พิจารณาในอนิจจลักขณะ ทุกขลักษณะ และอนิจจลักษณะ ของสังขารต่างๆรวมทั้งขันธ์ ๕ |
|
รวมทั้งขันธ์ ๕ ที่คิดว่าเป็นของเรา อันเป็นสังขารอย่างหนึ่งเช่นกัน
เพื่อใช้เป็นเครื่องอยู่ของจิต
พิจารณากับลักษณะต่างๆของสังขาร
เช่น ในการพิจารณารูปขันธ์ จะเห็นได้ว่า รูปขันธ์ร่างกายนั้น ไม่เที่ยง เพราะ
1 ร่างกายนี้เกิดแต่เหตุปัจจัย จึงมีการเกิด มีการดับสลายคือตายไป อีกทั้งมีการเกิดดับๆของส่วนย่อยๆอยู่ภายในตลอดเวลาอีกด้วย
2 ร่างกายนี้ เป็นของแปรปรวน มีการเปลี่ยนแปลงแปรสภาพ อยู่เรื่อยๆตลอดเวลา ภายในภายนอกร่างกายนี้ ตั้งแต่ทารก..เด็ก...วัยรุ่น...จนโต...และแก่ชรา...จนดับไปเป็นที่สุด เซลล์ต่างๆเช่นผิวหนัง ฯ. ในร่างกายก็มีการหลุดร่วง เกิดใหม่ แปรปรวนอยู่ตลอดเวลา
3 ร่างกายนี้ เป็นของชั่วคราว อยู่ได้ชั่วขณะๆชีวิตหนึ่ง
เมื่อร่างกายนี้ไม่เที่ยง จึงย่อมเป็นทุกข์ในที่สุด เพราะ
1 มีการเกิด การดับและอีกทั้งความตาย บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา เช่นการเกิด ดับต่างๆในร่างกายที่มีอยู่ตลอดเวลา เช่นการหลุดร่วงดับไปของผม ขน หนัง ร่างกายส่วนต่างๆ อยู่ตลอดเวลา จนถึงต้องตายไปเป็นที่สุด
2 ร่างกายเมื่อเจ็บป่วย ก็ทำให้ทนอยู่ด้วยได้ยาก หรือเวลาร่างกายดีก็ไม่สามารถคงทนอยู่ในสภาพนี้ได้ตลอดไป
3 เป็นที่ตั้งของความทุกข์ คือ ทั้งทุกข์จากการเกิด จากการแก่ จากการเจ็บป่วย จากการตาย อีกทั้งการต้องดูแล ทั้งรักษา ทั้งทำความสะอาด หาอาหาร อีกทั้งต้องคอยดูแลให้ดูดีอีกเสียด้วย
อีกทั้งรูปขันธ์ย่อมเป็นอนัตตาโดยธรรมหรือธรรมชาติ เพราะ
1 เป็นของสูญ เพราะไม่มีตัวตนของตนจริง ไม่มีอยู่โดยลำพัง หรือไม่เป็นของชิ้นๆเดียวกันอย่างแท้จริง ตัวตนร่างกายนี้ เป็นเพียงการประกอบกันขึ้นชั่วคราวหรือชั่วขณะหนึ่งๆของธาตุทั้ง ๔ อันมี ดิน น้ำ ลม ไฟ, ดินคือของข้นแข็ง หรือพิจารณาว่ามาจากธาตุต่างๆทั้ง 108 ธาตุ มาชุมนุมปรุงแต่งกันก็ได้ ส่วนนํ้านั้นก็ของเหลวสารพัดในร่างกาย ทั้งน้ำดี น้ำย่อย ฯ ส่วนลมนั้นก็ลมหายใจเข้าออกอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งลมภายในร่างกายต่างๆ ฯ. ส่วนไฟก็คือการสันดาปต่างๆร่วมกับ ดิน น้ำ ลมในร่างกาย จึงให้ความอบอุ่นและพลังงานต่างๆแก่ร่างกาย เมื่อธาตุทั้ง ๔ มาประกอบกันลงตัวจึงเกิดขึ้นเป็นการชั่วขณะ ธาตุทั้ง ๔ หรือเหตุย่อยๆต่างๆจำนวนเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น เป็นแสน เป็นล้านๆที่มาประชุมกันนั้น ย่อมล้วนว่างเปล่าจากความเป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
2 เมื่อไม่มีตัวตนจริง จึงไม่มีใครครอบครองเป็นเจ้าของมันได้อย่างแท้จริง เพราะเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงขึ้นและแปรปรวนเป็นไปตามเหตุต่างๆอันแสนหลากหลายที่มาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน แท้จริงจึงไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาตัวตนเรา
3 เมื่อไม่สามารถครอบครองได้ จึงย่อมไม่อยู่ในอำนาจของเรา หรือใครๆ เช่นอย่าเกิด อย่าแก่ อย่าเจ็บ อย่าตาย ขอให้สวย ขอให้แข็งแรง ฯ.
4 เป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของสังขารทั้งปวง(สังขตธรรม) คือ สังขารทั้งปวงล้วนสิ้นเกิดแต่เหตุปัจจัย แท้จริงจึงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอันหลากหลายดังกล่าวนั่นเอง ไม่มีเกิดโดยลำพัง ล้วนเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง
พิจารณาว่ามีรูปขันธ์ของผู้ใดบ้างที่ไม่เป็นไปดั่งนี้
พิจาณาเช่นตัวอย่างอย่างนี้เป็นเครื่องอยู่ได้
เวทนาขันธ์ นั้นไม่เที่ยง เพราะ
1 เวทนามีการเกิด การดับ อยู่ตลอดเวลา เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เกิดดับๆ เป็นสุขเวทนาบ้าง เป็นทุกขเวทนาบ้าง เป็นอทุกขมสุขเวทนาบ้าง
2 เวทนามีการแปรปรวน เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอๆ เป็นสุขเวทนาบ้าง เป็นทุกขเวทนาบ้าง เป็นอทุกขมสุขเวทนาบ้าง
3 เวทนาจึงเป็นของชั่วคราว ตั้งอยู่ได้ชั่วขณะๆหนึ่ง
เวทนาขันธ์ เมื่อไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ในที่สุด
1 เวทนามีการเกิด การดับ บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา เช่น เป็นสุขเวทนาแล้วก็ต้องดับไป เมื่อเกิดทุกขเวทนาก็เป็นทุกข์
2 เมื่อเป็นทุกขเวทนาก็ทนอยู่ด้วยได้ยาก เมื่อเป็นสุขเวทนาก็ไม่สามารถคงสภาพทนอยู่ได้ เมื่อเกิดอทุกขสุขก็ประมาทแปรปรวนไปเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาในที่สุด
3 เป็นที่ตั้งของความทุกข์ในที่สุด เกิดทุกขเวทนาก็เป็นทุกข์ เกิดสุขเวทนาก็ทนอยู่ไม่ได้ดับไปจนเป็นทุกข์ในที่สุด ฯ.
เวทนาขันธ์ ย่อมเป็นอนัตตา
1 เป็นของสูญ เพราะไม่มีตัวตนของตนจริง อีกทั้งเป็นนามธรรม ไม่มีหรือไม่เกิดขึ้นอยู่โดยลำพัง หรือไม่เป็นของชิ้นๆเดียวกันอย่างแท้จริง เวทนาจะเกิดขึ้นมาได้ก็จากเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยกัน จึงเกิดขึ้นมาชั่วขณะๆหนึ่งได้ คือเกิดมาจากการผัสสะกันของอายตนะต่างๆนั่นเอง เช่น เกิดจากความคิด กระทบ ใจ เกิดมโนวิญญาณ...จนเกิดเวทนาต่างๆในที่สุด หาตัวหาตนย่อมไม่ได้ เกิดแต่เหตุปัจจัยอันหลากหลายดังกล่าว
2 เมื่อไม่มีตัวตน จึงย่อมเข้าไปครอบครองเป็นเจ้าของไม่ได้ เพราะเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงขึ้นและแปรปรวนเป็นไปตามเหตุต่างๆอันแสนหลากหลายที่มาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน แท้จริงจึงไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาตัวตนเรา
3 เมื่อไม่สามารถครอบครองเป็นเจ้าของได้ จึงย่อมไม่อยู่ในอำนาจของเรา หรือใครๆ เช่น จงเกิดแต่สุขเวทนาเถิด อย่าได้เกิดทุกขเวทนาเลย ย่อมไม่ได้ตามปรารถนา ฯ
4 เป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของสังขารทั้งปวง(สังขตธรรม) คือ สังขารทั้งปวงล้วนสิ้นเกิดแต่เหตุปัจจัย แท้จริงจึงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอันหลากหลายดังกล่าวนั่นเอง ไม่มีเกิดโดยลำพัง ล้วนเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง
พิจารณาว่ามีเวทนาขันธ์ของผู้ใดบ้างที่ไม่เป็นไปดั่งนี้
พิจาณาเช่นตัวอย่างอย่างนี้เป็นเครื่องอยู่ได้
สัญญาขันธ์ ความจำได้หมายรู้ ไม่เที่ยงเพราะ
1 สัญญาขันธ์ย่อมมีการเกิด มีการดับ เกิดดับๆ อยู่ตลอดเวลา
2 สัญญาขันธ์ เป็นของแปรปรวนมีการเปลี่ยนแปลงแปรสภาพอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวเป็นกุศลสัญญา เดี๋ยวเป็นอกุศลสัญญา เคยชอบก็เปลี่ยนเป็นชัง อยากจำแต่กุศลสัญญากลับลืม อยากลืมอกุศลสัญญากลับจำ
3 เป็นของชั่วคราว ตั้งอยู่ได้เป็นชั่วขณะๆ
สัญญาขันธ์ เมื่อไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์
1 การเกิด ดับ ย่อมบีบคั้น เมื่อเกิดกุศลสัญญาก็ย่อมถูกบีบคั้นจนดับไป เกิดอกุศลสัญญาก็ย่อมเป็นทุกข์
2 เมื่อเป็นอกุศลสัญญาเกิดขึ้นก็ย่อมทนอยู่ด้วยได้ยาก เมื่อเกิดกุศลสัญญาก็คงสภาพทนอยู่ไม่ได้
3 จึงเป็นที่ตั้งของความทุกข์ เมื่อเป็นกุศลสัญญาก็ต้องดับไป เมื่อเป็นอกุศลสัญญาก็เป็นทุกข์ คือ ที่อยากจะจำกลับลืม ที่อยากจะลืมกลับจำ
สัญญาขันธ์ ย่อมเป็นอนัตตา
1 เป็นของสูญ เพราะไม่มีตัวตนของตนจริง ทั้งเป็นนามธรรม ไม่มีหรือไม่เกิดขึ้นอยู่โดยลำพัง หรือไม่เป็นของชิ้นๆเดียวกันอย่างแท้จริง สัญญาขันธ์เกิดแต่เหตุปัจจัย ได้จากการสั่งสมอบรมมาแต่อดีต เกิดมาแต่การผัสสะต่างๆอันมากหลายในอดีตสั่งสมเก็บจำไว้ ไม่ได้เกิดโดยลำพัง ทั้งยังต้องอาศัยขันธ์อื่นๆในการเก็บจำอีกด้วยเช่นสมองในรูปขันธ์
2 เมื่อไม่มีตัวตน จึงเข้าไปครอบครองเป็นเจ้าของไม่ได้ จึงไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาตัวตนเรา
3 เมื่อไม่สามารถครอบครองเป็นเจ้าของได้ จึงย่อมไม่อยู่ในอำนาจของเรา หรือใครๆ เช่น อยากจะลืมกลับจำ อยากจะจำกลับลืม
4 เป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของสังขารทั้งปวง(สังขตธรรม) คือ สังขารทั้งปวงล้วนสิ้นเกิดแต่เหตุปัจจัย แท้จริงจึงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอันหลากหลายดังกล่าวนั่นเอง ไม่มีเกิดโดยลำพัง ล้วนเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง
พิจารณาว่ามีสัญญาขันธ์ของผู้ใดบ้างที่ไม่เป็นไปดั่งนี้
พิจาณาเช่นตัวอย่างอย่างนี้เป็นเครื่องอยู่ได้
สังขารขันธ์ สภาพของใจในช่วงระยะหนึ่ง หรืออารมณ์ที่หมายถึงอาการต่างๆของจิตในขณะช่วงระยะหนึ่งคือช่วงเวลาหนึ่ง เช่นอารมณ์โลภ โกรธ หลง กลัว กังวล หดหู่ ฯ. ที่ไปปรุงแต่งจิตให้เกิดสัญเจตนาหรือความจงใจความคิดอ่านให้เกิดการกระทำต่างๆทางกาย วาจา และใจ ทั้งดีและชั่ว และกลางๆโดยทั่วไปในการดำรงชีวิตอีกด้วย ย่อมไม่เที่ยงเพราะ
1 สังขารขันธ์นี้ ย่อมมีการเกิด การดับสลายไปอยู่ตลอดเรื่อยๆ เกิดดับๆ เกิดโทสะแล้วดับไป เกิดโมหะแล้วดับไป เกิดหดหู่แล้วก็ดับไป ฯ
2 มีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ เป็นสุขใจบ้าง เป็นทุกข์ใจบ้าง เป็นโทสะบ้าง เป็นโมหะบ้าง เป็นหดหู่บ้าง เป็นฟุ้งซ่านบ้าง เป็นสมาธิบ้าง
3 เป็นของชั่วคราว เป็นชั่วขณะๆ ไม่ตั้งอยู่ตลอดไปได้
สังขารขันธ์ ไม่เที่ยง จึงย่อมเป็นทุกข์ เพราะ
1 การเกิด การดับ บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อทุกข์ใจ,หดหู่ ฯ เกิดขึ้นก็เป็นทุกข์ เมื่อมีความสุข ฯ ก็ถูกบีบคั้นให้ดับไป
2 เมื่อเป็นทุกข์,หดหู่ หรืออกุศลสังขารเกิดขึ้น ก็ทนอยู่ด้วยได้ยาก หรือเมื่อเป็นสุขหรือเกิดกุศลสังขารขึ้นก็คงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องดับไป
3 จึงเป็นที่ตั้งของทุกข์ในที่สุด เกิดความสุขใจก็ต้องดับไปเป็นทุกข์ เมื่อเกิดความทุกข์ใจก็เป็นทุกข์ แม้ดับไปก็แปรปรวนเป็นทุกข์ในที่สุด
สังขารขันธ์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวของตนจริง เพราะ
1 เป็นของสูญ เพราะไม่มีตัวตนของตนจริง ทั้งเป็นนามธรรม ไม่สามารถเกิดหรือไม่มีอยู่โดยลำพัง หรือไม่เป็นของชิ้นๆเดียวกันหรือไม่เป็นมวลรวมเดียวกันอย่างแท้จริง เป็นของที่ประชุมกันเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งๆหรือชั่วคราว เกิดมาจากการผัสสะของเหตุปัจจัยต่างๆมาปรุงแต่งกัน อาทิเช่น อายตนะทั้งหลายต่างๆมาผัสสะกัน..ย่อมเกิดวิญญาณ...ย่อมเกิดเวทนาต่างๆ...ย่อมเกิดสัญญา...จนเกิดสังขารขันธ์ต่างๆขึ้น จึงไม่ได้เกิดโดยลำพัง ทั้งยังต้องอาศัยขันธ์ต่างๆเป็นเหตุในการเกิดอีกด้วย
2 เมื่อไม่มีตัวตน จึงเข้าไปครอบครองเป็นเจ้าของไม่ได้ หรือแท้จริงแล้วขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย จึงไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาตัวตนเรา
3 เมื่อไม่สามารถครอบครองเป็นเจ้าของได้ จึงย่อมไม่อยู่ในอำนาจของเรา หรือใครๆ, จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้ทุกข์เลย ย่อมไม่ได้ตามปรารถนา, จงอย่าหดหู่เลย จงอย่าฟุ้งซ่านเลย ย่อมไม่ได้ตามปรารถนา เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัย
4 เป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของสังขารทั้งปวง(สังขตธรรม) คือ สังขารทั้งปวงล้วนสิ้นเกิดแต่เหตุปัจจัย แท้จริงจึงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอันหลากหลายดังกล่าวนั่นเอง ไม่มีเกิดโดยลำพัง ล้วนเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง
พิจารณาว่ามีสังขารขันธ์ของผู้ใดบ้างที่ไม่เป็นไปดั่งนี้
วิญญาณขันธ์ ความรู้แจ้งในสิ่งที่กระทบ หรือระบบประสาทสัมผัส ไม่เที่ยง
1 วิญญาณ์นี้ ย่อมมีการเกิด การดับสลายไปอยู่ตลอดเรื่อยๆ เกิดดับๆ ตากระทบรูป จักขุวิญญาณก็เกิด เมื่อไม่กระทบก็ดับ หูกระทบเสียง โสตะวิญญาณย่อมเกิด เมื่อไม่กระทบก็ดับไป จึงมีการเกิดดับๆ เช่นนี้อยู่ตลอดเวลา
2 มีการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงอยู่เรื่อยๆ เกิดดับจักขุวิญญาณบ้าง โสตะวิญญาณบ้าง ชิวหาวิญญาณบ้าง มโนวิญญาณบ้าง ฯ.
3 เป็นของชั่วคราว เป็นชั่วขณะๆ ไม่ตั้งอยู่ตลอดไปได้
วิญญาณขันธ์ ไม่เที่ยง จึงย่อมเป็นทุกข์ เพราะ
1 การเกิด การดับ บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
2 ทนอยู่ด้วยได้ยากเมื่อเกิดอกุศลวิญญาณ หรือเมื่อเป็นกุศลวิญญาณก็คงทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ ต้องดับไป
3 จึงเป็นที่ตั้งของทุกข์ในที่สุด เกิดอกุศลวิญญาณก็พาไปให้เป็นทุกข์ เกิดกุศลวิญญาณก็ต้งดับไปแล้วเป็นทุกข์ในที่สุด
วิญญาณขันธ์ เป็นอนัตตา ไม่มีตัวของตนจริง เพราะ
1 เป็นของสูญ เพราะไม่มีตัวตนของตนจริง ทั้งเป็นนามธรรม ไม่สามารถเกิดหรือไม่มีอยู่โดยลำพัง หรือไม่เป็นของชิ้นๆเดียวกันหรือไม่เป็นมวลรวมเดียวกันอย่างแท้จริง เป็นของที่ประชุมกันเกิดขึ้นชั่วขณะหนึ่งๆหรือชั่วคราว เกิดมาจากการกระทบของเหตุปัจจัยต่างๆมาปรุงแต่งกัน คือนามรูปเป็นเหตุจึงมีวิญญาณ
2 เมื่อไม่มีตัวตน จึงเข้าไปครอบครองเป็นเจ้าของไม่ได้ หรือแท้จริงแล้วขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย จึงไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาตัวตนเรา
3 เมื่อไม่สามารถครอบครองเป็นเจ้าของได้ จึงย่อมไม่อยู่ในอำนาจของเรา หรือใครๆ, ย่อมไม่ได้ตามปรารถนา เพราะเป็นไปตามเหตุปัจจัย
4 เป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของสังขารทั้งปวง(สังขตธรรม) คือ สังขารทั้งปวงล้วนสิ้นเกิดแต่เหตุปัจจัย แท้จริงจึงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอันหลากหลายดังกล่าวนั่นเอง ไม่มีเกิดโดยลำพัง ล้วนเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง
อีกทั้งสังขารอื่นๆทั้งปวง ก็ล้วนเป็นไปในลักษณาการเช่นนี้เช่นกัน
โลก เที่ยงหรือไม่เที่ยง
ชีวิตเที่ยงหรือไม่เที่ยง
มีอะไรที่เที่ยงบ้าง