อุปัฏฐาน หรือ สติชัด

        อุปัฏฐาน หรือ สติชัด ฟังจากชื่อ ดูน่าจะเป็นของดี กล่าวคือ เข้าใจเป็นนัยๆว่า มีสติที่ดีแลเข้มแข็ง  แต่ความจริงแล้วจัดเป็นมิจฉาสติเป็นหนึ่งในวิปัสสนูปกิเลส สิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัว ทำให้รับธรรมไม่ได้ จึงทำให้เกิดปัญหาในการปฏิบัติ  ความหมายจึงหมายถึง การมีสติชัดเกินไป หรือ มีสติเกินความพอดี จนเป็นโทษ  ยิ่งผู้ที่ไม่รู้ไม่เข้าใจ ก็อาจคิดไปเองว่า โทษนี้คงไม่ร้ายแรง หรือแก้ไขได้ง่ายๆ  แต่ตามความเป็นจริงอย่างยิ่งนั้น แก้ไขได้ยากยิ่งเมื่อเป็นสังขารอันประกอบด้วยอวิชชาในปฏิจจสมุปบาทเสียแล้ว กล่าวคือ เกิดการกระทำขึ้นได้เองทั้งโดยรู้ตัวและไม่รู้ตัว  จึงต้องใช้ปัญญา ทำความเข้าใจให้แจ่มแจ้ง แล้วฝึกสติใหม่ในการแก้ไขเหตุ คือ สติที่ผิดพลาดหรือมิจฉาสตินั้นนั่นเอง

        การเกิดขึ้นของอุปัฏฐานหรือสติชัด  มักเกิดแต่การปฏิบัติเน้นหนักไปในการใช้สติ ไปในสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างยิ่งแต่ด้วยความไม่รู้ กล่าวคือ เมื่อปฏิบัติฝึกสติ ดังเช่น สติปัฏฐาน ๔ ก็ฝึกเน้นฝึกสติอย่างแน่วแน่  เมื่อสติอยู่กับสิ่งต่างๆได้ เช่น อยู่กับกายหรืออิริยาบถ เช่น เดิน นั่ง หยิบ ดื่ม ฯลฯ. กล่าวคือ ต่อเนื่องอยู่ในอิริยาบถอย่างแน่วแน่ได้เป็นอย่างดี แต่ทำแต่เยี่ยงนี้แต่อย่างเดียวไม่เจริญวิปัสสนาให้เกิดความรู้ความเข้าใจ  จนเชี่ยวชาญชำนาญยิ่งในสติที่ปฏิบัตินั้น เมื่อทำแล้ว สติอยู่ในอิริยาบถอย่างดีแล้ว ย่อมทำให้จิตไม่ส่งส่ายออกไปปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่าน จึงย่อมไม่เกิดการผัสสะ จึงย่อมไม่เกิดทุกขเวทนา ย่อมไม่เกิดทุกข์ เกิดความสงบ  เมื่อสงบย่อมเป็นสุข เมื่อเป็นสุขจิตย่อมตั้งมั่น(เป็นสมาธิอยู่ในที) ขยายความตามพระสูตร โดยไม่เข้าใจกระบวนธรรมที่เกิดขึ้นว่าเป็นไปดังที่กล่าวนี้  จึงไปยึดมั่นว่าทำให้ดับทุกข์เป็นสุขอย่างถูกต้องแนวทางแล้ว  และยิ่งด้วยความเข้าใจผิดจากการปรุงแต่งต่างๆนาๆ จึงยิ่งมุกระทำเป็นประจำสมํ่าเสมอ จึงยิ่งติดเพลินในความสงบจึงเป็นสุขนั้นโดยไม่รู้ตัว จึงยิ่งมุ่งกระทำแต่ฝ่ายเดียว จนเชี่ยวชาญชำนาญยิ่ง จนเป็นเหมือนบุคคลิกอย่างหนึ่งนั่นเอง กล่าวคือ เป็นสิ่งที่จิตสั่งให้ทำโดยอัตโนมัติ หรือทำโดยไม่ต้องตั้งใจหรือโดยไม่รู้สึกตัว เหมือนดั่งเมื่อมีแมลงมาไต่ ไรมาตอม  มือก็ยกขึ้นปัดเอง ฉันใดฉันนั้นแล  อาการที่เกิดขึ้นและเป็นไปดังนี้ จึงเป็นดังกล่าวไว้ใน ภูมิชสูตร ว่า

        [๘๓].....................เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นแหละ....ฯ

บุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง

บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง.........ฯลฯ

บุคคล รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น บ้าง

บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อัน เป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง.........ฯลฯ

บุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งมโนสังขารซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์อันเป็นภายใน เกิดขึ้นบ้าง

บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง.......ฯลฯ

        ดังนั้นเมื่อเกิดความสงบความสุข จิตย่อมตั้งมั่น ขยายความตามพระสูตร  สติเมื่อตั้งมั่นแน่วแน่อยู่กับอิริยาบถทั้งในขณะรู้ตัวและโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอๆหรือตลอดเวลา สิ่งที่เกิดร่วมขึ้นด้วย คือสมาธิหรือฌานนั่นเอง กล่าวคือ ดังที่กล่าวไว้แล้วในหัวข้อฌานสมาธิว่า สมาธิมีองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดคือ การมีจิตหรือสติแน่วแน่อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ยึดเป็นอารมณ์หรือวิตก  ดังนั้นเมื่อมีสติตั้งมั่นหรือจิตแน่วแน่อยู่แต่ในอิริยาบถหรือสิ่งใด จิตจึงมีอาการของสมาธิหรือฌานเกิดขึ้นอยู่ในที เกิดขึ้นในขณะที่อยู่ในการดำเนินชีวิตประจำวันนี่แหละ  ไม่ได้เกิดมาแต่ หรือมาจาก การนั่งปฏิบัติสมาธิตามแบบแผนเท่านั้น  สมาธิสามารถเกิดขึ้นได้ในขณะใดก็ได้ ดังเช่น สติในการทำงาน  เพียงแต่ความแรงเข้มเด่นชัดหรือความเร็วช้าแตกต่างกันไปบ้าง และขึ้นอยู่กับการฝึกการปฏิบัติที่สั่งสมนั่นเอง  เมื่อทั้งสติอันยังเป็นมิจฉาสติเมื่อร่วมด้วยสมาธิหรือฌานอันย่อมเป็นมิจฉาสมาธิด้วยนั่นเองอันย่อมเป็นไปตามปฏิจจสมุปบันธรรม จิตจึงยิ่งได้รับความสงบ ความสุขต่างๆเพิ่มขึ้นไปอีกด้วยอำนาจของฌานสมาธิ อันเกิดจากองค์ฌานต่างๆทั้ง ๕  จึงทำให้ไปหลงคิดหลงยึดไปว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ปฏิบัติมาถูกทางแล้ว น่าจะเป็นทางที่ถึงที่สุดได้  จึงย่อมมีความเพียรหรือปฏิบัติอย่างประจำสม่ำเสมอ จนเป็นสังขารในปฏิจสมุปบาท กล่าวคือ เป็นสังขารการกระทำต่างๆที่เกิดขึ้นจากการสั่งสม อบรม ประพฤติ ปฏิบัติ ทั้งโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี อันเนื่องมาจากความไม่รู้ไม่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งหรือก็คืออวิชชานั่นเอง

        เมื่อไม่สามารถตั้งอยู่ในสุขสงบได้ ด้วยอาการแปรปรวนอันใด ก็ย่อมเกิดทุกข์ขึ้น แล้วเกิดวิภวตัณหา ไม่อยากให้เกิดเป็นเช่นนั้น  จึงดำเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทในทันใด

ให้พึงละตัณหา ในความสุขสงบนั้นเสีย

สุขเวทนา  เป็นสุขเพราะตั้งอยู่  (แล้วมีตัณหา จึง)เป็นทุกข์เพราะแปรไป

(จูฬเวทัลลสูตร)

        เมื่อสั่งสมขึ้นเรื่อยๆ ด้วยทั้งอำนาจของสติและสมาธิร่วมอวิชชา  จิตจึงสำคัญอยู่แต่กาย หรือในสิ่งที่ยึดเป็นอารมณ์  ดังนั้นเมื่อกระทำอะไร แม้แต่การคิดที่จำเป็นในการดำเนินชีวิตในการทำงาน  จิตมักจะตัดกลับมาอยู่ที่มิจฉาสติที่ฝึกมาดีนั้น  เมื่อคิดหรือกระทำอะไรอยู่ก็จะกลับมายึดในสิ่งที่ยึดเป็นอารมณ์นั้น  กล่าวคือ จึงขาดสัมปชัญญะ กล่าวคือไม่มีสติในสิ่งอื่นๆเท่าที่ควร

        สิ่งที่เกิดขึ้นดังนี้  ไม่ใช่เฉพาะเกิดแต่กายเท่านั้น  แม้แต่เวทนา จิต หรือสุขในฌานก็เป็นเช่นกัน ความสำคัญอยู่ที่เป็นการทำโดยอวิชชาและขาดการใช้ปัญญาเพื่อให้เกิดนิพพิทา คือ สติเห็นในสิ่งเหล่านั้นก็จริงอยู่แต่ไม่ประกอบด้วยปัญญา  แต่ไม่พิจารณาหรือเข้าใจว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนั้นเป็นอะไร อะไรเป็นเหตุปัจจัย ฯ เช่น ทุกขเวทนา สุขเวทนา จิตปรุงแต่ง จิตหดหู่ ฯ  แต่เมื่อสังเกตุเห็นก็หยุดคิดหยุดนึกหรืออุเบกขาเสียดื้อๆ ด้วยอยากให้ทุกข์มันมันดับไปโดยเร็ว ไม่รู้ผิดถูกชั่วดีคุณโทษ  จึงไม่มีปัญญาหรือความรู้ความเข้าใจอะไรขึ้นเลย  อะไรเป็นเหตุ  อะไรเป็นปัจจัย  เกิดอย่างไร  กล่าวโดยรวมคือ ขาดการวิปัสสนาเจริญปัญญา ตลอดจนขาดการพิจารณาให้เกิดนิพพิทา  ทำแต่สติเสียฝ่ายเดียวจนเกินงาม

        เมื่อนำความเข้าใจนี้ไปพิจารณาในปฏิจจสมุปบาทธรรม ก็จะแลเห็นความยิ่งใหญ่ของ สังขารอันเกิดแต่อวิชชา ที่พึงเกิดขึ้นอยู่เสมอๆ อันเป็นไปในลักษณะข้างต้น กล่าวคือ เกิดขึ้นหรือกระทำ ทั้งโดยรู้ตัว และโดยไม่รู้สึกตัว ด้วยอวิชชา ดังพระสูตรข้างต้น  กล่าวคือ จึงเกิดสังขารการกระทำขึ้นตามความเคยชินทั้งทางกาย วาจา ใจ ตามที่ได้สั่งสม อบรม ประพฤติ ปฏิบัติมาด้วยอวิชชานั่นเอง

         ดังนั้นการปฏิบัติ จึงต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง จึงเป็นไปลักษณาการของการใช้ปัญญา อันคือ สัมมาทิฏฐิและสัมมาดำริ เป็นเครื่องชี้แนวทางแก่สติ สมาธิ ซึ่งจักเป็นปัจจัยเครื่องหนุนในการพิจารณาหรือโยนิโสมนสิการให้เกิดปัญญาระดับญาณหรือสัมมาญาณ  เพราะการปฏิบัติผิดด้วยขาดปัญญาในการพิจารณาไตร่ตรอง ก็ให้โทษ อุปมาดั่งจับอสรพิษ ที่อาจแว้งกัดให้โทษเอาได้  ดังความในพระสูตร

๒. อลคัททูปมสูตร

ว่าด้วยข้ออุปมาด้วยอสรพิษ

 

พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑๒

 คลิกขวาเมนู

บุรุษเปล่าเรียนธรรม

             [๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษเปล่า บางพวกในพระธรรมวินัยนี้

ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ เวยยากรณะ คาถา อุทาน อิติวุตตกะ ชาดก อัพภูตธรรม เวทัลละ

บุรุษเปล่าเหล่านั้น เล่าเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ไตร่ตรองเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วย ปัญญา

ธรรมเหล่านั้น ย่อมไม่ควรซึ่งการเพ่งแก่บุรุษเปล่าเหล่านั้น  ผู้ไม่ไตร่ตรองเนื้อความด้วย ปัญญา

บุรุษเปล่าเหล่านั้นเป็นผู้มีความข่มผู้อื่นเป็นอานิสงส์ และมีการเปลื้องเสียซึ่งความนินทาเป็นอานิสงส์ ย่อมเล่าเรียนธรรม

ก็กุลบุตรทั้งหลาย ย่อมเล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์อันใด

บุรุษเปล่าเหล่านั้น ย่อมไม่ได้เสวยประโยชน์นั้นแห่งธรรมนั้น

ธรรมเหล่านั้น อันบุรุษเปล่า เหล่านั้นเรียนไม่ดีแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน

ข้อนั้น เป็นเพราะอะไร เพราะธรรมทั้งหลายอันตนเรียนไม่ดีแล้ว.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน บุรุษผู้มีความต้องการด้วยงูพิษ เสาะหางูพิษ

เที่ยวแสวงหางูพิษ เขาพึงพบงูพิษตัวใหญ่ พึงจับงูพิษ นั้นที่ขนดหรือที่หาง

งูพิษนั้นพึงแว้งกัดเขาที่ข้อมือ ที่แขน หรือที่อวัยวะใหญ่น้อยแห่งใดแห่งหนึ่ง

ขาพึงถึงความตาย หรือความทุกข์ปางตาย มีการกัดนั้นเป็นเหตุ ข้อนั้นเป็นเหตุเพราะอะไร

เพราะงูพิษตนจับไม่ดีแล้ว แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกบุรุษเปล่า บางพวกในธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้นนั่นแล

ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ เคยยะ ... อัพภูตธรรม เวทัลละ

บุรุษเปล่าเหล่านั้น เล่าเรียนธรรมนั้นแล้ว ย่อมไม่ไตร่ตรองเนื้อความแห่งธรรมเหล่านั้นด้วยปัญญา

ธรรมเหล่านั้น ย่อมไม่ควรซึ่งการเพ่งแก่บุรุษเปล่าเหล่านั้น ผู้ไม่ไตร่ตรองเนื้อความด้วยปัญญา

บุรุษเปล่าเหล่านั้นเป็นผู้มีการข่มผู้อื่นเป็นอานิสงส์ และมีการเปลื้องเสียซึ่งความนินทาเป็นอานิสงส์ ย่อมเล่าเรียนธรรม

ก็กุลบุตรทั้งหลาย ย่อมเล่าเรียนธรรมเพื่อประโยชน์อันใด

บุรุษเปล่าเหล่านั้น ย่อมไม่ได้เสวยประโยชน์นั้นแห่งธรรมนั้น

ธรรมเหล่านั้น อันบุรุษเปล่าเหล่านั้นเรียนไม่ดีแล้ว

ย่อมเป็นไปเพื่อความไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน

ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุอะไร เพราะธรรมทั้งหลาย อันตนเรียนไม่ดีแล้ว.

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ