ปฏิจจสมุปบาท

แสดงเวทนา

ตําแหน่งที่ควรรู้เท่าทัน

ในการดับทุกข์

อีกทั้งที่องค์ ตัณหา ชาติ และชรา

การดับไปนั้น หมายถึง ไม่เอา ไม่ยึดถือ

ที่หมายถึง สติระลึกรู้เท่าทัน พร้อมทั้งปัญญา

จึงไม่ยึดมั่น หมายมั่น คือปล่อยวาง หรืออุเบกขา 

คือสิ่งที่เรียกว่าดับไป  ทำให้แม้ยังคงเกิดขึ้นตาม

สภาวธรรม(ธรรมชาติ)แต่ไม่ไปเป็นเหตุปัจจัยให้

วงจรเกิดการดำเนินสืบเนื่องต่อไปจนเป้นทุกข์

นี้คือการดับไปที่แท้จริงถูกต้อง

 

img1.gif

                             anired02_down.gif                                                                            

                    สัญญาหมายรู้                                         

                             anired02_down.gif                                                 

                      สังขารขันธ์  

         [อันเป็นเพียงขันธ์๕ สภาวธรรมชาติ]

                  แล้วถืออุเบกขา

     

        

  เพราะ อวิชชา มีอยู่ ร่วมด้วย อาสวะกิเลส คือกิเลสที่นอนเนื่องที่ย่อมผุด

                  ขึ้นมาโดยธรรมชาติได้  อีกทั้งกิเลสจร อันมี รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ

                   อีกทั้งธรรมารมณ์ ที่จรมากระทบ เป็นเหตุปัจจัยจึงมี สังขาร สิ่งปรุงแต่ง

                   อันย่อมเป็นสังขารกิเลส  เพราะสังขารมีจึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมี วิญญาณ

                   หรือจิตหนึ่งขึ้นรับรู้ในสังขารนั้น  เพราะวิญญาณมีจึงเป็นเหตุปัจจัยให้

                   นาม-รูป หรือชีวิตครบองค์ถูกเร้าตื่นตัวทำงาน จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ อายตนะ

                   ทั้งหลาย ตื่นตัวทำงานต่างๆตามหน้าที่ของตน  จึงเป็นเหตุปัจจัยให้ครบองค์

                   ของการผัสสะ จึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมี เวทนา........

  

  

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

เราต้องปฏิบัติให้เป็นดังนี้  จนเป็นดังเช่นสังขารในปฏิจจสมุปบาท แต่มิได้เกิดแต่อวิชชา

แต่ในขั้นปฏิบัติ  เราต้องปฏิบัติให้ถูกต้อง ตามสภาวะหรือตําแหน่งอันเป็นเหตุปัจจัย

ตามสติที่รู้เท่าทันนั้นเป็นหลัก อันไม่ใช่ตําแหน่งเวทนาในองค์ธรรมนี้เสมอไป

เช่น สติอาจรู้เท่าทันที่ตัณหา,  หรือสติรู้เท่าทันในเวทนูปาทานขันธ์  และสังขารูปาทานขันธ์(คิด) ในองค์ธรรมชรา ฯ.

ที่หมุนเวียนเป็นวงจรย่อยระลอกแล้วระลอกเล่า

 anired06_next.gif      anired06_next.gif      anired06_next.gif ตัณหา anired06_next.gif อุปาทาน anired06_next.gif ภพ anired06_next.gif ชาติ anired06_next.gif......ธรรมารมณ์      ใจ   anired06_next.gif วิญญูาณูปาทานขันธ์    anired06_next.gif   เวทนูปาทานขันธ์  

                   วงจร ปฏิจจสมุปบาท                                  อุปาทานขันธ์๕ อันเกิดวนเวียนอยู่ใน ชรา อันเป็นทุกข์                   

   ดำเนินไปตามวงจรใหม่  anired06_next.gif อาสวะกิเลส anired06_next.gif มรณะ anired06_next.gif......สังขารูปาทานขันธ์ เกิดมโนกรรมคิดที่เป็นทุกข์      สัญญูปาทานขันธ์    

ภาพขยายในชรา   ล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ อันเป็นทุกข์ เพราะเกิดจากสังขารูปาทานขันธ์ในชาติ อันถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว

    ตําแหน่งที่ควรรู้เท่าทันในการดับทุกข์ในวงจรปฏิจจสมุปบาท คือที่เวทนาในวงจรนี้ เมื่อกระบวนจิตดําเนินมาถึงเวทนาอันเป็นไปตามสภาวะธรรมชาติ แล้วมีสติรู้เท่าทันและเข้าใจในธรรม วงจรจะถูกตัดขาดที่นี่ แล้วเกิดเป็นกระบวนการของขันธ์ต่างๆอันเป็นธรรมชาติที่ไม่เป็นทุกข์สืบเนื่องต่อไป คือเกิดสัญญาหมายรู้ตามที่รู้โดยไม่ถูกครอบงําด้วยอํานาจของอุปาทานคือไม่ไปหมายรู้ตามความพึงพอใจของตนที่แอบแฝงเป็นใหญ่ แล้วเกิดสังขารขันธ์ต่างๆเช่นทางใจ ก็เป็นความคิดนึกมโนกรรมอันเป็นปกติธรรมชาติของผู้มีชีวิต แล้วถืออุเบกขาเป็นกลาง วางทีเฉยต่อเวทนาหรือจิตสังขาร(คิดคือมโนกรรม)ที่เกิดขึ้นนั้นอย่างมีสติคือไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซงหรือไม่ปรุงแต่งทั้งในด้านกุศลและอกุศล หรือในด้านดีและด้านชั่ว(ร้าย) เช่นเราถูก หรือเขาผิด,เราดี หรือเขาชั่ว ฯ. อันต่างล้วนเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาทั้งสิ้น อันก่อทุกข์ขึ้นได้อีก  เมื่อรู้เข้าใจแล้ว ต้องถืออุเบกขา วางเฉยโดยการไม่คิดนึกปรุงแต่งต่อจากสติที่รู้เท่าทันแล้ว เพราะเป็นอุบายวิธีป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดเวทนาของคิดนึกปรุงแต่งอันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้นมาได้, เพราะเวทนาเป็นกระบวนการรับรู้ความรู้สึกตามธรรมชาติของชีวิตเป็นสภาวะธรรม ซึ่งเมื่อเกิดการกระทบผัสสะกับรูป เสียง กลิ่น ฯ.ย่อมเป็นไปอย่างนั้นเอง อันทําการหยุดหรือดับจริงๆโดยตรงไม่ได้, ส่วนคิดนึกปรุงแต่งนั้นเป็นสังขารขันธ์อันเกิดจากเจตนาของตัวตนเอง ถึงแม้ว่าจะหยุดการคิดนึกปรุงแต่งได้ยากแสนยากก็จริงอยู่ แต่ก็สามารถฝึกฝนอบรมได้ในที่สุด.

ลูกศรสีแดง   ที่แสดงในวงจร คือกระบวนการ การเกิดขึ้นของความคิดปรุงแต่งอันมักก่อให้เป็นทุกข์

คือมโนกรรมจะไปทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์อีกครั้งหนึ่ง แล้วไปผัสสะกับสฬายตนะ แล้วเกิดเวทนาใหม่ขึ้น

ดำเนินกลับไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทอีกครั้งหนึ่งโดยไม่รู้ตัว

    ข้อสังวร เนื่องจากภาพวงจรนี้แสดงการมีสติรู้เท่าทันตามความเป็นจริงเห็นเวทนา อุปมาดั่งดับหรือตัดเวทนา อันอาจมีผู้อ่านนักปฏิบัติที่ไม่ได้อ่านรายละเอียดของปฏิจจสมุปบาทและขันธ์๕แล้วนําไปปฏิบัติโดยไม่รู้ไม่เข้าใจอันอาจเกิดเป็นโทษได้, จึงขอแจงไว้ที่นี้ ที่เวทนาและจิตสังขาร(คิด)พึงใช้สติรู้เท่าทันและความรู้ความเข้าใจ(ปัญญา)อันเรียกว่าการตัดหรือการดับ คือเวทนาและจิตสังขารคิดนั้นยังมีอยู่ แต่เพราะสติรู้เท่าทันและปัญญาหรือการรับรู้ตามความเป็นจริงทําให้เวทนานั้นจึงไม่เจือกิเลส(อามิส)เสมือนหนึ่งดับ, การพยายามทําให้ดับจริงๆเป็นไปไม่ได้ เป็นไปได้ในลักษณะกดข่มชั่วระยะเวลาหนึ่งเท่านั้นซึ่งสามารถทําได้เช่นกันจากการฝึกฝนอบรมปฏิบัติ แต่จะมีผลร้ายกลับมาในที่สุด เพราะขันธ์๕คือกระบวนธรรมของชีวิตในการดํารงชีวิตอย่างปกติสุข ซึ่งจักเสียสมดุลย์ไป อันจักยังให้เกิดอาการต่างๆทั้งต่อกายและจิตในภายหลังอันเกิดขึ้นจากสังขารความเคยชินตามที่ได้ปฏิบัติฝึกฝนนั้นจักเกิดหรือทํางานเองโดยไม่รู้ตัว อันเป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ดังเช่นการกดข่มหรือตัดเวทนาโดยไม่มีความรู้ความเข้าใจ ในที่สุดระบบการรับรู้ความรู้สึก(เวทนา)ของกายและจิตจะแปรปรวน ดังเช่นกินอาหารไม่รู้รสชาติและจะเกิดความเข้าใจผิดด้วยว่า ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบจึงลดละรสชาติในอาหารนั้นได้ฯ.  ในกรณีของกดข่มความคิดที่เป็นจิตสังขาร ถ้าตัดหรือหยุดทุกๆความคิดที่คิดเท่าที่สติเห็นโดยไม่รู้ไม่เข้าใจ ในที่สุดจะมีอาการจําอะไรไม่ค่อยได้ หลงๆลืมๆ และค่อนข้างแข็งทื่อ คือสังขารความเคยชินของจิตจะทําหน้าที่ตัดความคิดอื่นๆอันมีคุณประโยชน์ไปด้วยโดยการทํางานเองโดยไม่รู้ตัวและแก้ไขได้ยาก, จริงๆแล้วมันเกิดอย่างไรมันก็เป็นเช่นนั้นเองอันเป็นสภาวะธรรม แต่เราต้องถืออุเบกขาเป็นกลางโดยวางทีเฉย โดยการไม่เอนเอียงแทรกแซง ด้วยถ้อยคิดปรุงแต่งหรือกริยาจิตใดๆ  คือรู้แค่เวทนาหรือคิดนั้น(สังขารขันธ์) แล้วไม่ปล่อยให้เลื่อนไหลไปคิดนึกปรุงแต่งไปในทั้งดีหรือร้ายอันจักยังให้เกิดเวทนาขึ้นใหม่อีกจึงถูกต้อง,  ทั้ง๒ นี้ผู้เขียนเคยปฏิบัติมาแล้ว

    ส่วนตัณหาความทะยานอยากหรือไม่อยากเป็นส่วนเกินหรือไม่จําเป็นของกระบวนการแห่งชีวิตอันเป็นสุขหรือขันธ์๕,  ถ้าสติไม่รู้เท่าทันเวทนาอันเป็นการปฎิบัติเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดตัณหา เราต้องใช้กําลังของจิตเข้าดับหรือละตัณหาโดยตรงตามกําลังแห่งตนเท่าที่ทําได้ อันเป็นลดทอนกําลังของตัณหาไม่ให้เติบโตกล้าแข็งขึ้น

    คุณประโยชน์ของปฏิจจสมุปบาทมิใช่อยู่ที่จดจําวงจรได้  แต่อยู่ที่โยนิโสมนสิการให้มีความเข้าใจในสภาวธรรมของทุกข์และการดับอุปาทานทุกข์(อันเป็นสภาวธรรมชาติ)ว่าทุกสิ่งล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย และมีสติรู้เท่ารู้ทันเหตุปัจจัยนั้น  จึงกําจัดหรือดับเหตุปัจจัยนั้นๆได้ อันทําให้ความทุกข์หรืออุปาทานทุกข์อันจักบังเกิดขึ้นแก่ใจ เกิดขึ้นไม่ได้ หรือจางคลายลง

    ถ้าเราไม่พิจารณาธรรมโดยละเอียดและแยบคายเพื่อให้เกิดสัมมาญาณขึ้นก่อน แล้วจึงปฏิบัติ จักไม่ประสบผลสําเร็จดีที่สุด เพราะขณะที่เราปฏิบัติอยู่นั้น จะมีข้อวิจิกิจฉา ข้อสงสัย ข้อผิดพลาดเกิดขึ้นตลอดเวลาในจิต อันล้วนทําให้สงสัย งงงวย ไม่แน่ใจ ไม่เชื่อมั่น ถูกหรือเปล่า? หลงทาง? ยึดมั่น? เหตุเพราะยังไม่เข้าใจจริง อันจะทําให้การปฏิบัตินั้นติดขัดและไม่ถูกต้อง หรือออกนอกลู่ผิดทางไปเลยก็ได้ เพราะเป็นเรื่องของจิตอันเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนและซับซ้อนที่สุดในโลก จึงจําเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องมีวิชชา รู้ตามความเป็นจริงในสภาวะธรรมของทุกข์และการดับทุกข์จึงจะทําให้การปฏิบัตินั้นเป็นไปอย่างถูกต้องราบรื่นและปลอดภัย  ตลอดจนยังให้ไม่เกิดวิปัสสนูปกิเลส(สิ่งที่ทําให้รับธรรมได้ยาก) ตลอดจนทําให้มีความมั่นใจ มั่นคงในธรรมดุจภูผาอันเป็นกําลังสําคัญยิ่งแก่จิตในการดับทุกข์และปฏิบัติวิปัสสนา

    การพิจารณาจนเกิดความเข้าใจ หรือจนเห็นตามความเป็นจริงของธรรมอย่างถ่องแท้นี้แหละที่เรียกกันว่าญาณ หรือ สัมมาญาณ อันเป็นหนทางที่จําเป็นอย่างยิ่งยวดที่ขาดไม่ได้ จําเป็นต้องปฏิบัติให้เกิด จึงจะยังให้เกิดสัมมาวิมุตติ สุขจากการหลุดพ้น, หรือความจางคลายจากทุกข์ตามฐานะแห่งตนขึ้นได้  อันเป็นไปตามหลักสัมมัตตะ(ภาวะที่ถูกต้อง มี๑๐ ประการ) หรือก็คือเกิด มรรคองค์ ๑๐ ของพระอริยะเจ้า

พุทธพจน์ ที่ตรัสในเรื่องสัมมัตตะ หรือมรรคองค์๑๐

"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฏฐิ เป็นหัวหน้าอย่างไร?

เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ  สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้(พอเหมาะได้=ใช้งานได้ดี),

เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ  สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้,     

เมื่อมีสัมมาวาจา  สัมมากัมมันตะจึงพอเหมาะได้,     

เมื่อมีสัมมากัมมันตะ  สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้,

เมื่อมีสัมมาอาชีวะ  สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้,     

เมื่อมีสัมมาวายามะ  สัมมาสติจึงพอเหมาะได้,     

เมื่อมีสัมมาสติ  สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้,    

เมื่อมีสัมมาสมาธิ  สัมมาญาณจึงพอเหมาะได้,              

เมื่อมีสัมมาญาณ  สัมมาวิมุตติจึงพอเหมาะได้

โดยนัยดังนี้แล พระเสขะ(อริยะผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์)ผู้ประกอบด้วยองค์๘

จึงกลายเป็นพระอรหันต์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐"       

(ม. อุ. ๑๔/๒๕๔-๒๘๐/๑๘๐-๑๘๗)

(พุทธธรรม หน้า ๗๓๔) 

 

ไปภาพวงจร แสดงรายละเอียดอุปาทานขันธ์ที่เกิดดับ เกิดดับ จนต่อเนื่องเป็นอุปาทานขันธ์๕อันเป็นทุกข์

 

กลับสารบัญ