แสดงเวทนา ตําแหน่งที่ควรรู้เท่าทัน ในการดับทุกข์ อีกทั้งที่องค์ ตัณหา ชาติ และชรา การดับไปนั้น หมายถึง ไม่เอา ไม่ยึดถือ ที่หมายถึง สติระลึกรู้เท่าทัน พร้อมทั้งปัญญา จึงไม่ยึดมั่น หมายมั่น คือปล่อยวาง หรืออุเบกขา คือสิ่งที่เรียกว่าดับไป ทำให้แม้ยังคงเกิดขึ้นตาม สภาวธรรม(ธรรมชาติ)แต่ไม่ไปเป็นเหตุปัจจัยให้ วงจรเกิดการดำเนินสืบเนื่องต่อไปจนเป้นทุกข์ นี้คือการดับไปที่แท้จริงถูกต้อง
|
สัญญาหมายรู้ สังขารขันธ์ [อันเป็นเพียงขันธ์๕ สภาวธรรมชาติ] แล้วถืออุเบกขา |
ขึ้นมาโดยธรรมชาติได้ อีกทั้งกิเลสจร อันมี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อีกทั้งธรรมารมณ์ ที่จรมากระทบ เป็นเหตุปัจจัยจึงมี สังขาร สิ่งปรุงแต่ง อันย่อมเป็นสังขารกิเลส เพราะสังขารมีจึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมี วิญญาณ หรือจิตหนึ่งขึ้นรับรู้ในสังขารนั้น เพราะวิญญาณมีจึงเป็นเหตุปัจจัยให้ นาม-รูป หรือชีวิตครบองค์ถูกเร้าตื่นตัวทำงาน จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ อายตนะ ทั้งหลาย ตื่นตัวทำงานต่างๆตามหน้าที่ของตน จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ครบองค์ ของการผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมี เวทนา........
|
เราต้องปฏิบัติให้เป็นดังนี้ จนเป็นดังเช่นสังขารในปฏิจจสมุปบาท แต่มิได้เกิดแต่อวิชชา
แต่ในขั้นปฏิบัติ เราต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามสภาวะหรือตําแหน่งอันเป็นเหตุปัจจัย
ตามสติที่รู้เท่าทันนั้นเป็นหลัก อันไม่ใช่ตําแหน่งเวทนาในองค์ธรรมนี้เสมอไป
เช่น สติอาจรู้เท่าทันที่ตัณหา, หรือสติรู้เท่าทันในเวทนูปาทานขันธ์ และสังขารูปาทานขันธ์(คิด) ในองค์ธรรมชรา ฯ.
ที่หมุนเวียนเป็นวงจรย่อยระลอกแล้วระลอกเล่า
ภาพขยายในชรา ล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ เพราะเกิดจากสังขารูปาทานขันธ์ในชาติ อันถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว |
ตําแหน่งที่ควรรู้เท่าทันในการดับทุกข์ในวงจรปฏิจจสมุปบาท คือที่เวทนาในวงจรนี้ เมื่อกระบวนจิตดําเนินมาถึงเวทนาอันเป็นไปตามสภาวะธรรมชาติ แล้วมีสติรู้เท่าทันและเข้าใจในธรรม วงจรจะถูกตัดขาดที่นี่ แล้วเกิดเป็นกระบวนการของขันธ์ต่างๆอันเป็นธรรมชาติที่ไม่เป็นทุกข์สืบเนื่องต่อไป คือเกิดสัญญาหมายรู้ตามที่รู้โดยไม่ถูกครอบงําด้วยอํานาจของอุปาทานคือไม่ไปหมายรู้ตามความพึงพอใจของตนที่แอบแฝงเป็นใหญ่ แล้วเกิดสังขารขันธ์ต่างๆเช่นทางใจ ก็เป็นความคิดนึกมโนกรรมอันเป็นปกติธรรมชาติของผู้มีชีวิต แล้วถืออุเบกขาเป็นกลาง วางทีเฉยต่อเวทนาหรือจิตสังขาร(คิดคือมโนกรรม)ที่เกิดขึ้นนั้นอย่างมีสติคือไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซงหรือไม่ปรุงแต่งทั้งในด้านกุศลและอกุศล หรือในด้านดีและด้านชั่ว(ร้าย) เช่นเราถูก หรือเขาผิด,เราดี หรือเขาชั่ว ฯ. อันต่างล้วนเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาทั้งสิ้น อันก่อทุกข์ขึ้นได้อีก เมื่อรู้เข้าใจแล้ว ต้องถืออุเบกขา วางเฉยโดยการไม่คิดนึกปรุงแต่งต่อจากสติที่รู้เท่าทันแล้ว เพราะเป็นอุบายวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเวทนาของคิดนึกปรุงแต่งอันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้นมาได้, เพราะเวทนาเป็นกระบวนการรับรู้ความรู้สึกตามธรรมชาติของชีวิตเป็นสภาวะธรรม ซึ่งเมื่อเกิดการกระทบผัสสะกับรูป เสียง กลิ่น ฯ.ย่อมเป็นไปอย่างนั้นเอง อันทําการหยุดหรือดับจริงๆโดยตรงไม่ได้, ส่วนคิดนึกปรุงแต่งนั้นเป็นสังขารขันธ์อันเกิดจากเจตนาของตัวตนเอง ถึงแม้ว่าจะหยุดการคิดนึกปรุงแต่งได้ยากแสนยากก็จริงอยู่ แต่ก็สามารถฝึกฝนอบรมได้ในที่สุด.
ลูกศรสีแดง
ที่แสดงในวงจร
คือกระบวนการ การเกิดขึ้นของความคิดปรุงแต่งอันมักก่อให้เป็นทุกข์
คือมโนกรรมจะไปทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์อีกครั้งหนึ่ง แล้วไปผัสสะกับสฬายตนะ แล้วเกิดเวทนาใหม่ขึ้น
ดำเนินกลับไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทอีกครั้งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว
ข้อสังวร เนื่องจากภาพวงจรนี้แสดงการมีสติรู้เท่าทันตามความเป็นจริงเห็นเวทนา อุปมาดั่งดับหรือตัดเวทนา อันอาจมีผู้อ่านนักปฏิบัติที่ไม่ได้อ่านรายละเอียดของปฏิจจสมุปบาทและขันธ์๕แล้วนําไปปฏิบัติโดยไม่รู้ไม่เข้าใจอันอาจเกิดเป็นโทษได้, จึงขอแจงไว้ที่นี้ ที่เวทนาและจิตสังขาร(คิด)พึงใช้สติรู้เท่าทันและความรู้ความเข้าใจ(ปัญญา)อันเรียกว่าการตัดหรือการดับ คือเวทนาและจิตสังขารคิดนั้นยังมีอยู่ แต่เพราะสติรู้เท่าทันและปัญญาหรือการรับรู้ตามความเป็นจริงทําให้เวทนานั้นจึงไม่เจือกิเลส(อามิส)เสมือนหนึ่งดับ, การพยายามทําให้ดับจริงๆเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ในลักษณะกดข่มชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นซึ่งสามารถทําได้เช่นกันจากการฝึกฝนอบรมปฏิบัติ แต่จะมีผลร้ายกลับมาในที่สุด เพราะขันธ์๕คือกระบวนธรรมของชีวิตในการดํารงชีวิตอย่างปกติสุข ซึ่งจักเสียสมดุลย์ไป อันจักยังให้เกิดอาการต่างๆทั้งต่อกายและจิตในภายหลังอันเกิดขึ้นจากสังขารความเคยชินตามที่ได้ปฏิบัติฝึกฝนนั้นจักเกิดหรือทํางานเองโดยไม่รู้ตัว อันเป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ดังเช่นการกดข่มหรือตัดเวทนาโดยไม่มีความรู้ความเข้าใจ ในที่สุดระบบการรับรู้ความรู้สึก(เวทนา)ของกายและจิตจะแปรปรวน ดังเช่นกินอาหารไม่รู้รสชาติและจะเกิดความเข้าใจผิดด้วยว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจึงลดละรสชาติในอาหารนั้นได้ฯ. ในกรณีของกดข่มความคิดที่เป็นจิตสังขาร ถ้าตัดหรือหยุดทุกๆความคิดที่คิดเท่าที่สติเห็นโดยไม่รู้ไม่เข้าใจ ในที่สุดจะมีอาการจําอะไรไม่ค่อยได้ หลงๆลืมๆ และค่อนข้างแข็งทื่อ คือสังขารความเคยชินของจิตจะทําหน้าที่ตัดความคิดอื่นๆอันมีคุณประโยชน์ไปด้วยโดยการทํางานเองโดยไม่รู้ตัวและแก้ไขได้ยาก, จริงๆแล้วมันเกิดอย่างไรมันก็เป็นเช่นนั้นเองอันเป็นสภาวะธรรม แต่เราต้องถืออุเบกขาเป็นกลางโดยวางทีเฉย โดยการไม่เอนเอียงแทรกแซง ด้วยถ้อยคิดปรุงแต่งหรือกริยาจิตใดๆ คือรู้แค่เวทนาหรือคิดนั้น(สังขารขันธ์) แล้วไม่ปล่อยให้เลื่อนไหลไปคิดนึกปรุงแต่งไปในทั้งดีหรือร้ายอันจักยังให้เกิดเวทนาขึ้นใหม่อีกจึงถูกต้อง, ทั้ง๒ นี้ผู้เขียนเคยปฏิบัติมาแล้ว
ส่วนตัณหาความทะยานอยากหรือไม่อยากเป็นส่วนเกินหรือไม่จําเป็นของกระบวนการแห่งชีวิตอันเป็นสุขหรือขันธ์๕, ถ้าสติไม่รู้เท่าทันเวทนาอันเป็นการปฎิบัติเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดตัณหา เราต้องใช้กําลังของจิตเข้าดับหรือละตัณหาโดยตรงตามกําลังแห่งตนเท่าที่ทําได้ อันเป็นลดทอนกําลังของตัณหาไม่ให้เติบโตกล้าแข็งขึ้น
คุณประโยชน์ของปฏิจจสมุปบาทมิใช่อยู่ที่จดจําวงจรได้ แต่อยู่ที่โยนิโสมนสิการให้มีความเข้าใจในสภาวธรรมของทุกข์และการดับอุปาทานทุกข์(อันเป็นสภาวธรรมชาติ)ว่าทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย และมีสติรู้เท่ารู้ทันเหตุปัจจัยนั้น จึงกําจัดหรือดับเหตุปัจจัยนั้นๆได้ อันทําให้ความทุกข์หรืออุปาทานทุกข์อันจักบังเกิดขึ้นแก่ใจ เกิดขึ้นไม่ได้ หรือจางคลายลง
ถ้าเราไม่พิจารณาธรรมโดยละเอียดและแยบคายเพื่อให้เกิดสัมมาญาณขึ้นก่อน แล้วจึงปฏิบัติ จักไม่ประสบผลสําเร็จดีที่สุด เพราะขณะที่เราปฏิบัติอยู่นั้น จะมีข้อวิจิกิจฉา ข้อสงสัย ข้อผิดพลาดเกิดขึ้นตลอดเวลาในจิต อันล้วนทําให้สงสัย งงงวย ไม่แน่ใจ ไม่เชื่อมั่น ถูกหรือเปล่า? หลงทาง? ยึดมั่น? เหตุเพราะยังไม่เข้าใจจริง อันจะทําให้การปฏิบัตินั้นติดขัดและไม่ถูกต้อง หรือออกนอกลู่ผิดทางไปเลยก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของจิตอันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนที่สุดในโลก จึงจําเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องมีวิชชา รู้ตามความเป็นจริงในสภาวะธรรมของทุกข์และการดับทุกข์จึงจะทําให้การปฏิบัตินั้นเป็นไปอย่างถูกต้องราบรื่นและปลอดภัย ตลอดจนยังให้ไม่เกิดวิปัสสนูปกิเลส(สิ่งที่ทําให้รับธรรมได้ยาก) ตลอดจนทําให้มีความมั่นใจ มั่นคงในธรรมดุจภูผาอันเป็นกําลังสําคัญยิ่งแก่จิตในการดับทุกข์และปฏิบัติวิปัสสนา
การพิจารณาจนเกิดความเข้าใจ หรือจนเห็นตามความเป็นจริงของธรรมอย่างถ่องแท้นี้แหละที่เรียกกันว่าญาณ หรือ สัมมาญาณ อันเป็นหนทางที่จําเป็นอย่างยิ่งยวดที่ขาดไม่ได้ จําเป็นต้องปฏิบัติให้เกิด จึงจะยังให้เกิดสัมมาวิมุตติ สุขจากการหลุดพ้น, หรือความจางคลายจากทุกข์ตามฐานะแห่งตนขึ้นได้ อันเป็นไปตามหลักสัมมัตตะ(ภาวะที่ถูกต้อง มี๑๐ ประการ) หรือก็คือเกิด มรรคองค์ ๑๐ ของพระอริยะเจ้า
พุทธพจน์ ที่ตรัสในเรื่องสัมมัตตะ หรือมรรคองค์๑๐
"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิ เป็นหัวหน้าอย่างไร? เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้(พอเหมาะได้=ใช้งานได้ดี), เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้, เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะจึงพอเหมาะได้, เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้, เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้, เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้, เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้, เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณจึงพอเหมาะได้, เมื่อมีสัมมาญาณ สัมมาวิมุตติจึงพอเหมาะได้ โดยนัยดังนี้แล พระเสขะ(อริยะผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์)ผู้ประกอบด้วยองค์๘ จึงกลายเป็นพระอรหันต์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐" (ม. อุ. ๑๔/๒๕๔-๒๘๐/๑๘๐-๑๘๗) (พุทธธรรม หน้า ๗๓๔) |
ไปภาพวงจร แสดงรายละเอียดอุปาทานขันธ์ที่เกิดดับ เกิดดับ จนต่อเนื่องเป็นอุปาทานขันธ์๕อันเป็นทุกข์