แสดงตําแหน่ง ที่ดีที่สุด ในการดับทุกข์ และ แสดงตําแหน่ง ที่เหตุปัจจัยภายนอก (อายตนะภายนอก) เข้ากระทบโดยตรง |
|
เลื่อนลง
|
สัญญาหมายรู้
สังขารขันธ์(คิด) [หรือทางกาย วาจา ใจ อันเป็นขันธ์๕ สภาวะธรรมชาติ] แล้วถืออุเบกขา |
|
เนื่องจากยังไม่มีวิชชาบริบูรณ์ ดังนั้นอาสวะกิเลสจึงเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันกับอวิชชา จึงยังเป็นปัจจัยให้สังขารที่สั่งสมไว้ที่ก่อให้เป็นทุกข์ได้อยู่ อันย่อมเกิดขึ้นมาเป็นธรรมดา แล้วดำเนินไปตามองค์ธรรมต่างๆในวงจรปฏิจจสมุปบาทจนถึงเวทนา แล้วมีสติอันได้ฝึกปรือไว้แล้วระลึกรู้เท่าทันเวทนานั้น วงจรของทุกข์จึงถูกทำลายลงชั่วขณะ แล้วเกิดปัญญาที่ทำงานร่วมกับสัญญาหมายรู้ จึงจัดการต่อปัญหาหรือดับทุกข์เหล่านั้น เกิดเป็นสังขารขันธ์อันไม่เป็นทุกข์ เป็นขันธ์ของชีวิต
สติระลึกรู้อะไร ปัญญาทำหน้าที่อย่างไร
สติระลึกรู้ ในกาย ในเวทนา ในจิต ในธรรม นั่นเอง อันล้วนมีคุณประโยชน์ในการดับทุกข์ สติระลึกรู้เท่าทันในธรรม(สิ่ง)ใดก่อน ก็ใช้ปัญญาในธรรมนั้นๆ พึงจดจำไว้อย่างหนึ่งว่า สติมีหน้าที่สำคัญที่สุดก็เพื่อระลึกอย่างเท่าทันในเวทนาและจิตหรือจิตสังขารเป็นจุดประสงค์สำคัญสูงสุด ถ้าไม่เท่าทันในเวทนาแล้ว จึงพึงให้ระลึกอย่างเท่าทันในจิต หรือจิตสังขารนั่นเอง เช่น จิตมีโทสะ จิตมีโมหะ จิตมีราคะ จิตคิดฟุ้งซ่าน จิตคิดหดหู่ จิตคิดปรุงแต่งต่างๆ หรือ(จิต)สังขารขันธ์ความคิดนั่นเอง อันเป็นผลที่เกิดขึ้นต่อเนื่องมาจากเวทนานั่นเอง เพราะสังขารหรือธรรมารมณ์บางอย่างเห็นเวทนาอันแผ่วเบาเคยชินเช่นอทุกขมสุขได้ไม่ชัดเจนเหมือนสังขารจิตเช่นความคิดนั่นเอง ดังนั้นจึงเอื้ออำนวยประโยชน์ต่อกันและกัน กล่าวคือเมื่อสติไม่เท่าทันเวทนาแล้วย่อมต้องเกิดจิตสังขารขึ้นเป็นธรรมดา ก็รู้เท่าทันในในจิตสังขารนั้นแทน ดังนั้นการฝึกสติและอุบายวิธีทั้งหลายทั้งปวงเป็นร้อยเป็นพันทุกวิธี แม้ในกาย เวทนา จิต ธรรม ตามที่กล่าวมาก็เช่นกัน ก็มีความเนื่องสัมพันธ์กันในที่สุดเพื่อสรุปลงมาที่จุดประสงค์สูงสุดเดียวนี้เท่านั้นจริงๆ, เมื่อสติระลึกเท่าทันเวทนาหรือจิตได้แล้ว ปัญญาจึงทำหน้าที่จัดการต่อไป ดังเช่น นิพพิทาญาณ ปัญญาที่รู้เข้าใจตามความเป็นจริงจึงยังให้เกิดความหน่ายคลายความกำหนัด จึงไม่ไปยึดไปอยากอันเกิดขึ้นจากการไปรู้ตามความเป็นจริงที่เป็นไปของธรรมนั้นๆ ทุกข์จึงจางคลายหรือดับไป, เช่น ปฏิจจสมุปบาท ปัญญารู้เหตุแห่งทุกข์อย่างแจ่มแจ้งจึงดับเหตุ ขันธ์๕ ปัญญารู้เข้าใจสภาวะธรรมของชีวิตอย่างแจ่มแจ้ง นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ ปัญญาที่รู้เข้าใจว่านามและรูปว่าล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย ทุกข์จึงจางคลายหรือดับไป, ปัญญาที่เห็นพระไตรลักษณ์(สัมมสนญาณ) ทุกข์จึงจางคลายหรือดับไป เป็นต้น. ปัญญาจึงมีหน้าที่จัดการดับทุกข์โดยตรง แต่ตามความเป็นจริงต้องใช้ทั้ง สัมมาสติ สัมมาสมาธิ(มีสติอย่างแน่วแน่ ที่หมายถึง อย่างต่อเนื่อง) และสัมมาปัญญา แต่ทั้งสัมมาสติและสัมมาสมาธิที่หมายถึงอย่างถูกต้องดีงามนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต้องเกิดแต่สัมมาปัญญาหรือสัมมาญาณเป็นเบื้องต้นก่อนล้วนสิ้น และต้องเป็นไปอย่างถูกต้อง จึงกล่าวว่า พ้นทุกข์ได้ด้วยปัญญา การมีสติระลึกรู้แต่ฝ่ายเดียวโดยขาดปัญญาก็ไม่สามารถดับทุกข์ได้ยกเว้นในลักษณะของการเกิดอทุกขมสุขหรือเวทนาที่ไม่รุนแรง จึงเกิดการหลงว่าปฏิบัติดีถูกต้องแค่สติก็พอเพียง
สติ สมาธิและปัญญาต้องทำงานร่วมกัน กล่าวคือต้องมีสติระลึกรู้เท่าทันเวทนาที่เกิดขึ้นอยู่อย่างสมํ่าเสมอหรืออย่างต่อเนื่อง ปัญญาซึ่งชี้ทางให้สติ,สมาธิแล้วยังมีหน้าที่ดับทุกข์หรือจัดการต่อปัญหาที่เกิดขึ้น ดังนั้นทั้ง๓ ต่างจำเป็นและต้องทำงานร่วมกันจึงสัมฤทธิ์ผลได้อย่างดี เพราะถ้าไม่มีสติเสียแล้วย่อมไม่เห็นเวทนาหรือจิต[ จิตตานุปัสสนา-ในภาพแสดงโดยสังขารขันธ์(คิด) ] ที่เกิดขึ้น ปัญญาก็ย่อมไม่สามารถทำงานได้เต็มกำลังเช่นกัน ด้วยเหตุดังนี้ การดับสนิทแห่งทุกข์จึงต้องพร้อมทั้งสติสมาธิปัญญาอย่างบริบูรณ์
การมีสติเห็นเวทนาก็คือเวทนานุปัสสนา การมีสติเห็นจิตก็คือจิตตานุปัสสนา หมายถึง มีสติเห็นที่หมายถึงระลึกรู้ในเวทนา หรือจิต ก็ได้ต่างล้วนถูกต้องดีงาม เพราะบางเหตุบางปัจจัยเห็นเวทนาได้ชัดเจนกว่า ในบางเหตุบางปัจจัยก็เห็น(ระลึกรู้)จิตได้ชัดเจนกว่า ดังเช่น ถ้าเวทนานั้นเป็นอทุกขมสุขก็จะสังเกตุเวทนานั้นไม่ชัดเจน แต่จะเห็นจิตสังขารขันธ์(คิด)ที่เกิดขึ้นชัดเจนง่ายกว่านั่นเอง เห็นคือมีสติรู้เท่าทันอันหนึ่งอันใดก็ได้ เพราะล้วนมีประโยชน์ที่เอื้ออำนวยต่อกัน แล้วล้วนถืออุเบกขา เป็นกลางวางที่เฉย ไม่เอนเอียงแทรกแซงด้วยถ้อยคิด กริยาจิตใดๆไปทั้งในดีหรือชั่ว
การมีสติเห็นกาย ก็เพื่อให้เกิดนิพพิทาญาณคลายความยึดในกาย ทั้งยังเป็นการฝึกสติควบคู่ไปด้วยให้เห็นสิ่งที่เป็นรูปธรรมอันคือกายซึ่งเป็นของหยาบจึงง่ายต่อการพิจารณากว่าเสียก่อน จึงฝึกมีสติระลึกรู้เท่าทันในเวทนาอันเป็นนามธรรมเป็นของละเอียดอ่อนสัมผัสรู้ได้ด้วยใจ และสติรู้เท่าทันจิตก็เพราะบางเหตุปัจจัยเห็นจิตได้ชัดเจนกว่าเวทนาดังกล่าวข้างต้นนั่นเอง สติระลึกรู้เท่าทันเวทนาหรือจิตสังขารจึงเอื้ออำนวยกันอยู่ในที และการมีสติเห็นธรรมก็เพื่อให้เกิดปัญญาญาณนั่นเอง การเห็นทั้ง๔ อันหมายถึงมีสติระลึกรู้เท่าทันในทั้ง๔ อันใดอันหนึ่งก็ได้ในการดำเนินชีวิตจึงล้วนต่างถูกต้องดีงามทั้งสิ้น เป็นการสั่งสมสังขารใหม่อันสวนทวนกระแสโลก แต่ถูกต้องดีงามเพื่อการดับไปแห่งอุปาทานทุกข์ทั้งหลายทั้งปวง
เมื่อมีสติแก่กล้าขึ้นจากการสั่งสมอย่างถูกต้องดีงามเสียก่อน สติจักเริ่มเท่าทันในองค์ธรรมสังขาร อาสวะกิเลสย่อมเปลี่ยนไปเป็นสัญญา ที่จำเข้าใจตามจริงไม่แฝงกิเลส กระบวนจิตก็ดำเนินไปในรูปของขันธ์ ๕ เวทนาก็ยังคงเกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรมตามเป็นจริง แต่เป็นเวทนาที่ไม่แฝงอามิสอีกต่อไป
|