ฝัน
หลวงปู่ดูลย์ อตุโล เคยกล่าวไว้ในเรื่องของความฝัน ที่มีผู้เรียนถามท่านว่า "พระอริยเจ้าฝันไหม" ท่านได้ตอบสั้นๆไว้ว่า
" ก็ฝันเป็นเรื่องของสังขารขันธ์ ไม่ใช่หรือ "
ผู้ที่มีความเข้าใจปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์ ๕ อย่างดีงาม ย่อมตีความหมายหรือคำตอบนั้นได้อย่างถูกต้อง หมายความว่า ยังคงมีอยู่เป็นธรรมดา ด้วยสังขารขันธ์ทั้งปวงล้วนอนัตตา จึงบังคับบัญชามันให้เป็นไปตามใจปรารถนาเองไม่ได้ เป็นอิสระจากเราหรือใครๆ เป็นไปตามเหตุปัจจัย
เรามาพิจารณาความฝันกันเถอะ เพื่อให้เข้าใจปฏิจจสมุปบาทและขันธ์ ๕ ในภายภาคหน้ากัน
จิตนั้นทำงานอยู่แม้ในขณะหลับไหล ดังมีพุทธพจน์ของพระองค์ท่านได้กล่าวยืนยันไว้ว่า จิตนั้นเกิดดับ..เกิดดับๆ ทั้งขณะตื่น และหลับ ไว้ดังนี้
ในพระอริยเจ้านั้น ความฝันของท่านเกิดแต่ฝ่ายสัญญา ที่ย่อมปราศจากกิเลสมาร้อยรัดหรือพัวพัน กระบวนธรรมจิตของท่าน จึงเป็นไปดังนี้
[สัญญา(ความจำ)แต่นอนเนื่องอยู่
] ดังนั้นเมื่อ
ฝันคือธรรมารมณ์ที่ผุดขึ้นมา
ใจ
มโนวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำและเข้าใจในธรรมมารมณ์หรือฝันนั้นๆแต่หมดจด ย่อมทำงานขึ้นแม้ในขณะหลับ)
เวทนา จึงย่อมเกิดความรู้สึกเป็นสุขเวทนา
ทุกขเวทนา หรืออทุกขเวทนาบ้างเป็นธรรมดา แต่ย่อมไม่ประกอบด้วยความเร่าร้อนผาลน จนเหงื่อแตกโทรมกาย
สัญญา
สังขารขันธ์ เป็นความคิด ความนึก ธรรมารมณ์ หรือความฝันนั่นเอง
ส่วนในปุถุชนนั้น สัญญาที่นอนเนื่องอยู่ ดังสัญญาดังข้างต้น และในสภาพของอาสวะกิเลส กล่าวคือ สัญญาความจำแต่แฝงด้วยกิเลสคือสิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัวนั่นเอง ดังนั้นการฝันของปุถุชนจึงมีทั้งแบบดังข้างต้นของพระอริยเจ้าอันเป็นวิสัยของสังขารขันธ์ และแบบของปุถุชนที่ประกอบด้วยอาสวะกิเลส ดังที่จะแสดงความเป็นไปด้วยกระบวนธรรมของจิตดังต่อไปนี้ คือ
[อาสวะกิเลส(ความจำเจือกิเลส)แต่นอนเนื่องอยู่
] ดังนั้นเมื่อ
ฝันคือธรรมารมณ์ผุดหรือถูกกระตุ้นขึ้นมา
ใจ
มโนวิญญาณ
ผัสสะ
สัญญา(ความจำและเข้าใจในธรรมมารมณ์นั้นที่ย่อมเจือกิเลส
จึงทำงานขึ้นแม้ในขณะหลับ)
เวทนามีอามิส
จึงเกิดความรู้สึกเป็นสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขเวทนา ที่ย่อมประกอบด้วยอามิสคือกิเลสอยู่ในที
ขึ้นบ้างเป็นธรรมดา
ตัณหา
....ดำเนินไปในวงจรปฏิจจสมุปบาท
แม้แต่ในฝัน....อุปาทาน
ภพ
ชาติ
ชรา คือวนเวียนแปรปรวนด้วยการปรุงแต่งต่างๆนาๆในความฝันนั้นแล
จนเร่าร้อนทุลนทุราย นอนเหงื่อแตกโทรมกาย........ฯ
ดูเอาเถอะ แม้ในขณะหลับ จิตยังไม่ยอมหลับนอนไปด้วย ยังเฝ้ามาเวียนวนรังควาน ให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกองทุกข์หรือสังสารวัฏ
ซึ่งถ้าพิจาณาโดยแยบคายแล้ว ก็จักเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า ด้วยเหตุอันใดปุถุชน จึงไม่สามารถเหนือกรรมได้ดังพระอริยเจ้า