ธรรมเปรียบเหมือนแพ
พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑๒ |
|
พบห้วงน้ำใหญ่ ฝั่งข้างนี้ น่ารังเกียจ มีภัยตั้งอยู่เฉพาะหน้า
ฝั่งข้างโน้นเกษม ไม่มีภัย ก็แหละ เรือหรือสะพานสำหรับข้าม เพื่อจะไปสู่ฝั่งโน้น ไม่พึงมี
บุรุษนั้นพึงดำริอย่างนี้ว่า ห้วงน้ำนี้ใหญ่ แล ฝั่งข้างนี้น่ารังเกียจ มีภัยตั้งอยู่เฉพาะหน้า
ฝั่งข้างโน้นเกษม ไม่มีภัย ก็แหละเรือหรือ สะพานสำหรับข้าม เพื่อจะไปสู่ฝั่งโน้น ย่อมไม่มี
ถ้ากระไร เราพึงรวบรวมหญ้า ไม้ กิ่งไม้ และ ใบไม้มาผูกเป็นแพ
แล้วอาศัยแพนั้น พยายามด้วยมือและเท้า พึงข้ามถึงฝั่งได้โดยความสวัสดี.
ทีนี้แล บุรุษนั้นรวบรวมหญ้า ไม้ กิ่งไม้ และใบไม้มาผูกเป็นแพ
อาศัยแพนั้น พยายามด้วยมือ และเท้า พึงข้ามถึงฝั่งโดยความสวัสดี
บุรุษนั้นข้ามไปสู่ฝั่งได้แล้ว พึงดำริ อย่างนี้ว่า
แพนี้มี อุปการะแก่เรามากแล เราอาศัยแพนี้พยายามอยู่ด้วยมือและเท้า ข้ามถึงฝั่งได้โดยความสวัสดี
ถ้ากระไร เรายกแพนี้ขึ้นบนศีรษะ หรือแบกที่บ่า แล้วพึงหลีกไปตามความปรารถนา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
บุรุษนั้นผู้กระทำอย่างนี้ จะชื่อว่ากระทำถูกหน้าที่ในแพ นั้นบ้างหรือหนอ?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้อนั้นชื่อว่าทำไม่ถูก พระเจ้าข้า?
พระผู้มีพระภาค ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุรุษนั้นกระทำอย่างไร จึงจะชื่อว่าทำถูกหน้าที่ในแพนั้น?
ในข้อนี้ บุรุษนั้นข้ามไปสู่ฝั่งแล้ว พึงดำริอย่างนี้ว่า แพนี้มีอุปการะแก่เรามากแล
เราอาศัยแพนี้ พยายามอยู่ด้วยมือและเท้า จึงข้ามถึงฝั่งได้ โดยสวัสดี ถ้ากระไร
เราพึงยกแพนี้ขึ้นวางบนบก หรือให้ลอยอยู่ในน้ำแล้ว พึงหลีกไปตามความปรารถนา.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษนั้นกระทำ อย่างนี้แล จึงจะชื่อว่ากระทำถูกหน้าที่ในแพนั้น แม้ฉันใด.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราแสดงธรรม มีอุปมาด้วยแพ เพื่อต้องการสลัดออก ไม่ใช่เพื่อต้องการยึดถือ ฉันนั้นแล
เธอทั้งหลายรู้ถึง ธรรมมีอุปมาด้วยแพที่เราแสดงแล้วแก่ท่านทั้งหลาย
พึงละแม้ซึ่งธรรมทั้งหลาย จะป่วยกล่าวไปไยถึงอธรรมเล่า.
[๒๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุแห่งทิฏฐิ ๖ ประการเหล่านี้. ๖ ประการ เป็นไฉน?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนในโลกนี้ ผู้ไม่ได้สดับ
ไม่เห็นพระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้รับแนะนำในธรรมของพระอริยะ
ไม่เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับแนะนำแล้วในธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมพิจารณาเห็นรูปว่า
นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา (๑)
ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาว่า
นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา (๒)
ย่อมพิจารณาเห็นสัญญาว่า
นั่นของเรา เราเป็นนั้น นั่นเป็นอัตตาของเรา (๓)
ย่อมพิจารณาเห็นสังขารทั้งหลายว่า
นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา (๔)
ย่อมพิจารณา
เห็นรูปที่เห็นแล้ว เสียงที่ฟังแล้ว กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ทราบแล้ว อารมณ์ที่รู้แจ้ง(วิญญาณ)แล้ว
ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ใคร่ครวญแล้วด้วยใจว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั้นเป็นอัตตาของเรา
(๕) (หมายถึง เกิดความรู้แจ้งในสิ่งที่ผัสสะขึ้น
- วิญญาณ)
ย่อมพิจารณาเห็นเหตุแห่งทิฏฐิว่า นั้นโลก นั้นอัตตาในปรโลก เรานั่นจักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงที่ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เสมอด้วยความเที่ยงอย่างนั้นว่า นั่นของเรา เราเป็นนั่น นั่นเป็นอัตตาของเรา. (๖)
(กล่าวคือ แสดงเหตุว่า เกิดแต่ความเห็น(ทิฏฐิ)ผิดในเหล่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ และเราหรืออัตตาในปรโลก ว่าทั้ง ๖ นี้ เป็นอัตตาหรือตัวตนหรือของตัวของตน เมื่อเป็นอัตตาจึงย่อมมีความเที่ยง ฯ., ตามความเป็นจริงแล้วทั้ง ๖ ล้วนเป็นสังขาร สิ่งที่มีเหตุมาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นทั้งสิ้น เมื่อเป็นสังขารจึงย่อมอยู่ภายใต้ธรรมนิยามหรือพระไตรลักษณ์ กล่าวคือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงล้วนไม่ใช่อัตตา จึงไม่ใช่ของเราหรือของใครอย่างแท้จริง)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนอริยสาวกผู้สดับแล้ว ผู้เห็น พระอริยะทั้งหลาย
ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ได้รับแนะนำดีแล้วในธรรมของพระอริยะ
เห็นสัตบุรุษ ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ได้รับแนะนำดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ
ย่อมพิจารณา
เห็นรูปว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
ย่อมพิจารณา
เห็นเวทนาว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
ย่อมพิจารณาเห็นสัญญาว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
ย่อมพิจารณาเห็นสังขารทั้งหลายว่า
นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
ย่อมพิจารณาเห็นรูปที่เห็นแล้ว
เสียงที่ฟังแล้ว กลิ่น รส โผฏฐัพพะที่ทราบแล้ว อารมณ์ที่รู้แจ้ง(วิญญาณ)แล้ว
ถึงแล้ว แสวงหาแล้ว ใคร่ครวญแล้ว แล้วด้วยใจว่า นั่นไม่ใช่ของเรา
เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
ย่อมพิจารณาเห็นเหตุแห่งทิฏฐิว่า นั่นโลก นั่นตนในปรโลก เรานั้นจักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงที่ ไม่มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เสมอด้วยความเที่ยงอย่างนั้นว่า นั่นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่น นั่นไม่ใช่อัตตาของเรา
พระอริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมไม่สะดุ้ง ในเพราะสิ่ง ที่ไม่มีอยู่.
|