พระพุทธเจ้า

สกลิกสูตรที่ ๓

พุทธพจน์ และ พระสูตร

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๕

 คลิกขวาเมนู

        [๔๕๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-

สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ มัททกุจฉิมิคทายวัน เขตกรุงราชคฤห์ ฯ

ก็โดยสมัยนั้นแล พระบาทของพระผู้มีพระภาคถูกสะเก็ดหินเจาะแล้ว

ได้ยินว่า เวทนาทั้งหลายอันยิ่ง เป็นไปในพระสรีระ เป็นทุกข์ แรงกล้า เผ็ด ร้อน

ไม่เป็นที่ยินดี(ทุกขเวทนาทางใจ) ไม่เป็นที่ทรงสบาย(ทุกขเวทนาทางกาย) ย่อมเป็นไปแด่พระผู้มีพระภาค

กายยังมีอยู่ เมื่อเกิดผัสสะ ย่อมเกิดทุกขเวทนาต่อกายและใจได้เป็นธรรมดาของธรรมหรือธรรมชาติ

พระองค์มีพระสติสัมปชัญญะอดกลั้นซึ่งเวทนาเหล่านั้น ไม่กระสับกระส่าย ฯ

แต่พระองค์ท่านอดกลั้นไม่กระสับกระส่าย  ทรงเสวยแต่ทุกขเวทนาทางกาย อันย่อมเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติ

แต่ไม่ทรงเสวยความเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายทางใจด้วยเวทนูปาทานขันธ์เลย

ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ลาดผ้าสังฆาฏิเป็น ๔ ชั้น แล้วสำเร็จสีหไสยา

โดยพระปรัศเบื้องขวา พระบาทซ้ายเหลื่อมพระบาทขวา มีพระสติ สัมปชัญญะ

         [๔๕๓] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเข้าไปเฝ้าพระองค์ถึงที่ประทับ แล้วทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า

                    ท่านนอนด้วยความเขลา หรือมัวเมาคิดกาพย์กลอนอยู่                 

                    ประโยชน์ทั้งหลายของท่านไม่มีมาก

                    ท่านอยู่ ณ ที่นั่งที่นอนอันสงัดแต่ผู้เดียว ตั้งหน้านอนหลับ              

                    นี่อะไร ท่านหลับ ทีเดียวหรือ ฯ

         [๔๕๔] พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า

                    เราไม่ได้นอนด้วยความเขลา ทั้งมิได้มัวเมาคิดกาพย์กลอนอยู่     

                    เราบรรลุประโยชน์แล้ว ปราศจากความโศก อยู่ ณ ที่นั่งที่นอน

                    อันสงัดแต่ผู้เดียว นอนรำพึงด้วยความเอ็นดูในสัตว์ทั้งปวง ฯ

                    ลูกศรเข้าไปในอกของชนเหล่าใด  ร้อยหทัยให้ลุ่มหลงอยู่

                    แม้ชนเหล่านั้นในโลกนี้ ผู้มีลูกศรเสียบอกอยู่ ยังได้ความหลับ

                    เราผู้ปราศจากลูกศรแล้ว ไฉนจะไม่หลับเล่า ฯ

                    เราเดินทางไปในทางที่มีราชสีห์เป็นต้น ก็มิได้หวาดหวั่น

                    ถึงหลับในที่เช่นนั้นก็มิได้กลัวเกรง  กลางคืนและกลางวันย่อม

                    ไม่ทำให้เราเดือดร้อน เราย่อมไม่พบเห็นความเสื่อมอะไรๆในโลก

                    ฉะนั้น เราผู้มีความเอ็นดูในสัตว์ทั้งปวง จึงนอนหลับ ฯ

ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา

พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นเอง ฯ

        พึงพิจารณาให้เกิดปัญญา โดยการโยนิโสมนสิการโดยแยบคาย  จะพึงพบว่าทุกขเวทนานั้นแม้ยังมีอยู่เป็นธรรมดา แม้ในพระองค์ท่าน  อันพึงเกิดขึ้นแก่จิตและกายเป็นธรรมดา  แต่พระองค์ท่านไม่ทรงเจริญทุกขเวทนาเหล่าใดเหล่านั้นต่อไปจนเกิดเวทนูปาทานขันธ์ หรือทุกขเวทนาทางใจที่ประกอบด้วยอุปาทาน  จึงมิได้มีความเร่าร้อนเผาลน ดังที่มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ได้เข้าใจผิด จึงได้มาทูลถามเย้าแหย่  นี่คือความแตกต่างกันอันยิ่งในระหว่างปุถุชนและพระอริยเจ้า  จึงพึงทำปัญญาให้เห็นถูกต้อง เพื่อการนำไปปฏิบัติอย่างถูกต้องแนวทางตามพุทธประสงค์   จึงมิใช่การปฏิบัติเพื่อไม่ให้เกิด ไม่ให้มี ไม่ให้เป็นในเหล่าทุกขเวทนาที่บังเกิดขึ้นเมื่อมีทุกข์อันจรมาผัสสะ  แต่เป็นการปฏิบัติอย่างไรแล้วเมื่อเกิดทุกขเวทนาเหล่านั้นอันเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ในที่สุด ดังเช่นทุกขเวทนาอันเกิดแต่ทุกขอริยสัจทั้งหลายมาเยือน  แล้วไม่เป็นทุกข์ ที่หมายถึงไม่เกิดทุกขเวทนาทางใจที่ประกอบด้วยตัณหาหรืออุปาทานหรือเวทนูปาทานหรือโทมนัสอันเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวาย ดังที่พระองค์ท่านทรงแสดงแก่มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ จนต้องอับอายหนีหายไป.

สกลิกสูตรที่ ๘

        [๑๒๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-              

    สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ มิคทายวัน ในสวนมัททกุจฉิ เขตพระนครราชคฤห์

    ก็โดยสมัยนั้นแล พระบาทของพระผู้มีพระภาคถูกสะเก็ด หินกระทบแล้ว

    ได้ยินว่า เวทนาทั้งหลาย ของพระผู้มีพระภาคมาก เป็นความลำบาก

    มีในพระสรีระ กล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่สำราญ ไม่ทรงสบาย

    ได้ยินว่า พระผู้มีพระภาคทรงมีพระสติสัมปชัญญะอดกลั้นเวทนาทั้งหลาย ไม่ทรงเดือดร้อน

    ในครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ปูผ้าสังฆาฏิสี่ชั้น ทรงสำเร็จสีหไสยาส

    โดยพระปรัสเบื้องขวา ซ้อนพระบาทเหลื่อมด้วยพระบาท ทรงมีพระสติ สัมปชัญญะอยู่ ฯ              

        [๑๒๓] ครั้งนั้นแล เมื่อปฐมยามล่วงไปแล้ว พวกเทวดาสตุลลปกายิกา เจ็ดร้อย

    มีวรรณงาม ยังสวนมัททกุจฉิทั้งสิ้นให้สว่าง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ

    ครั้นแล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคแล้วได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ฯ              

        [๑๒๔] เทวดาตนหนึ่งครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้เปล่ง อุทานนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า

    พระสมณโคดมผู้เจริญเป็นนาคหนอ ก็แหละ พระสมณโคดม ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ

    ทรงอดกลั้นซึ่งเวทนาทั้งหลายอันมีใน พระสรีระเกิดขึ้นแล้ว เป็นความลำบาก กล้าแข็ง เผ็ดร้อน

    ไม่สำราญ ไม่ทรงสบาย ด้วยความที่พระสมณโคดมเป็นนาค มิได้ทรงเดือดร้อน ฯ              

        [๑๒๕] ในครั้งนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักพระผู้มี พระภาคว่า

    พระสมณโคดมผู้เจริญ เป็นสีหะหนอ ก็แหละพระสมณโคดมทรง มีพระสติสัมปชัญญะอดกลั้นซึ่งเวทนาทั้งหลาย

    อันมีในพระสรีระเกิดขึ้นแล้ว เป็น ความลำบาก กล้าแข็ง เผ็ดร้อน

    ไม่สำราญ ไม่ทรงสบาย  ด้วยความที่พระสมณโคดมเป็นสีหะ มิได้ทรงเดือดร้อน ฯ              

        [๑๒๖] ในครั้งนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักพระผู้มี พระภาคว่า

    พระสมณโคดมผู้เจริญเป็นอาชาไนยหนอ ก็แหละพระสมณโคดม ทรงมีพระสติสัมปชัญญะอดกลั้นเวทนาทั้งหลาย

    อันมีในพระสรีระเกิดขึ้นแล้ว เป็น ความลำบาก กล้าแข็ง เผ็ดร้อน

    ไม่สำราญ ไม่ทรงสบาย ด้วยความที่พระสมณโคดมเป็นอาชาไนย มิได้ทรงเดือดร้อน ฯ              

        [๑๒๗] ในครั้งนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า

    พระสมณโคดมผู้เจริญเป็นผู้องอาจหนอ ก็แหละพระสมณโคดม ทรงมีพระสติสัมปชัญญะอดกลั้นซึ่งเวทนาทั้งหลาย

    อันมีในพระสรีระเกิดขึ้นแล้ว เป็นความลำบาก กล้าแข็ง เผ็ดร้อน

    ไม่สำราญ ไม่ทรงสบาย ด้วยความที่ พระสมณโคดมเป็นผู้องอาจ มิได้ทรงเดือดร้อน ฯ              

        [๑๒๘] ในครั้งนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า

    พระสมณโคดมผู้เจริญเป็นผู้ใฝ่ธุระหนอ ก็แหละพระสมณโคดม ทรงมีพระสติสัมปชัญญะอดกลั้นเวทนาทั้งหลาย

    อันมีในพระสรีระเกิดขึ้นแล้ว เป็น ความลำบาก กล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่สำราญ ไม่ทรงสบาย

    ด้วยความที่ พระสมณโคดมเป็นผู้ใฝ่ธุระ มิได้ทรงเดือดร้อน ฯ              

        [๑๒๙] ในครั้งนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า

    พระสมณโคดมผู้เจริญเป็นผู้ฝึกแล้วหนอ ก็แหละพระสมณโคดม ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ อดกลั้นซึ่งเวทนาทั้งหลาย

    อันมีในพระสรีระเกิดขึ้นแล้ว เป็นความลำบาก กล้าแข็ง เผ็ดร้อน ไม่สำราญ ไม่ทรงสบาย

    ด้วยความที่พระสมณโคดมเป็นผู้ฝึกแล้ว มิได้ทรงเดือดร้อน ฯ

        [๑๓๐] ในครั้งนั้นแล เทวดาอื่นอีก ได้เปล่งอุทานนี้ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า

    ท่านทั้งหลายจงดูสมาธิที่พระสมณโคดมให้เจริญดีแล้ว อนึ่ง จิตพระสมณโคดมให้พ้นดีแล้ว

    อนึ่ง จิตเป็นไปตามราคะ พระสมณโคดมไม่ให้น้อม ไปเฉพาะแล้ว

    อนึ่ง จิตเป็นไปตามโทสะ พระสมณโคดมไม่ให้กลับมาแล้ว

    อนึ่ง จิตพระสมณโคดม หาต้องตั้งใจข่ม ต้องคอยห้ามกันไม่

    บุคคลใดพึงสำคัญ พระสมณโคดมผู้เป็นบุรุษนาค เป็นบุรุษสีหะ เป็นบุรุษอาชาไนย เป็นบุรุษองอาจ เป็นบุรุษใฝ่ธุระ

    เป็นบุรุษฝึกแล้วเห็นปานนี้ว่าเป็นผู้อันตนพึงล่วงเกิน บุคคลนั้น จะเป็นอะไรนอกจากไม่มีตา ฯ

    เทวดานั้นครั้นกล่าวดังนี้แล้ว ได้กล่าวคาถาทั้งหลายนี้ว่า

                พราหมณ์ทั้งหลายมีเวทห้า มีตบะ ประพฤติอยู่ตั้งร้อยปี

                แต่จิตของพราหมณ์เหล่านั้นไม่พ้นแล้วโดยชอบ

                พราหมณ์ เหล่านั้นมีจิตเลว ย่อมไม่ลุถึงฝั่ง ฯ

                พราหมณ์เหล่านั้น เป็นผู้อันตัณหาครอบงำแล้ว

                เกี่ยวข้องด้วยพรตและศีล  ประพฤติตบะอันเศร้าหมองอยู่ตั้งร้อยปี

                แต่จิตของพราหมณ์เหล่านั้นไม่พ้นแล้วโดยชอบ

                พราหมณ์ เหล่านั้นมีจิตเลว ย่อมไม่ลุถึงฝั่ง ฯ

                ความฝึกฝน ย่อมไม่มีแก่บุคคลที่ใคร่มานะ

                ความรู้ย่อมไม่มีแก่บุคคลที่มีจิตไม่ตั้งมั่น

                บุคคลผู้เดียวเมื่ออยู่ในป่า ประมาทอยู่แล้ว

                ไม่พึงข้ามพ้นฝั่งแห่งแดนมัจจุได้ ฯ

                บุคคลละมานะแล้ว มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว มีจิตดี

                พ้นในธรรมทั้งปวงแล้ว ผู้เดียว อยู่ในป่า ไม่ประมาทแล้ว

                บุคคลนั้น พึงข้ามพ้นฝั่งแห่งแดนมัจจุได้ ฯ

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ