|
ธรรมะของพระพุทธเจ้า |
|
ธรรมะหรือธรรมคำสอนต่างๆที่พระองค์ท่านโปรดสั่งสอนนั้น มีทั้งฝ่ายโลกิยะและโลกุตระ ฝ่ายโลกิยะหรือตามวิสัยอย่างโลกๆนั้นเป็นคำสั่งสอนทั่วไปเหมาะแก่เพศฆราวาส เพื่อใช้ในการดำเนินชีวิตให้เป็นสุขตามอัตภาพตน เผื่อแผ่เอื้ออารีต่อกันและกัน ไม่เบียดเบียน ข่มเหงซึ่งกันและกัน จึงอยู่ในสังคมของตนได้อย่างเป็นสุข ดังเช่น ศีล ๕, พรหมวิหาร ๔, บาปบุญ, มงคลชีวิต ๓๘ ประการ ฯ., ส่วนฝ่ายสมณะหรือภิกษุ หรือนักปฏิบัตินั้น ท่านโปรดสั่งสอนแบบโลกุตระ คือพ้นวิสัยจากโลกๆ คือการดับทุกข์ ที่หมายถึงอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ ดังนั้นในบางครั้งจึงจำต้องจำแนกแตกธรรมในคำสอนที่มีบันทึกไว้มากมายแม้ในพระไตรปิฎกให้ดีว่า เป็นการสอนแก่เพศใด เป็นแบบโลกิยะหรือโลกุตระ สั่งสอนแก่ใคร มิฉนั้นอาจเกิดความเข้าใจผิดในธรรมได้ ดังเรื่องวิญญาณ (รายละเอียดอยู่ในเรื่อง มหาตัณหาสังขยสูตร) ซึ่งมีความแตกต่างกันระหว่างโลกิยะและโลกุตระ ซึ่งวิญญาณในฝ่ายโลกิยะนั้นหมายถึงวิญญาณ ที่ลอยละล่อง ท่องเที่ยวไป แม้หาที่เกิด ดังที่ปรากฏแก่สาติภิกษุ, ส่วนฝ่ายวิญญาณแบบโลกุตระนั้นเป็นการแสดงวิญญาณ ๖ ดังความที่ปรากฏใน มหาตัณหาสังขยสูตร
คำสอนของพระพุทธองค์ฝ่ายโลกุตระนั้น ล้วนเป็นแบบอกาลิโก กล่าวคือไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา เป็นจริงเที่ยงแท้อยู่เยี่ยงนั้นตลอดกาลนาน ไม่แปรผันเป็นอื่นไปได้ เพราะล้วนเป็นการกล่าวถึงสภาวธรรมหรือธรรมชาติอย่างถึงขั้นแก่นแท้สูงสุด จึงไม่กลับกลาย อาทิเช่น
ธรรมนิยามหรือพระไตรลักษณ์ ที่กล่าวถึงสภาวธรรมคือธรรมชาติของสังขารคือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ และธรรมคือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนสิ้นเป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนของเขาเองจริง เกิดแต่การประกอบกันขององค์ประกอบย่อยๆ มาประชุมรวมกันเป็นขณะๆ
อิทัปปัจจยตา ที่กล่าวถึงหลักเหตุปัจจัย หรือหลักเหตุและผล ที่กล่าวถึงสังขารทั้งปวงที่มีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยกัน จึงเกิดผลขึ้นได้
ปฏิจจสมุปบาท กระบวนธรรมของของจิตในการเกิดขึ้นและดับไปของทุกข์ ที่กล่าวถึงกระบวนจิตที่เป็นเหตุปัจจัยเนื่องสัมพันธ์กันหนุนให้เกิดอีกสิ่งหนึ่งขึ้นไปเป็นลำดับ จนเกิดทุกข์
โลกธรรม ๘ ธรรมหรือสภาวธรรมของโลก หรือวิสัยของโลก
อริยสัจจ์ ๔ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการมี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค
ขันธ์ ๕ ที่กล่าวแสดงความสัมพันธ์ความเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน จึงเกิดขึ้นของขันธ์ต่างๆเป็นเอนก
สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งมวลย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา
และทั้งจำแนกแตกธรรมให้เห็นความจริงอย่างปรมัตถ์ในธรรมต่างๆอีกมากมาย