ้าได้รวดเร็วฉันใด,  จิตก็ย่อมต้องการการปฏิบัติอันถูกต้องจึงจักยกระดับจิตให้สูงขึ้นได้เร็วฉันนั้น,

        ธรรมชาติของนํ้าเดือดพล่านเพราะไฟฉันใด,  จิตย่อมเดือดพล่านเพราะไฟของกิเลสตัณหาอุปาทานฉันนั้น

        นํ้าบริสุทธ์คือนํ้าที่ไม่มีสิ่งเจือปน,  จิตบริสุทธ์ก็คือจิตเดิมแท้ที่ไม่เจือด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานนั่นเอง  หรือจิตเดิมแท้นั่นแหละคือจิตพุทธะ อันมีอยู่แล้วในทุกผู้คน เพียงแต่ถูกบดบังหรือครอบงําด้วยกิเลสตัณหาอุปาทาน

        ข้อสังเกตุ นักปฏิบัติที่เจริญก้าวหน้าแล้วหยุดหรือพอใจแค่นั้น จึงถูกธรรมชาติของจิตเล่นงาน ไหลลงตํ่ากลับลงสู่ความเคยชินที่ได้สั่งสมไว้หรือตามแรงดึงดูดของกิเลสตัณหาอุปาทาน,  กลับคืนสู่สภาพเดิมๆในไม่ช้า

        ลองโยนิโสมนสิการแบบสนุกๆดู,  บุคคลใดมีทรัพย์สมบัติมากมาย ไม่มีการงานให้ต้องทําหรือรับผิดชอบ มีความสุขทางโลกเต็มที่ ทําบุญครั้งละมากๆ  แต่มิได้ปฏิบัติ  ท่านว่าบุคคลนี้จักถูกธรรมชาติของจิตดึงดูดลงสู่ที่ตํ่าหรือไม่?

        สังขารขันธ์ต่างๆที่เกิดขึ้นนั้น ในชีวิตประจําวันนั้น ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากความเคยชิน คิดสั่งการใดแล้ว ก็จักกระทําไปตามความเคยชินหรือการเรียนรู้ ที่ได้ประพฤติปฏิบัติมาแล้ว แต่แยกไม่ออก จึงไม่รู้ว่าความเคยชินนี้แหละหรือสังขารในปฏิจจสมุปบาทมีอิทธิพลเยี่ยงไร  ดังจะไปกินข้าว เพียงคิดขึ้นมาจะเกิดสังขารขันธ์ต่างๆหลายอย่างเช่นลุกขึ้น, เดิน, หาจาน ช้อน,ทานอาหาร อันเป็นการประพฤติปฏิบัติโดยอัติโนมัติไม่รู้ตัว เพราะอิทธิพลของความเคยชิน ที่ได้ประพฤติปฏิบัติ เรียนรู้ อันได้สั่งสมไว้ อันทํางานอยู่เบื้องหลังโดยไม่รู้ตัว ด้วยเหตุนี้นักปฏิบัติหลายๆท่านที่ปฏิบัติก้าวหน้าดีแล้ว จนจางคลายจากทุกข์ได้ผลตามควรแก่ตนแล้ว แต่หยุดปฏิบัติเพราะความพอใจแล้ว หรือหยุดเพราะฤทธิ์ของความเคยชินแล้ว จึงเกิดสภาพไหลลงสู่ที่ตํ่า กล่าวคือกลับสู่สภาพเดิมๆอันได้สั่งสมอบรมไว้เป็นเวลานาน  นี้แหละคือธรรมชาติของจิต   ดังนั้นความเพียรจนเกิดเป็นความเคยชินดังเช่นการปฏิบัติให้เห็นเวทนาและความคิด(จิต) จึงเป็นสิ่งจําเป็นควบคู่ไปกับความเข้าใจในสภาวะธรรม 

 

ข้อคิดให้เห็นเป็นรูปธรรมในปฏิจจสมุปบาท      

จิตที่ขุ่นมัวเศร้าหมองเพราะอาสวะกิเลส  เปรียบประดุจดั่ง กองไฟ

ตัณหาแลอุปาทานที่นอนเนื่อง(ยังคงมีในจิตแต่ยังไม่ทํางาน)ในอวิชชา  เปรียบประดุจดั่ง นํ้ามัน

สังขาร(คิด)ที่สั่งสม อันเป็นทุกข์  เปรียบประดุจดั่ง สะเก็ดนํ้ามันที่เดือดพล่านกระเด็นออกมา

    ถ้าเราพึงโหมไฟ(อาสวะกิเลส)ให้แรงขึ้น นํ้ามัน(อวิชชา)อันปกติราบเรียบสงบ จักมีการเดือดพล่าน แล้วกระเด็นออกมาเป็นสะเก็ดนํ้ามัน(สังขารคิด)อันเป็นของร้อน ซึ่งย่อมก่อทุกข์ กล่าวคือ ถูกที่ไหน สะดุ้งที่นั่น, ถูกที่ไหน ร้อนที่นั่น, ถูกที่ไหน พองที่นั่น.

    จิตขุ่นมัวเศร้าหมองไปโหมกระพือให้ อวิชชาที่มีตัณหาแลอุปาทานที่นอนเนื่องกลายเป็นของร้อนเดือดพล่านขึ้นมาเป็นสังขาร(คิด)ที่สั่งสมไว้ อันเป็นของร้อนเช่นกัน แล้วย่อมเป็นไปตามวงจรแห่งทุกข์ " ปฏิจจสมุปบาท "....ฯลฯ.