กระดานธรรม ๓/๓๑

จิตเห็นจิต

คลิกขวาเมนู  

        จิตเห็นจิต เรามักจะได้ยินคำกล่าวนี้กันอยู่เนืองๆ ในหมู่นักปฏิบัติ เป็นการปฏิบัติแบบสติปัฏฐานนั่นเอง  แต่มีการเรียกแตกธรรมต่างกันไปตามยุคสมัยบ้างเท่านั้นเอง แท้จริงแล้วก็คือการปฏิบัติเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนาในสติปัฏฐานนั่นเอง   แต่มีผู้ที่ไม่เข้าใจความหมาย ตีความอย่างคลาดเคลื่อน ไม่ถูกต้อง จนทำให้พยายามไปเพ่งจิต ค้นหาจิตก็มี ในวิธีการต่างๆแม้ในสมาธิ อันล้วนไม่ใช่หนทาง,  เพราะจิตเห็นจิตเป็นมรรคปฏิบัติที่สำคัญยิ่ง   จิตตัวแรกหมายถึงสติ อันเป็นสังขารขันธ์อย่างหนึ่งฝ่ายกุศลสังขาร และสามารถสั่งสมอบรมจนทำหน้าที่เป็นกุศลสัญญาได้อีกด้วย,   ส่วนจิตตัวที่สอง มีความหมายถึงสังขารขันธ์ ซึ่งรวมทั้งจิตสังขารเช่นความนึกคิดชนิดมโนกรรม   และบางท่านก็อาจรวมทั้งเวทนาด้วย  แท้จริงแล้วจึงมีความหมายถึงการที่มี สติเห็นจิต,  ดังนั้นจิตเห็นจิต จึงไม่ได้หมายถึงการไปเพ่งหรือพยายามมองหาจิตเป็นดวง เป็นแสง เป็นภาพ เป็นนิมิตใดๆคือให้เห็นเป็นไปในทางรูปธรรมใดๆทั้งสิ้น,  จิตเห็นจิตพอที่จะจำแนกออกได้เป็น ๒ ลักษณะคือ

        ๑. จิตเห็นจิต คือ สติเห็นจิต หรือสติเห็นจิตสังขาร  จิตหรือจิตสังขารที่หมายถึงสังขารขันธ์คืออารมณ์ทางโลกต่างๆ ดังเช่น โทสะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ทุกข์ใจ สุขใจ ตัณหา ฯ. และเจตสิก อันคืออาการของจิตต่างๆนั่นเองว่า ผ่องแผ้ว หรือเศร้าหมอง  ซึ่งเป็นความรู้สึกหรืออาการของจิต  เพราะสังขารขันธ์คืออารมณ์ที่เกิดขึ้นนี้ย่อมไปปรุงแต่งจิตให้เกิดสัญเจตนาความคิดอ่าน ให้เกิดการกระทำต่างๆ(กรรม)ได้ ทั้งทางกาย วาจา ใจ,  ทางใจซึ่งก็คือ ความคิดนึกชนิดมโนกรรมนั่นเอง ซึ่งเป็นความคิดนึกที่เป็นผลเกิดขึ้นต่อเนื่องจากสังขารขันธ์นั่นเอง ที่ไปยังให้เกิดสัญเจตนาความคิดอ่านให้เกิดการกระทำต่างๆ ทั้งทางใจคือความคิดนึกขึ้น เช่น คิดฟุ้งซ่าน คิดหดหู่ คิดกังวล ความคิดเป็นทุกข์ต่างๆนาๆ คิดโกรธ ฯ.  ซึ่งก็คือจิตตานุปัสสนานั่นเอง  จึงหมายถึงการปฏิบัติที่ให้มีสติระลึกรู้เท่าทันจิตสังขาร ที่หมายถึง สังขารขันธ์คืออารมณ์ทางโลกต่างๆหรือมโนกรรมที่เกิดขึ้นก็ได้  และเมื่อปัญญาเล็งเห็นว่าเป็นโทษ หรือสมควรเหตุแล้ว ก็ให้อุเบกขาสัมโพชฌงค์เสีย  มโนกรรมที่จะแปรไปทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์อีกจึงไม่มี  เหตุที่จะไปก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นให้เนื่องต่อไปอีกจึงย่อมไม่เกิดขึ้นอีก  ส่วนที่เกิดขึ้นมาแล้ว ก็ย่อมเสื่อมดับไปด้วยธรรมนิยาม

1.รูป คือ ธรรมารมณ์ + 2.ใจ + 3.มโนวิญญูาณขันธ์ anired06_next.gif 4.เวทนาขันธ์

      ขันธ์ทั้ง ๕ ทำงานเนื่องสัมพันธ์ในการดำเนินชีวิต         

6.สังขารขันธ์ เกิดมโนกรรม                               5.สัญญาขันธ์

 

1.รูป คือ ธรรมารมณ์ หรืออายตนะภายนอกต่างๆ  ที่มาร่วมทำหน้าที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยกับขันธ์ทั้ง ๕

2. 3. 4. 5. 6. ต่างล้วนเป็นขันธ์ทั้ง ๕ ที่มาเป็นเหตุปัจจัยเนื่องสัมพันธ์กัน เกิดเป็นกระบวนธรรมในการทำงานของขันธ์ทั้ง ๕ หรือชีวิต

เปรียบดั่งกระบวนธรรมปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นกระบวนธรรมในการทำงานของขันธ์ทั้ง ๕ หรือชีวิตเช่นกัน แต่เป็นฝ่ายทำให้เกิดทุกข์

        ๒. จิตเห็นเวทนา คือสติเห็นเวทนา หรือเวทนานุปัสสนานั่นเอง คือสติเห็นคือเท่าทันในการรับรู้อารมณ์ที่เสวย หรือเสวยอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากการผัสสะ  ที่ต้องเกิดเวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นเป็นธรรมดา คือสุขเวทนา๑ ทุกขเวทนา๑ อทุกขมสุขเวทนา๑  บางท่านจึงจัดว่าเป็นจิตเห็นจิตด้วย แม้ว่าเวทนาจะไม่จัดว่าเป็นสังขารขันธ์ก็ตาม แต่เพราะเวทนาคือสุข,ทุกข์,ไม่สุขไม่ทุกข์ ก็เป็นการรับรู้ของจิตอย่างหนึ่ง คือการเสวยอารมณ์ เป็นความรู้สึกที่เกิดจากการรับรู้ในรสของสิ่งที่ผัสสะ  ซึ่งเรียกกันว่า"เวทนานุปัสสนา" ที่หมายถึง การปฏิบัติที่ให้มีสติรู้เท่าทันในเวทนาที่เกิดขึ้น และด้วยปัญญาพละ ที่เกิดจากการรู้ความจริงยิ่งว่า เพียงสักว่าเวทนา หรืออุเบกขาเป็นกลางไม่ชอบไม่ชัง ด้วยรู้ดีว่าถึงอย่างไรเสียก็พึงต้องเกิดขึ้นมาจากการผัสสะ เป็นธรรมดา อันเป็นสภาวะธรรมชาติ มันจึงเป็นเช่นนี้เองเป็นธรรมดา จึงมีปัญญาพละพอปล่อยวาง ไม่เข้าไปยึดถือด้วยรู้ความจริง จึงอุเบกขาเสียเช่นกัน

        การที่สติจะระลึกรู้หรือเห็นในจิตหรือเวทนา ขึ้นอยู่กับการฝึกฝน อบรม และความถนัดของตนเป็นสำคัญ  เพราะกระบวนธรรมของขันธ์นั้น เป็นกระบวนธรรมของเหตุปัจจัยนั่นเอง  เมื่อเกิดการกระทบกันของอายตนะภายนอกและภายในแล้ว ในผู้มีชีวิต ก็ย่อมเหมือนดั่งธนูที่ถูกยิงออกจากแหล่ง ดังที่ได้กล่าวไว้ในเรื่อง "การทำงานของขันธ์ทั้ง ๕" เมื่อลูกศรได้หลุดออกจากแหล่งแล้ว ย่อมหยุดหรือควบคุมบังคับใดๆในลูกศรนั้นอีกไม่ได้เลย ไปจนกว่าหมดสิ้นกระบวนความ  เพราะดังที่กล่าวอยู่เนืองๆว่า ขันธ์ทั้ง ๕ ล้วนเป็นอนัตตา จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จึงควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนาไม่ได้ เป็นไปตามธรรมคือธรรมชาติหรือเหตุปัจจัยเท่านั้น  ดังนั้นโดยแท้จริงแล้วก็คือ ย่อมเกิดขึ้นทั้ง"เวทนา"และจนถึง"สังขารขันธ์"อีกทั้ง"มโนกรรม"ขึ้นในที่สุดนั่นเอง  ดังนั้นการระลึกรู้เท่าทันใน "เวทนา" หรือ "สังขารขันธ์" อีกทั้ง "มโนกรรม" จึงขึ้นอยู่กับการฝึกฝน สั่งสม อบรม ประพฤติ ปฏิบัติ และความชำนาญ(วสี)ของตนเป็นสำคัญนั่นเอง ดังภาพ

  คิดนึกที่เป็นเหตุ                                    ผัสสะ

ธรรมารมณ์    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป ใจ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด มโนวิญญาณ  anired06_next.gif  สัญญาจํา   เวทนา  สัญญาหมายรู้   สังขารขันธ์   anired06_next.gifเกิดสัญเจตนา(เจตนา,จงใจ)anired06_next.gifกรรม (คือ การกระทำต่างๆทางกาย ทางวาจา หรือทางใจ) ทางใจเช่น มโนกรรม (คือความคิดนึกอันเป็นผลขึ้นนั่นเอง)

        ดังนั้นจิตเห็นจิต โดยโลกุตระแล้ว จึงมิได้หมายความถึง การเห็นจิตเป็นดวง ไม่ว่าจะภายนอกหรือภายในกาย  หรือเห็นเป็นแสง  เป็นโอภาส  หรือเห็นเป็นเจตภูต  เป็นวิญญาณหรือปฏิสนธิวิญญาณ  หรือแม้แต่รูปนิมิตต่างๆนาๆแต่อย่างใดทั้งสิ้น,  จิตเห็นจิต จึงมีความหมายว่าจิตมีสติระลึกรู้เท่าทันที่ประกอบด้วยปัญญาในเวทนาหรือสังขารขันธ์,  จิตเห็นจิตเป็นมรรค ถือเป็นหลักการปฏิบัติที่ดีงามยิ่ง ที่เรียกกันโดยทั่วไปในการปฏิบัติวิปัสสนาทั้งของเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนานั่นเอง

        การเห็นจิตเป็นดวง มักเกิดขึ้นจากการเข้าใจผิดที่เรียกจิตในลักษณะนามว่า ดวง  เหมือนดั่งการเรียกช้างเป็นเชือก มีดเป็นเล่ม, เมื่อปฏิบัติ ความเข้าใจผิดก็มักแอบเลื่อนไหลเข้าไปแฝงโดยไม่รู้ตัว  ตามความเชื่อตามที่ได้ยินมาบ้าง จึงไปพยายามเพ่ง หรือคิดไปว่าจิตมีตัวตน จึงพยายามเพ่งจิตเพื่อไปหาจิตที่คิดว่าเป็นดวงหรือเป็นตัวตน จนในที่สุดเกิดนิมิตจากการปรุงแต่งว่าจิตเป็นดวง ดั่งดวงดาวขึ้นจริงๆก็มี จิตมีตัวตนเป็นกายทิพย์ขึ้นก็มี ซึ่งมักเกิดจากอำนาจมาจากทิฏฐุปาทาน จึงทำให้เห็นผิดไปจากความจริง  มักเกิดจากความเชื่อ การบอกกล่าวเล่ากันต่อๆมา และอธิโมกข์

        จิตแท้จริงแล้ว อยู่ในสภาพเกิดดับๆๆ...อยู่ตลอดเวลาตามเหตุปัจจัย  เกิดและดับดุจดั่งเงานั่นเอง เป็นอนัตตา ไร้ซึ่งตัวตน ไม่มีตัวตนของจิตเองจริง  เกิดแต่เหตุปัจจัยมาประชุมปรุงแต่งกันเป็นขณะๆหรือระยะหนึ่งๆแล้วก็ดับไป  เมื่อไปพยายามหาจิต เพ่งจิต จึงพากันหลงทาง

        ปัญหาที่นักปฏิบัติสงสัยกังวลกันก็คือ แล้วควรปฏิบัติจิตเห็นจิตในลักษณะใดกัน  จึงได้ผลดีที่สุด

        ความจริงแล้วทั้ง ๒ ต่างล้วนถูกต้องดีงามด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น  ล้วนเป็นหลักปฏิบัติสำคัญในสติปัฏฐาน ๔  ที่จำเป็นต้องรู้เข้าใจและปฏิบัติทั้ง ๒  แต่ความชำนาญย่อมแตกต่างกันออกไปตามจริต สติ สมาธิ ปัญญา การสั่งสมปฏิบัติของแต่ละบุคคลเป็นสำคัญ   ดังนั้นความชำนาญหรือวสีจึงย่อมแตกต่างกันออกไปบ้างเป็นธรรมดา  แต่ก็ควรศึกษาและปฏิบัติในจิตเห็นจิต ทั้ง ๒ ลักษณะ  เหตุเพราะว่าบางขณะแลบางบุคคล เมื่อปฏิบัติหรือดำเนินอยู่ในชีวิตประจำวัน  อาจสังเกตุเห็นความรู้สึกรับรู้ที่เกิดขึ้นคือเวทนาเป็นสุขเป็นทุกข์ได้ชัดเจนในเรื่องบางประการที่เกิดขึ้นได้ง่ายและชัดกว่า เช่น เวทนาจากการผัสสะของอาหาร,  ส่วนในบางเรื่องหรือบางขณะก็สังเกตุเห็นอารมณ์ต่างๆคืออาการของจิต เช่นความคิดฟุ้งซ่าน หดหู่ โกรธ โลภ ฯ. หรืออาจระลึกรู้เท่าทันมโนกรรมคือเห็นความคิดนึกที่เกิดขึ้นได้ชัดง่ายกว่า  จึงไม่เป็นหลักตายตัวในการปฏิบัติในชีวิตประจำวัน  จึงขึ้นอยู่กับวสี คือความชำนาญที่สั่งสมไว้ว่า จิตหรือสติจักเห็นอะไรได้ดีกว่ากันเป็นสำคัญ

        ดังนั้นในการปฏิบัติธรรมในชีวิตประจำวัน จิตเห็นเวทนา หรือจิตสังขาร(อารมณ์+มโนกรรม)อันใดก่อนก็ย่อมได้ ด้วยให้ผลที่ดียิ่งเหมือนกัน  แต่ล้วนต้องประกอบด้วยความไม่ยึดมั่นหมายมั่น ดังที่กล่าวแสดงไว้ในท้ายทุกบททุกตอนในมหาสติปัฏฐานสูตร หรือก็คืออาการอุเบกขาเสียนั่นเองเป็นสำคัญอีกด้วย  ดังนั้นนักปฏิบัติที่จิตเห็นจิตได้แจ่มแจ้งชัดเจนดีแล้ว แต่ลืมการอุเบกขาประกอบการปฏิบัติด้วย ย่อมได้ผลไม่บริบูรณ์เต็มที่นั่นเอง

        เมื่อกล่าวถึงจิตเห็นจิต  ก็สมควรกล่าวถึงจิตเห็นกาย ซึ่งก็คือกายานุปัสสนา คือการที่จิตหรือสติเช่นกันระลึกรู้เท่าทันในกาย ดังที่ได้กล่าวไว้โดยละเอียดแล้วในสติปัฏฐาน ๔ หรือในมหาสติปัฏฐานสูตร เช่น ลมหายใจอันเป็นสังขารปรุงแต่งขึ้นมาอย่างหนึ่งของกาย การเคลื่อนไหว(อิริยาบถ) ความเป็นปฏิกูลไม่งามของกาย ฯ. อันเป็นที่อยู่ของจิตหรือสติอันดียิ่งอีกอย่างหนึ่ง กล่าวคือจิตหรือสติย่อมไม่ดำริ(คิด)พล่านออกไปปรุงแต่งหาเรื่องราวให้เกิดการผัสสะอันเป็นทุกข์ขึ้น  และยังเห็นในความไม่เที่ยง ไม่งามเป็นปฏิกูลของกายในแบบต่างๆอีกด้วย  ระงับความดำริพล่าน  ยังให้เกิดนิพพิทาญาณเป็นที่สุดดังจิตเห็นจิตข้างต้นเช่นเดียวกัน  อีกทั้งเป็นการฝึกจิตอันดีเยี่ยม ดังการเดิน นั่ง ลมหายใจ ฯลฯ.  อย่าลืมขณะปฏิบัติว่า เป็นแค่สติระลึกรู้ จึงไม่ใช่ต้องแน่วแน่ดังการฝึกสมถสมาธิ ที่ต้องแน่วแน่อยู่กับอารมณ์ใดอารมณ์หนึ่งเท่านั้น   เพียงแค่ระลึกรู้ในขณะที่ก็ยังดำเนินอยู่ในวิถีจิต คือในวิถีชีวิตปกติธรรมดาที่ดำเนินอยู่โดยทั่วไป

        ส่วนจิตเห็นธรรมหรือธัมมานุปัสสนา ก็คือการที่จิตหรือสติเห็นธรรม คือธรรมอันเป็นสภาวธรรมต่างๆหรือการพิจารณาธรรมเพื่อให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง อันย่อมเป็นเครื่องอยู่เครื่องอาศัยของจิตอันดีเลิศ ไม่ดำริพล่านออกไปภายนอกคือปรุงแต่ง  ทั้งยังให้เกิดปัญญาญาณความรู้ความเข้าใจอันแจ่มแจ้งขึ้นเป็นลำดับ เป็นที่สุด

        เมื่อกล่าวถึงการปฏิบัติในชีวิตประจำวันของทั้ง ๔ ก็เป็นเฉกเช่นเดียวกับจิตเห็นจิตดังข้างต้น กล่าวคือต่างก็ล้วนดีงาม ล้วนเป็นไปเพื่อยังประโยชน์เพื่อนิพพิทาญาณ เพื่อการปล่อยวางกันทั้งสิ้น  ดังนั้นเมื่อจิตหรือสติระลึกรู้ใน กาย เวทนา จิต ธรรม ใดๆก็เป็นการปฏิบัติที่ดี ที่ถูก ที่ควรทั้งสิ้น

        ส่วนเคล็ดลับของการปฏิบัติในสติปัฏฐานทั้ง ๔ หมายถึงขณะศึกษาปฏิบัติแบบเต็มรูปแบบ  ล้วนอยู่ที่การมีสติเป็นสำคัญ  จึงไม่ใช่การพยายามปฏิบัติให้เป็นสมาธิหรือฌานในระดับประณีตแต่อย่างใด  เพียงแต่อาจเกิดขึ้นบ้างเป็นธรรมดาเมื่อสติอ่อนเลื่อนไหลไปลงภวังค์ หรืออาจเข้าสู่ฌานสมาธิในระดับที่ละเอียดประณีตแต่ย่อมไม่อาจเจริญวิปัสสนาได้   จึงพึงตั้งกายตรง ดำรงสติให้มั่น ก็เพื่อมิให้เลื่อนไหลขาดสติไปลงภวังค์ หรือมิให้ง่วงงุนได้ง่ายๆนั่นเอง   และอาการตามดูหรือรู้ลมหายใจอย่างมีสตินั้น เช่นหายใจเข้ายาว ก็รู้ว่าเข้ายาว  ออกสั้นก็รู้ว่าออกสั้น หรือหยุดก็รู้ว่าหยุด ฯ. ดีกว่าการบริกรรมล้วนๆ เพราะสติที่เฝ้าติดตามทำหน้าที่อย่างดียิ่งย่อมได้ทั้งสติและสัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น ย่อมทำให้ไม่ง่วงงุนจนเลื่อนไหลไปลงภวังค์ได้ง่ายๆอีกเช่นกันนั่นเอง   ดังนั้นวิธีการต่างๆในการปฏิบัติที่แตกต่างกันไปตามครูบาอาจารย์นั้น ถ้าถูกต้องล้วนก็คืออุบายวิธีเพื่อให้มีสติตั้งมั่น ที่ย่อมได้สมาธิเป็นผลพลอยได้อีกด้วย,

        พึงระลึกว่าสติปัฏฐาน ๔  แท้จริงแล้ว 

        เป็นการอบรมจิต ให้มีสติตั้งมั่น คือสติที่ประกอบด้วยสัมมาสมาธิ ๑

        เมื่อประกอบด้วยสติตั้งมั่นดีแล้ว  ก็ย่อมเหมาะแก่การใช้งานคือการเจริญวิปัสสนาในธรรม  อันย่อมเป็นเครื่องหนุนให้เกิดปัญญา ๑

        สติปัฏฐาน ๔ จึงเป็นสมถวิปัสสนาอันดีเลิศ คือประกอบด้วยทั้ง สติ สมาธิ(สัมมาสมาธิ) และปัญญา

        ดังนั้นสติปัฎฐาน ๔ จึงเป็นการอบรมจิตให้มีสติให้ตั้งมั่น  แล้วยังประกอบด้วยการใช้สติ ที่ย่อมระงับแล้วซึ่งความดำริพล่านไม่ส่งออกไปฟุ้งซ่านปรุงแต่ง เป็นบาทฐานไปในการเจริญวิปัสสนาในธรรมให้เกิดปัญญาญาณ    ธรรมใดเล่า?  ก็กาย เวทนา จิต หรือธรรมใดๆ ที่ถูกต้อง ถูกจริต ดังเช่นที่แสดงไว้บ้างแล้วในธัมมานุปัสสนาบ้าง เช่น อริยสัจ ๔ ขันธ์ ๕ พระไตรลักษณ์ ฯ. หรือเป็นธรรมอื่นๆเช่น ปฏิจจสมุปบาท ฯ.   ส่วนในการปฏิบัติในการดำเนินในชีวิตประจำวัน นั้นก็เช่นกัน มีสติละความดำริพล่านแล้ว ก็มีสติหรือจิตเห็นกาย หรือเวทนา หรือจิต หรือธรรม อยู่เนืองๆในชีวิตประจำวันนั้นๆนั่นเอง แล้วประกอบด้วยการไม่ยึดมั่นถื่อมั่น ด้วยการอุเบกขาเป็นกลางวางทีเฉย ที่หมายถึง รู้สึกเป็นสุขหรือทุกข์อย่างไรไม่สำคัญเป็นไปตามธรรมหรือตามผัสสะที่เกิดขึ้นของมันเป็นธรรมดา  แต่ต้องไม่เอนเอียงเข้าไปแทรกแซง ด้วยถ้อยคิด หรือกริยาจิตใดๆในเรื่องนั้นๆ  แม้แต่การ เอ๊ะ  อ๊ะ

        แล้วเอ๊ะ  อ๊ะ คืออะไร?  บางครั้งแลดูราวกับว่าไม่ได้เกิดมโนกรรมความคิดนึกพวกฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งขึ้น  แต่การคิดเล็กน้อยแม้ดั่งการเอ๊ะ อ๊ะ ใดๆในจิตดังกล่าว แม้แลดูเหมือนว่าไม่มีโทษภัย  แต่ความจริงแล้วจิตแฝงด้วยความหมายอยู่ในที เพียงแต่ไม่เห็นจิตหรือกริยาของจิตนั่นเอง  การเอ๊ะอ๊ะจึงเป็นกริยาจิต เป็นมโนกรรมพวกความคิดนึกสงสัยหรือฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งอย่างหนึ่งที่แฝงอยู่นั่นเอง  จึงย่อมยังให้เกิดการผัสสะเป็นสุขเป็นทุกข์ขึ้นได้อีกครั้งเป็นธรรมดา ดังเช่น

        เอ๊ะ! (ทำไมถึงเป็นอย่างนี้  ไม่เป็นอย่างนั้นตามใจปรารถนา)

        เอ๊ะ! (ไม่น่าเลย)

        เอ๊ะ! (ทำไมถึงทำอย่างนี้กับฉันได้)

        อ๊ะ! (ต้องอย่างนี้สิ)

        ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวครอบคลุมว่า หยุดแทรกแซงด้วยทั้งถ้อยคิด แม้กริยาจิตดังเช่นการเอ๊ะอ๊ะดังกล่าว   และไม่ใช่หมายถึงการต้องหยุดคิดทั้งปวง   คิดเรื่องอื่นได้ แต่อย่าให้เป็นพวกมโนกรรมความคิดชนิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งไปไปในเรื่องนั้นๆที่ทำให้เกิดทุกข์  เช่นคิดพิจารณาในธรรมคือเห็นจิตที่เกิดขึ้นนี้  หรือคิดเรื่องกิจหรืองานใดๆอันควร ฯ.

        กล่าวโดยรวมแล้ว การมีสติหรือจิต อยู่กับสิ่งหนึ่งสิ่งใดในธรรมทั้ง ๔ ย่อมล้วนยังให้ระงับความดำริพล่านลงไปเสีย จิตหยุดการฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งต่างๆให้เกิดสุขทุกข์  แต่อยู่ในธรรมทั้ง ๔  ที่เมื่อสั่งสมย่อมยังให้เกิดสติแก่กล้าและถาวรขึ้นเป็นลำดับ  และเมื่อไม่ฟุ้งซ่านจิตย่อมสงบระงับเหมาะแก่การพิจารณาธรรมคือเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาเป็นที่สุด

        สติแก่กล้าและถาวร ที่หมายถึง ระลึกรู้ได้เร็ว อยู่เสมอๆ  สตินั้นก็เหมือนสังขารทั้งปวง เกิดดับๆๆ อยู่เสมอ กล่าวคือเมื่อเกิดการผัสสะขึ้นก็เกิดการระลึกรู้เท่าทันขึ้นเสมอๆ อันเกิดขึ้นจากการปฏิบัติสั่งสมนั่นเอง   หรือก็คืออาการของมหาสตินั่นเอง

สติ รู้เท่าทันระดับใด ที่ยังผลอันยิ่ง

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ