กระดานธรรม ๓/๒

 

คลิกขวาเมนู

        อัตตา, อาตมัน แปลว่า ตัวตน ;  โดยปกติแล้วกล่าวได้ว่าโดยสภาวธรรมชาติของปุถุชนอันมีมาแต่การเกิด ย่อมยึดมั่นมองเห็นชีวิต ซึ่งก็คือขันธ์๕ ว่าขันธ์ใดขันธ์หนึ่ง หรือทั้งหมด อีกทั้งสังขารอื่นๆ ว่าเป็นอัตตาคือตัวตนหรือเป็นของตัวของตนอย่างแท้จริง  หรือยึดถือว่าอัตตา(ตัวตน,หรือเป็นของตัวตน)ไปเนื่องด้วยขันธ์ ๕ โดยอาการอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังเช่น ความเชื่อถือความยึดถือในวิญญาณในลักษณาการของเจตภูต ก็คือ ความเชื่อว่าวิญญาณอันเป็นกองหนึ่งของขันธ์ ๕ เป็นอัตตาหรือเป็นของตัวตน,  หรือการเชื่อว่าตัวตนเป็นของตน ที่มีมาแต่กำเนิดโดยไม่รู้ตัว อีกทั้งเพราะว่า สามารถกระทำ(กรรม)ต่างๆผ่านรูปขันธ์ อีกทั้งความคิดนึกต่างๆได้  แต่แท้จริงเป็นเพียงสังขารขันธ์ ที่ไปปรุงแต่งจิตให้เกิดสัญเจตนาให้เกิดการกระทำ(กรรม)ทางกาย วาจา ใจ ต่างๆได้ดังประสงค์  ดังนั้นจึงแอบเกิดหลงเข้าใจไปโดยไม่รู้ตัวว่า ชีวิตจึงย่อมเป็นของเรา เป็นของตัวตน หรืออยู่ในอำนาจตน,  อนึ่งพึงระลึกเข้าใจด้วยว่า ความเชื่อ,ความคิดเห็นในเรื่องอัตตาดังนี้ มีทั้งที่เกิดขึ้นและเป็นไปอย่างรู้ตัวด้วยเข้าใจผิด และเป็นไปในลักษณะนอนเนื่องอยู่ในจิต มีความเชื่อหรือทิฏฐินี้อยู่แต่ไม่รู้ตัว  แต่พร้อมที่จะเกิดขึ้นมาหรือพลุ่งพล่านขึ้นมาซึมซ่านย้อมจิตเมื่อประสบกับอารมณ์ต่างๆ จึงเป็นไปในลักษณะเดียวหรืออันเดียวกับอาสวะกิเลสนั่นเอง จึงเป็นไปด้วยอวิชชาเช่นกัน คือ เกิดขึ้นและเป็นไปเช่นอาสวะกิเลสด้วยความไม่รู้ และโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

        ในครานี้ แม้เรามากล่าวกันเรื่องอัตตาก็จริงอยู่  แต่พึงรู้ระลึกด้วยว่าอัตตานั้นไม่มี  บทความนี้ตามความจริงแท้แล้ว จึงเป็นการกล่าวถึง ความเข้าใจผิดว่ามันมีอัตตา  เหตุที่กล่าวดังนี้ เพราะว่าเมื่อมาพูดจากันเรื่องอัตตา ก็มักเกิดมายาของจิตว่ามันมีอัตตานั่นเอง  มันลืมไปว่าที่มาพูดกันแทบตาย ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่า อัตตานั้นไม่มี ดังเช่น มักมีคำถามว่า ตัวตนเป็นอนัตตา ดังนั้นอนัตตากระทำอะไรแล้ว ก็ย่อมไม่มีตัวตนหรืออัตตามารับกรรม? (อ่านเหตุผลในวิบากกรรม)  หรือทำไมวิบากกรรมย่อมเป็นอนัตตาแต่มาถูกต้องตัวตนอัตตาได้!  อันเป็นไปดั่งอัตตวาทุปาทาน ที่กล่าวไว้ในปฏิจจสมุปบาทธรรมนั่นเอง   เพราะแท้จริงแล้วคำถามที่สงสัยใคร่รู้เหล่านั้น ตั้งอยู่บนความเข้าใจที่ผิดที่คลาดเคลื่อนเสียแต่แรกแล้ว ก็ด้วยที่ว่า

        แม้ว่าแท้จริงแล้ว ตัวตน แม้มีอยู่จริงๆ แต่มีอยู่แค่ชั่วระยะเวลาๆหนึ่ง และตัวตนนี้ไม่ใช่ตัวตนของมันเองอย่างโดยแท้จริง  มันเป็นตัวตนที่เกิดจากองค์ประกอบย่อยมาประชุมรวมกัน หรือเกิดแต่เหตุปัจจัยมาปรุงแต่งกัน  ตัวตนนี้จึงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆอันแสนแปรปรวนเหล่านั้น  เมื่อไม่มีตัวตนจริงแท้จึงครอบครองเป็นเจ้าของไม่ได้ จึงล้วนไม่ขึ้นอยู่กับเราหรือใครๆ  ท่านจึงกล่าวในขั้นปรมัตถ์ว่าไม่มีตัวตน ไม่ใช่ของตัวของตน จึงไม่เป็นไปตามใจปรารถนา จึงอย่าไปยึดมั่นถือมั่นใดๆในโลกนี้นั่นเอง

ธรรมทั้งปวงล้วนอนัตตา  แล้วจะไปกระทบอัตตาที่ไหนได้เล่า!

        ธรรมนิยามหรือพระไตรลักษณ์ เป็นกฏของธรรมชาติหรือวิสัยของโลกอยู่ไว้ว่า ธรรมหรือสิ่งทั้งหลายทั้งปวงล้วนเป็นอนัตตา,  อนัตตาจึงเป็นสภาวธรรมที่แย้งหรือตรงข้ามกับอัตตาโดยตรงที่สุด,  ส่วนชีวิตหรือขันธ์หรือเบญจขันธ์ที่ปุถุชนพากันหลงไปยึดไปถือกันว่าเป็นอัตตากันโดยไม่รู้ตัวนั้น ก็เนื่องด้วยอวิชชานั่นเอง  ทั้งๆที่ชีวิตหรือขันธ์ หรือขันธ์ทั้ง๕ หรือเบญจขันธ์ ทั้งหมดหรือแม้แต่ละกองของขันธ์ ๕ ก็ตามที ล้วนเป็นสังขารจึงเป็นอนัตตา แต่ถูกมายาจิตหลอกลวงสวมเขามาให้ตั้งแต่เริ่มรู้ความ ให้ไปหลงคิดหลงยึดหลงเข้าใจเอาไปเองอย่างผิดๆด้วยมายาว่า ขันธ์ ๕ หรือส่วนหนึ่งส่วนใดของขันธ์ ๕ ดังเช่น ร่างกาย(รูปขันธ์), เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณ ฯ. ว่าเป็นอัตตาตัวตน หรือเป็นของตัวตน เป็นเรา เป็นของเรา

        สังขารทั้งปวงย่อมเป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา แต่เมื่อมาเกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับชีวิตหรือขันธ์ ๕ แล้ว จิตหรือใจไม่ใคร่จักยอมน้อมเป็นไปดังความเข้าใจในธรรมที่เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งดียิ่งพอควรว่าเป็นอนัตตา เพราะความที่เกิดแต่การมีเหตุมาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้น จึงย่อมเป็นสังขารโดยธรรม(ธรรมชาติ)ที่ย่อมอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา,  ก็ด้วยเหตุดังที่กล่าวไว้ข้างต้น คือ ความเห็นผิดหรือมิจฉาทิฏฐิว่าชีวิตหรือขันธ์ ๕ เป็นอัตตานั้น เป็นไปแบบนอนเนื่องอยู่ดั่งอาสวะกิเลสนั่นเอง ที่ตกตะกอนนอนก้นอยู่ เพียงรอเวลาที่จะฟุ้งขึ้นมาเมื่อถูกกวน และย่อมมีความรุนแรงกว่าทิฏฐิในสังขารสิ่งปรุงแต่งอื่นๆทั้งปวง เพราะย่อมประกอบด้วยอุปาทานความยึดมั่นด้วยกิเลสว่า ตัวตน ของตน ตัวกูของกู ด้วยความไม่อยากหรือวิภวตัณหาด้วยความกลัวว่าตัวตนหรือตัวกูจะดับสูญ หรือไร้คุณค่านั่นเอง,   ครานี้จึงเป็นการมองเข้าไปในชีวิตหรือขันธ์ ๕ ทั้งปวงกันโดยตรงๆเลยทีเดียว  ก็เพื่อลบล้างมิจฉาทิฏฐิความเชื่อผิดๆที่ฝังรากนอนเนื่องที่มักคอยฟุ้งขึ้นมาซึมซาบย้อมจิตเมื่อเกิดการผัสสะ ให้หลงผิดไปว่าขันธ์ ๕ หรือชีวิตเป็นอัตตาตัวตน หรือเป็นของตัวของตน

โยนิโสมนสิการหรือพิจารณาอัตตาในขันธ์ ๕ เพื่อละอัตตาในสักกายทิฏฐิ

        สักกายทิฏฐิ คือ ความคิด ความเห็น ความเชื่อ ความเข้าใจว่า ร่างกาย, หรือว่าส่วนหนึ่งส่วนใดของขันธ์ ๕, หรือแม้แต่ชีวิตคือขันธ์ทั้ง ๕ ว่าเป็นอัตตา เป็นตัวตน หรือเป็นของตัวตน อย่างแท้จริง,  จัดเป็นสังโยชน์ข้อแรกของธรรมหรือสิ่งที่มัดสัตว์ไว้ให้อยู่กับกองทุกข์ ไม่ให้ดิ้นหลุดไปได้,  ครานี้จึงเป็นการจำแนกแตกธรรมกันเรื่องอัตตา ที่มีสภาวะตรงข้ามหรือขัดแย้งหรือเป็นปฏิปักษ์กับอนัตตา ว่าอัตตามีความหมายเยี่ยงไรกันแน่  พระบรมศาสดาจึงกล่าวแย้งว่า ธรรมทั้งปวงล้วนอนัตตา  โดยเฉพาะจะกล่าวเน้นในสิ่งที่มีความเชื่อความเข้าใจความยึดถือใกล้ตัวที่สุด และรุนแรงที่สุด คือ ชีวิตหรือตัวตนหรือขันธ์ ๕ ที่ย่อมครอบคลุมแม้รูปขันธ์หรือกองร่างกายด้วย เพื่อการบรรเทาหรือลดละในสักกายทิฏฐิ

การพิจารณา

        ควรอ่านพิจารณาเรื่องอัตตานี้ โดยแยบคาย  เวลาพิจารณาต้องพิจารณาหลายๆครั้ง เนื่องจากความซับซ้อน ซ่อนเงื่อนไขด้วยมายาของจิต จึงหักมุม เพราะซ่อนความรู้ที่ตรงข้ามกับความคิดความเห็นเดิมๆ หรือความเข้าใจทั่วๆไปทางโลกที่มีอยู่เดิมๆแต่ไม่รู้ตัว  จึงทำให้ถ้าแลดูเผินๆ ในข้อธรรมที่จักกล่าวต่อไปเหมือนไร้สาระไม่มีแก่นสาร หรือเหมือนดังน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรง,  แต่กาลกลับไม่เป็นไปเช่นนั้นเพราะถ้าพิจารณาโดยแยบคายหลายๆครั้งด้วยความเพียร ย่อมบังเกิดธรรมสามัคคีได้เป็นอัศจรรย์,  จึงเป็นเรื่องที่พระองค์ท่านทรงตรัสสอนอยู่เนืองๆเป็นอเนกในพระไตรปิฏกว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ล้วนไม่ใช่อัตตา จึงไม่ใช่ของตน ไม่ใช่เป็นตน ไม่ใช่อัตตาตัวตน   ตัวตนที่เห็นหรือผัสสะได้เหล่านั้นล้วนไม่ใช่ตัวตนของมันเองจริงๆ เป็นเพียงมวลรวม(ฆนะ)กลุ่มก้อนของการประกอบกันขึ้นขององค์ประกอบย่อยๆ หรือก็คือจากเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นเพียงชั่วระยะหนึ่งๆ  แท้จริงจึงไม่ใช่ตัวตนของมันเองจริงๆ ดังนั้นจึงขึ้นอยู่กับเหล่าเหตุปัจจัยเหล่านั้นตามหลักอิทัปปัจยตา เราจึงไม่สามารถครอบครองเป้นเจ้าของมันได้อย่างแท้จริง  จึงไม่ใช่ของเราและไม่ขึ้นอยู่กับเราหรือผู้ใด

        คำว่าอัตตา หรือตัวตน,ของตัวตน หรืออาตมันในลัทธิพราหมณ์ ล้วนมีความหมายเดียวกัน  เป็นลัทธิหรือสภาวะของความเชื่อความเข้าใจที่เกิดมาช้านาน หรือเป็นสภาวธรรมของมนุษย์อย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นมาแต่อวิชชาความไม่รู้ อันเนื่องมาจากความกลัว กลัวความสูญ หรือดับสูญไป อันเป็นสภาวธรรมหรือสัญชาตญาณของสัตว์ทั้งปวงประการหนึ่ง  ตลอดจนการแฝงเข้ามาในขณะดำเนินชีวิต ซึ่งเกิดขึ้นและเป็นไปด้วยอวิชชาและโดยไม่รู้ตัว ดังจะได้กล่าวต่อไป

        ความเชื่อว่าชีวิตหรือขันธ์เป็นอัตตา หรือขันธ์ใดขันธ์หนึ่งว่าเป็นอัตตาโดยเฉพาะอย่างยิ่งวิญญาณอันเป็นขันธ์หนึ่งของขันธ์ ๕ ว่าเป็นอัตตา   อัตตาที่มีความหมายว่า ตัวตน จึงย่อมครอบคลุมถึงความหมายที่ว่าเป็นของตัวของตนด้วย  เมื่อเป็นตัวตนหรือของตนจึงย่อมหมายถึง การมีตนเป็นใหญ่นั่นเองที่ย่อมควรต้องควบคุมบังคับบัญชาตัวตนหรือสิ่งที่เป็นของตัวตนได้อย่างแท้จริงตามปรารถนาอีกด้วย

        ในเมื่อสิ่งใดที่เป็นอัตตาแล้ว ย่อมหมายถึงว่า สิ่งนั้นๆเป็นตัวตนหรือเป็นของตัวของตนแล้ว ในเมื่อเป็นดังกล่าวนี้ จึงย่อมมีความหมายว่า สิ่งที่เป็นตัวตนหรือสิ่งที่เป็นของตัวของตนนั้น ย่อมต้องอยู่ภายใต้บังคับบัญชาของตนจริงๆ ไม่ใช่ไปขึ้นอยู่กับสิ่งอื่นๆ หรือเหตุปัจจัยอื่นๆ  เหตุปัจจัยอื่นๆจึงไม่สำคัญ  ความสำคัญหรือการบังคับบัญชาจึงควรอยู่กับอัตตาหรือตนเป็นสำคัญ  แต่กาลกลับตรงข้ามเสีย มิได้เกิดขึ้นและเป็นไปดังนั้นเลย  ดังนั้นจึงขอจำแนกแตกธรรมโดยละเอียดในชีวิตหรือก็คือขันธ์ ๕ นั่นเองว่า เป็นอัตตา หรือมีส่วนใดส่วนหนึ่งในขันธ์ ๕ เช่น วิญญาณเป็นอัตตาอย่างแท้จริงหรือไม่?   หรือล้วนเป็นอนัตตาดังที่พระองค์ท่านได้ทรงตรัสไว้?

         ขันธ์ ๕ หรือชีวิต ที่พระองค์ท่านจำแนกแจกแจงชีวิต เพื่อให้เห็น ให้เข้าใจได้ง่าย ประกอบด้วยส่วนใหญ่ๆที่จำเป็น ๕ กองหรือขันธ์  ดังนี้  รูปหรือรูปขันธ์๑  เวทนาขันธ์๑  สัญญาขันธ์๑  สังขารขันธ์๑  วิญญาณขันธ์๑  ที่ทำงานประสานหรือเนื่องสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลาที่ยังดำรงขันธ์หรือชีวิตอยู่ กล่าวคือ ชีวิตเกิดขึ้นและดำเนินอยู่ได้ก็ด้วยจากการเป็นเหตุปัจจัยของขันธ์ทั้ง ๕ นี้เอง เมื่อใดที่ขันธ์ทั้ง ๕ นั้นไม่เป็นเหตุปัจจัยกันเสียเมื่อไร ก็เป็นกาลแตกดับไป หรือถึงกาละความตายนั่นเอง  ดังนั้นชีวิตจึงเป็นสังขารสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาอย่างแน่นอนนั่นเองเพราะความที่เกิดมาแต่เหตุปัจจัยมาปรุงแต่งกันขึ้นมาดังที่กล่าวนั่นเอง  ตามที่เล่าเรียนหรือทฤษฏีนั้น เมื่อเป็นสังขารจึงย่อมตกอยู่ในอำนาจของธรรมนิยามหรือพระไตรลักษณ์ กล่าวคือ ย่อมอนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา, จึงย่อมไม่ใช่อัตตาหรือตัวตนหรือของตัวตนที่มีความหมายตรงกันข้ามกัน,  เมื่อนำมาโยนิโสมนสิการจริงๆแล้ว  ย่อมเห็นความเป็นอนัตตาที่ควบคุมบังคับบัญชาชีวิตไม่ได้อย่างแท้จริงแต่อย่างใด  ดังนั้นชีวิตจึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยปรุงแต่งของขันธ์ทั้ง ๕ ที่เกิดขึ้นและเป็นไป กล่าวคือ เป็นไปตามวิบากของกรรม ซึ่งย่อมเกิดขึ้นมาแต่สังขารขันธ์ที่เป็นปัจจัยปรุงจิตให้เกิดการกระทำอันเป็นสิ่งปรุงแต่งขึ้นจากขันธ์ทั้ง ๕ กอง ดังเช่น อยากให้ชีวิตหลุดพ้นจากกองทุกข์ ก็ต้องลงมือกระทำปฏิบัติหรือสังขารขันธ์ขึ้นนั่นเอง จึงจะได้รับผลนั้นตามกรรม,  ดังนั้นชีวิตจึงไม่ใช่อัตตา ไม่ใช่ตัวตนของตนที่จะไปบังคับบัญชาให้เป็นนั่นเป็นนี่อย่างดื้อๆด้านได้อย่างแท้จริง แต่ต้องทำเหตุกล่าวคือลงมือกระทำหรือสังขารขันธ์ขึ้นหรือปฏิบัติขึ้นทั้งสิ้น ย่อมไม่สามารถบังคับบัญชาได้โดยอาศัยแต่ใจปรารถนา  ชีวิตหรือขันธ์ทั้ง ๕ ที่เนื่องสัมพันธ์หรือเป็นเหตุปัจจัยกันอยู่นั้น จึงเป็นอนัตตาดังนี้   ต่อไปนี้เราจะมาจำแนกแตกธรรมของชีวิตหรือขันธ์ ๕ ออกมาแต่ละขันธ์ ว่ามีขันธ์ใดขันธ์หนึ่งหรือไม่ ที่เป็นอัตตาตัวตนอย่างแท้จริง

        ๑. รูปขันธ์ ที่หมายถึงส่วนร่างกายตัวตน  ไม่ใช่อัตตา แต่ในความรู้สึกในความเข้าใจแล้วจะรู้สึกราวกับว่าเป็นอัตตาหรือเป็นของตัวตน ถ้าพิจารณาโดยผิวเผินแล้วก็น่าจะเป็นไปดังนั้นจริงๆเพราะความที่ไปสั่งรูปขันธ์ให้มันซ้ายหัน รูปมันก็หัน  สั่งมันขวาหัน มันก็หัน ฯ. จึงเกิดความสับสนหรือมายาล่อลวงให้เห็นผิดขึ้นว่า รูปขันธ์อยู่ในความควบคุมดังใจปรารถนาของตัวตน ซึ่งแท้จริงแล้วเป็นเพียงการกระทำหรือกริยาที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง,  รูปขันธ์ ถ้าไม่กระจ่างว่าเป็นอย่างไรกันแน่ ก็ให้นึกภาพของคนที่เพิ่งตายใหม่ๆที่มีร่างกายสมบูรณ์อยู่ยังไม่แตกสลาย นั่นแหละส่วนหรือกองของรูปหรือรูปขันธ์แท้ๆล้วนๆ ที่ยังไม่อิงหรือยังไม่ประกอบด้วยเหตุปัจจัยร่วมกับขันธ์อื่นอีก ๔ ขันธ์  ที่พระองค์ท่านผู้ทรงมีพระปัญญาญาณยิ่ง ได้ทรงพิจารณาเห็นในสิ่งเหล่านี้อย่างแจ่มแจ้งว่า ล้วนเป็นอนัตตา เพราะความที่เกิดแต่เหตุปัจจัย กล่าวคือเกิดแต่มหาภูตรูปหรือธาตุ ๔ มาประชุมปรุงแต่งกันขึ้นมา จึงเป็นสังขารอย่างหนึ่ง ที่ย่อมอยู่ภายใต้ธรรมนิยามหรือพระไตรลักษณ์ กล่าวคือ ย่อมอนิจจังไม่เที่ยง ทุกขังทนอยู่ไม่ได้จึงดับไป อนัตตาไม่ใช่ตัวใช่ตนหรือไม่มีตัวตนอย่างแท้จริง ตัวหรือตนที่เห็นหรือผัสสะได้ด้วยอายตนะใดๆก็ตามทีล้วนเป็นเพียงกลุ่มหรือก้อนหรือฆนะของเหตุที่มาประชุมปรุงแต่งรวมกันอยู่ชั่วขณะหนึ่งๆตามธรรมของสิ่งนั้นๆ  จึงย่อมอิงหรือขึ้นอยู่ภายใต้อิทธิพลของสิ่งต่างๆคือเหตุที่มาเป็นปัจจัยกันได้ประชุมกันขึ้นมานั่นเอง  จึงขึ้นต่อเหตุปัจจัย  จึงไม่สามารถมีอยู่ได้โดยลำพังตัว  จึงเป็นไปโดยสัมพันธ์ อิงอาศัยกันอยู่กับสิ่งอื่นๆ  จึงไม่ได้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของอัตตาหรือตัวตนหรือตนที่หมายถึงเราหรือของเราเลย  ดังนั้น พระองค์ท่านจึงตรัสอยู่เนืองๆในเรื่องรูป คือรูปขันธ์ไว้เป็นอเนก ดังนี้ว่า

.......อริยสาวกผู้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้  เป็นผู้ได้เห็นพระอริยะ  ฉลาดในธรรมของพระอริยะ  ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ

ได้เห็นสัตบุรุษ  ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ  ฝึกดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ

ย่อมไม่เล็งเห็นรูป(รูปขันธ์)โดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง ไม่เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้าง........

(ภัทเทกรัตตสูตร)

        เมื่อนำรูปหรือรูปขันธ์มาพิจารณาโดยแยบคายหรือโยนิโสมนสิการ  โดยอย่าไปน้อมเชื่อในพระคัมภีร์ หรือข้อเขียนนี้ด้วยอธิโมกข์ แต่ขอให้เกิดจากการโยนิโสมนสิการอย่างหาเหตุหาผลจริงจัง ก็จะพบความจริงยิ่งว่า รูปไม่เป็นอัตตาจริง เพราะตนย่อมบังคับบัญชาในรูปไม่ได้  รูปไม่ได้อยู่ในอำนาจของอัตตาหรือตนโดยตรง กล่าวคือ จะไปบังคับบัญชาในรูปไม่ได้เลยว่า ขอรูปจงเป็นอย่างนี้เถิด  ขอรูปจงอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย  ขอรูปจงได้อย่าได้อาพาธเจ็บป่วยเลย  ขอรูปจงอย่าแก่อย่าเฒ่าเลย  ขอรูปจงอย่าแตกดับเลย  ก็ย่อมไม่สมปรารถนาดังที่หวังเป็นที่สุด   พิจารณาแล้วก็จริงอยู่ดังนี้จริงๆ  และยังเป็นที่รู้ๆกันโดยนัยๆอยู่โดยทั่วไปในปุถุชนตลอดจนบุคคลต่างศาสนาเสียอีกด้วย  แต่เพราะอวิชชาจึงถูกมายา พาปุถุชนล้วนสิ้นให้ถูกครอบงำให้เห็นผิดเพี้ยนความจริงไปโดยไม่รู้ตัว  ก็เพราะการที่ไปเห็น,เข้าใจ,ใช้งานบ่อยๆเสมอๆว่า เราเองหรือชีวิตหรือขันธ์ที่ประชุมกันแล้วนี้  สามารถบังคับบัญชาควบคุม รูปขันธ์หรือร่างกายตัวตน ให้กระทำในสิ่งต่างๆได้  ซ้ายหัน  ขวาหัน  เดิน  กิน  นอน  ยืน  นั่ง กระโดด  หรือให้กระทำต่างๆนาๆได้ดังใจ  จึงเกิดมายาของจิตที่เกิดจากการสั่งสมมาอย่างยาวนานจนรุนแรงพอให้พาลไปหลงผิดหลงยึดโดยไม่รู้ตัวไปว่า ควบคุมบังคับบัญชาในรูปขันธ์ได้  จึงเห็นผิดหรือหลงผิดไปว่ารูปขันธ์เป็นของตัวตน ว่าอยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน   แต่ไม่ใช่เลย  การกระทำทุกชนิดโดยรูปขันธ์นั้น ล้วนเกิดแต่การไปเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับขันธ์อื่นๆทั้งสิ้น เป็นเพียงสังขารขันธ์ ที่ยังให้เกิดการกระทำต่างๆ ที่อาศัยกองรูปขันธ์เป็นเหตุปัจจัยร่วมด้วยเท่านั้นเอง   เมื่อต้องอาศัยรูปขันธ์เป็นปัจจัยอย่างหนึ่งร่วมด้วยกับขันธ์อื่นๆ จึงเป็นเพียงแค่การบังคับบัญชาได้แค่การกระทำ(กรรม)ของรูปขันธ์ ที่อาศัยขันธ์ต่างๆร่วมเป็นปัจจัยด้วยขึ้นมาได้เท่านั้น  เพราะอวิชชาความไม่รู้จึงถูกมายาของจิตหลอกลวงให้ลุ่มหลงไปว่า สามารถควบคุมบังคับรูปขันธ์ได้อย่างแท้จริง ลืมเลือนไปโดยไม่รู้ตัวว่ารูปขันธ์ไม่เกิด ไม่แก่ ไม่ตาย ฯ.ไม่ได้  จึงครอบคลุมหลงผิดไปกันว่า สามารถบังคับบัญชาได้อย่างแท้จริงในรูปขันธ์  จึงย่อมไม่สมดังหวังเป็นที่สุด,  อาการมายาของจิตที่เกิดขึ้นและเป็นไปดังนี้  จึงเป็นไปเฉกเช่นดังการเกิดขึ้นและเป็นไปของการเกิดขึ้นแห่งอัตตวาทุปาทานในอุปาทาน ๔ นั่นเอง คือคำพูดคำจาว่าเป็นเรา ของเรา จนเกิดมายาจิตคิดเห็นเป็นไปดั่งนั้นโดยไม่รู้ตัว

        จึงขอกล่าวสรุป กันความสับสน ของการเกิดมายาจิต ไว้ดังนี้ว่า การคิด การเดิน นอน นั่ง วิ่ง ดื่ม กิน อาบน้ำ ซ้ายหัน ขวาหัน ฯลฯ.  ที่เราท่านสามารถบังคับบัญชาให้รูปหรือกองรูปขันธ์กระทำการต่างๆดังนั้นได้ตามใจปรารถนานั้น  เช่น อยากนั่ง รูปขันธ์ก็ได้นั่งลง, อยากนอน รูปขันธ์ก็ได้นอนลง ดังใจปรารถนา  จึงเกิดความเข้าใจผิดหลงคิดไปว่าสามารถบังคับบัญชารูปขันธ์ได้ตามใจปรารถนา คือเรากล่าวรูปขันธ์ในมุมมองถึงสภาวธรรมการเกิดการดับ แต่การกระทำต่างๆดังกล่าวเป็นเพียงกริยา แท้จริงจึงนำมาเปรียบเทียบกันไม่ได้  จึงเกิดมายาขึ้นว่า รูปเป็นอัตตาหรือเป็นของตัวตนจริงขึ้นมา จึงเกิดสักกายทิฏฐิขึ้นโดยไม่รู้ตัวอันเป็นสภาวธรรมของปุถุชนด้วยเป็นสังโยชน์ข้อแรก  แต่สิ่งที่กระทำต่างๆเหล่านั้นล้วนเป็นผลจากสังขารขันธ์ที่มีผลทำให้เกิดกายกรรม(การกระทำทางกาย)ที่อาศัยกองรูปขันธ์ด้วยเท่านั้น ไม่ใช่ตัวใช่ตนของรูปขันธ์,  รูปจึงไม่ใช่อัตตา เพราะควบคุมบังคับบัญชาได้แต่กริยาหรือกรรม(การกระทำ)ต่างเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่สามารถบังคับบัญชาได้ว่า รูปขันธ์เอ๋ย เจ้าจงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย จงอย่าได้แก่ อย่าได้เจ็บ อย่าได้ป่วย อย่าได้ตาย ย่อมไม่สมปรารถนาเป็นที่สุด  ถ้าควบคุมบังคับดังนั้นได้ก็ถือว่ารูปขันธ์นั้นเป็นอัตตา เป็นเรา เป็นของเราอย่างแท้จริง

        อนึ่งความเชื่อ ความเข้าใจ ความเห็น ในเรื่องอัตตาต่างๆเหล่านี้นั้น  ล้วนเป็นไปในลักษณะสัญญาหรือความจำได้,หมายรู้ชนิดนอนเนื่อง ดังที่กล่าวไว้ข้างต้นบ้างแล้ว  ที่จักเกิดขึ้นย้อมจิตเมื่อกระทบกับอารมณ์ จึงฟุ้งขึ้นมา จึงเป็นไปในลักษณาการของอาสวะกิเลสในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง  ด้วยอวิชชา จึงย่อมไม่รู้ว่ามีความคิด,ความเห็น,ความเข้าใจหรือทิฏฐิในอัตตาดังกล่าวข้างต้น แอบซ่อนนอนเนื่องอยู่ในตนแม้แต่น้อย แต่เมื่อประสบอารมณ์ที่เนื่องสัมพันธ์กับอัตตา จึงพลุ่งพล่านออกมา !!!

         รูปขันธ์หรือกายนั้น แม้แลดูประหนึ่งว่าเป็นตัวตน เป็นของตัวตนเราเองจริงๆ  แต่ความจริงยิ่งแล้ว  เป็นเพียงกลุ่มหรือก้อน(ฆนะ)ของเหตุคือธาตุ ๔ ที่มาประชุมปรุงแต่งเป็นปัจจัยกัน  รูปขันธ์จึงขึ้นหรืออิงอยู่กับเหตุคือธาตุ ๔   จึงไม่ได้ขึ้นหรืออิงอยู่กับตัวตนที่หมายถึงความเป็นเราหรือของเรา   รูปขันธ์หรือตัวตนของเรา จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง  จึงมีพระดำรัสอยู่เนืองๆในขันธ์ ๕ ว่า

นั่นก็ไม่ใช่เรา  เราก็ไม่ใช่นั่น  นั่นจึงไม่ใช่ตัวใช่ตนของเรา

        ๒. เวทนาหรือเวทนาขันธ์ เป็นขันธ์หรือส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ทำหน้าที่เสวยอารมณ์ หรือก็คือ การรับรู้ ที่ย่อมเกิดขึ้นจากการไปผัสสะกับอารมณ์ต่างๆ  เวทนาไม่ใช่อัตตา ดังความในพระสูตรที่แสดงอยู่เนืองๆ

อริยสาวก....ย่อมไม่เล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีเวทนาบ้าง ไม่เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง....

(ภัทเทกรัตตสูตร)

        เมื่อนำเวทนาขันธ์หรือเวทนามาโยนิโสมนสิการโดยแยบคาย  โดยอย่าไปน้อมเชื่อด้วยอธิโมกข์ แต่ให้เกิดจากการโยนิโสมนสิการเช่นเดียวกับรูปขันธ์ ก็จะเห็นประจักษ์ได้ด้วยตนเองว่า เวทนาไม่เป็นอัตต เพราะถ้าเวทนาเป็นอัตตาหรือตัวตนย่อมบังคับบัญชาในเวทนาโดยตรงได้ว่า  ขอเวทนาจงเป็นสุขจงเป็นสุขอย่างนี้เถิด  ขอทุกขเวทนาจงอย่าได้เกิดขึ้นเลย   แต่ย่อมไม่ได้ตามปรารถนานั้น เพราะเวทนาเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงเป็นสังขาร เป็นอนัตตา จึงอิงหรือขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่มาประชุมกัน เช่น อายตนะต่างๆ, สัญญา ฯ. จึงไม่ได้อิงอยู่กับอัตตาหรือตัวตนเป็นผู้บังคับโดยตรง  เพราะเมื่อขาดเหตุมาเป็นปัจจัยกันเหล่านี้เสีย เวทนาก็ย่อมไม่เกิด

เวทนาจึงเป็นสังขาร เกิดแต่เหตุปัจจัยอันมี....อายตนะภายนอก    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป อายตนะภายใน    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ จึงมี วิญญาณของอายตนะภายใน วิญญาณ๖    การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓  เรียกว่าผัสสะผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมี    สัญญา    เป็นปัจจัย จึงมี    เวทนา

หรือเขียนอย่างย่นย่อ ดังนี้.....อายตนะภายนอก    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป อายตนะภายใน    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ จึงมี วิญญาณของอายตนะภายใน วิญญาณ๖    การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓  เรียกว่าผัสสะผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมี    เวทนา

ความรู้สึกว่าหรือความเข้าใจผิดไปว่า เวทนาเป็นอัตตาของตัวตนนั้น เริ่มสั่งสมนอนเนื่องตั้งแต่ทารกด้วยอวิชชาอันย่อมมีมาแต่การเกิดเป็นธรรมดาหรือตถตา กล่าวคือ เมื่อมีสุข มีทุกข์กระทบเข้า ย่อมเกิดความรู้สึกรับรู้ดั่งนั้นๆขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อเป็นสุขเวทนา ก็ถูกใจ ชอบใจ อยากให้คงอยู่กับตัวตน  แต่ไม่รู้ด้วยอวิชชาว่า ตามความเป็นจริงแล้ว ไม่ใช่ของตัวตนหรืออัตตา แต่เกิดมาแต่มีเหตุปัจจัยข้างต้นประชุมกันจึงเกิดขึ้น ไม่มีเหตุปัจจัยเสียก็ไม่เกิดขึ้น  เวทนาจึงอิงหรือขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยโดยตรง  จึงไม่ได้อิงหรือขึ้นอยู่กับอัตตาหรือตัวตน  จึงย่อมเลือกไม่ได้ในสุขเวทนา ไม่เอาทุกขเวทนา

        ความรู้สึกหรือเวทนาที่ผัสสะได้  จึงไม่ใช่เรา  เพราะเกิดแต่เหตุปัจจัยดังข้างต้น จึงขึ้นหรืออิงอยู่กับเหตุดังกล่าวที่มาเป็นปัจจัยกันนั่นเอง   ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรา ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง

        จากความเข้าใจว่าเวทนาไม่ใช่อัตตาดังนี้ จึงได้หลักปฏิบัติที่ดียิ่งถ้าพิจารณาเห็นความจริงว่า  เมื่อคิดปรุงแต่งคือฟุ้งซ่านหรือเห็น ฯ. คือกระทบในสิ่งที่ไม่ชอบ ย่อมเกิดทุกขเวทนาขึ้นเป็นธรรมดา ย่อมไม่อาจบังคับบัญชาให้รู้สึกเป็นสุข หรือเฉยๆขึ้นได้ ดังใจปรารถนา(ยกเว้นอยู่ในอำนาจสมาธิหรือฌาน หรือสามารถกดข่มเอาไว้ อันล้วนเป็นครั้งคราวเท่านั้น) จึงย่อมเกิดขึ้นอย่างนั้นเอง  สักว่าเวทนา มันเป็นเช่นนี้เอง ต้องเกิดสุขจากการผัสสะ(สุขเวทนา) ทุกข์จากการผัสสะ(ทุกขเวทนา) หรือเฉยๆจากการผัสสะ(อุทุกขมสุขเวทนา)  แล้วทุกขเวทนาอันเป็นทุกข์ธรรมชาตินั้นก็จะเสื่อมดับไป  แล้วควรอุเบกขาเพื่อไม่ให้เป็นปัจจัยเกิดเวทนาและสังขารขันธ์ทุกข์ขึ้นใหม่เนื่องต่อไปอีก

        ๓. สัญญาหรือสัญญาขันธ์ เป็นขันธ์หรือส่วนหนึ่งหรือกองหนึ่งของชีวิต เป็นส่วนหรือกองที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับความจำได้และความหมายรู้ หรือจะเรียกว่าฝ่ายความจำ & ปัญญาก็คงได้  สัญญาไม่ใช่ตัวตนหรือเป็นของตัวตนแท้จริง เพราะถ้าสัญญาเป็นอัตตาแล้ว ย่อมสามารถบังคับบัญชาในสัญญาได้ว่า ขอสัญญาจงเป็นอย่างนี้เถิด กล่าวคือ จำได้หมายรู้แต่ในสุข,  ขอสัญญาจงอย่าเป็นอย่างนี้เลย กล่าวคือ อย่าได้ไปจำและอย่าได้ไปหมายรู้ในเรื่องทุกข์ๆทั้งหลายเลย  แต่เพราะสัญญาไม่ใช่อัตตา จึงบังคับบัญชาดังกล่าวไม่ได้  แม้แต่ความสุขที่อยากจำเพื่อเสพสุขไปนานๆก็กลับลืม  ส่วนความทุกข์ที่อยากลืมไปไม่อยากจำกลับไปจำ ก็มีดังนี้เป็นอเนก  จึงไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตนแท้จริง ดังเช่น บางทีก็ดันผุดลอยทะลึ่งขึ้นมาเองซะดื้อๆ  บางครั้งก็ผุดขึ้นมาในขณะหลับหรือความฝัน  เพราะสัญญาเป็นสังขาร จึงต้องล้วนเกิดขึ้นแต่เหตุปัจจัย โดยอาศัยรูปขันธ์(หทัยวัตถุหรือสมอง อันเป็นส่วนหนึ่งของรูปขันธ์นั่นเอง) ร่วมกับการเป็นเหตุปัจจัยของขันธ์ต่างๆทั้ง ๕ อันแต่อดีต เช่น การผัสสะอันเกิดแต่ชีวิตในอดีต แล้วได้สั่งสม,นอนเนื่อง,เก็บจำ,รวบรวม,ทั้งประมวลผล ฯ.เหล่านั้นไว้นั่นเอง ที่ทั้งสามารถเจตนา หรือผุดลอยขึ้นมา อันเป็นสภาวธรรมหนึ่งของชีวิต กล่าวคือ มีความจำเป็นในการดำรงขันธ์หรือชีวิต เพราะย่อมไปใช้ประโยชน์ในอย่างอื่นๆ ไม่มีเสียก็อยู่ไม่ได้ เช่น จำได้บ้านอยู่ไหน กระเป๋าอยู่ที่ไหน ทำงานอะไร ฯ.ใช้ดังนี้อยู่ทั้งวันทั้งคืนทีเดียว เวลาหลับก็อาจลอยผุดขึ้นมาเอง หรืออาจถูกกระตุ้นเร้าขึ้นมาได้โดยอาศัยอายตนะต่างๆของรูปขันธ์เป็นทวารหรือประตูทางผ่านไปสู่ขันธ์ ๕ หรือชีวิต  สัญญาจึงไม่ใช่อัตตา เพราะควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ตามปรารถนาอย่างแท้จริง แต่เป็นไปหรืออิงอยู่กับเหตุปัจจัยต่างๆที่สั่งสมมา

        ๔. สังขารหรือสังขารขันธ์ ที่หมายถึงสิ่งปรุงแต่งทางใจ ให้เกิดสัญเจตนา ให้เกิดการกระทำทางกาย(กายสังขาร) วาจา(วจีสังขาร) ใจ(มโนสังขารหรือจิตตสังขาร)  หรือเจตนาที่ปรุงแต่งให้เกิดการกระทำทางกาย วาจา ใจ,  สังขารขันธ์ล้วนไม่ใช่อัตตา ดังความว่า

.......ย่อมไม่เล็งเห็นสังขาร(ขันธ์)โดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีสังขารบ้าง ไม่เล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง......

(ภัทเทกรัตตสูตร)

        สังขารขันธ์ จึงหมายถึง ธรรมหรือสิ่งปรุงแต่งทางใจให้เกิดเจตนา ให้เกิดการกระทำต่างๆ ทางกาย,วาจา,ใจ เช่น เดิน นอน ยืน นั่ง พูด คิด ฯลฯ. ล้วนไม่ใช่อัตตา เป็นเพียงมายาหลอกลวง ที่เพียงแลดูประหนึ่งว่า ตัวตนเองหรืออัตตาเป็นผู้กระทำ  แต่เป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวใช่ตนหรือของตัวตนอย่างแท้จริง,  ล้วนเป็นผลที่เกิดขึ้น มาจากการที่ขันธ์อื่นๆอีก ๔ ขันธ์ มาเป็นเหตุปัจจัยกัน ปรุงแต่งกันขึ้น  จึงไม่สามารถไปควบคุมบังคับบัญชาได้อย่างแท้จริงให้เป็นไปดั่งว่าเป็นอัตตาของตัวของตน  ดังเช่น มโนกรรมความคิดที่เกิดขึ้นจากผัสสะต่างๆของกระบวนธรรมของขันธ์ ๕  ถ้าเป็นอัตตาหรือของตัวตนแล้วย่อมบังคับบัญชาให้ไม่เกิดจิตตสังขารคือมโนกรรมความคิดนึกอันเป็นทุกข์ ดังช่น จิตฟุ้งซ่าน ปรุงแต่งให้เป็นทุกข์, จิตหดหู่, จิตมีโทสะ,โมหะ,โลภะ ฯ. แต่ก็เกิดมโนกรรม ที่เป็นทุกข์ๆดังกล่าวขึ้นมาอยู่เป็นอเนกอยู่เสมอๆ เพราะความที่ล้วนเป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งปุถุชนมักไปคาดเดากันไปเองว่าไม่มีสังขารขันธ์ทุกข์อีกแล้ว หาใช่ไม่ เพียงแต่ท่านไม่ยึดถือ สักว่าสังขารขันธ์ จึงปล่อยวางสังขารทุกข์เหล่านั้น ทุกข์จึงทำอะไรไม่ได้,   สังขารขันธ์แท้จริงแล้วจึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความปรารถนาหรืออัตตาของตน,  ไม่สามารถควบคุมบังคับให้เป็นไปตามปรารถนาทั้งสิ้น จึงไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง  ดังนี้เป็นต้น,   ดังสังขารขันธ์ที่ย่อมเกิดขึ้นมาแต่เหตุดังต่อไปนี้มาเป็นปัจจัยกัน  จึงอิงอยู่กับเหตุที่มาเป็นปัจจัยกัน  จึงไม่ได้อิงหรือขึ้นอยู่กับอัตตาตัวตนเลย  ดังได้แสดงไว้โดยละเอียดแยบคายแล้วในกระบวนธรรมของขันธ์ ๕  ดังเช่น

อายตนะภายนอก    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป อายตนะภายใน    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด    วิญญาณ๖   การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓  เรียกว่าผัสสะผัสสะ   เป็นปัจจัย จึงมี    สัญญา    เป็นปัจจัย จึงมี    เวทนา    เป็นปัจจัย จึงมี   สัญญา    เป็นปัจจัย จึงมี   สังขารขันธ์ จึงเกิดสัญเจตนา แล้วเกิดการกระทำ(กรรม)ต่างๆ เช่น วจีกรรม(พูด) มโนกรรม(คิดนึก) ฯ.

        สังขารขันธ์ทางวาจาหรือวจีสังขาร ก็คือ การปรุงแต่งทางใจ ที่แสดงออกมาเป็นวาจา,คำพูดนั่นเอง  เพื่อใช้ในการสื่อสารสัมพันธ์กับบุคคลอื่นๆนั้น  นับว่าเป็นสาเหตุหลักสำคัญสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้เกิดมายา ความหลงผิดคิดไปว่า สิ่งต่างๆรวมทั้งขันธ์ ๕ เป็นอัตตาตัวตน,หรือเป็นของตน กล่าวคือ อัตตวาทุปาทาน ดังที่กล่าวไว้โดยละเอียดแล้วในปฏิจจสมุปบาทในเรื่องอุปาทาน คือ เป็นอุปาทานอันเกิดขึ้นจากถ้อยคำที่ใช้เพื่อสื่อสาร บอกกล่าว แจกแจง แบ่งปัน แจงขอบเขตกันในสังคมว่า สิ่งนั้น สิ่งนี้ เป็นของตัวของตน ของเรา ของเขา ของเธอ ของฉัน ดังเช่น ตัวฉัน มือเธอ หน้าเขา บ้านฉัน เงินฉัน รถเธอ ฯลฯ. เมื่อสื่อสารใช้กันอยู่เสมอๆตลอดชีวิตด้วยจำเป็น แต่ด้วยอวิชชาจึงเกิดการซึมซ่านย้อมจิตไปทุกๆขณะโดยไม่รู้ตัว เกิดความรู้สึกว่าเป็นอัตตาเป็นตัวตน หรือเป็นของตัวของตน ขึ้นในจิต โดยไม่รู้ตัว,  อัตตวาทุปาทานอันเกิดแต่วจีกรรมโดยทั่วไป จึงถูกจัดเป็นหนึ่งในอุปาทาน ๔ ที่ยังให้โลกนี้เร่าร้อนเผาลนด้วยไฟของความทุกข์ ที่เรียกอย่างเต็มยศก็คือทุกข์อุปาทาน หรืออุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์

        ส่วนสังขารขันธ์ทางกายหรือกายสังขารนั้น ที่ย่อมสามารถปรุงแต่งให้รูปขันธ์ทำงานได้ ก็ก่อให้เกิดมายาแก่จิต จนหลงคิดไปโดยไม่รู้ตัวว่ารูปขันธ์เป็นอัตตาหรือเป็นของตัวตน  ดังที่กล่าวไว้ในเรื่องรูปขันธ์ข้างต้นแล้ว

        ดังนั้นสังขารขันธ์ทางจิตหรือมโนกรรมหรือจิตตสังขาร จึงล้วนเกิดความคิดหลงผิดอยู่ตลอดเวลา ตามมายาที่เกิดขึ้นจากทั้งสังขารทางกายหรือวาจาก็ตามที

        ๕. วิญญาณหรือวิญญาณขันธ์  วิญญาณ ความรู้แจ้งในอารมณ์  ที่บ้างก็เรียกว่าจิต  บ้างก็ถือว่าเป็นชีวิตเสียเลยก็มี  เพื่อให้เข้าใจในวิญญาณขันธ์ให้ง่ายขึ้นว่าคือสิ่งที่ทำหน้าที่อย่างไรกันแน่?  ก็ให้คิดหรือพิจารณาว่า วิญญาณหรือวิญญาณขันธ์ในแง่ที่ว่า เป็นสิ่งที่ทำหน้าที่ดั่งระบบประสาทในการสื่อสารหรือถ่ายทอดข้อมูลต่างๆของชีวิตหรือของขันธ์ต่างๆทั้ง ๕ กล่าวคือขันธ์ต่างๆล้วนเชื่อมสัมพันธ์สื่อสารกันด้วยวิญญาณขันธ์ทั้งสิ้นนั่นเอง,  เรื่องของวิญญาณ เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน ซับซ้อน  อีกทั้งเป็นตำนานที่มีการสืบทอดตลอดจนทั้งการต่อเติมเสริมแต่งมายาวนาน  เป็นที่ถกเถียงและเชื่อถือกันไปต่างๆนาๆ  ตามที่ได้สั่งสมจากการอบรม การสั่งสอน ลัทธิ ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี ต่างๆนาๆแล้วยังได้มีการถ่ายทอดสืบต่อๆกันมาอย่างช้านานอีกด้วย จึงย่อมมีการแปรปรวนด้วยอนิจจังและอวิชชาโดยไม่รู้ตัว  ตลอดจนจากความกลัวในสิ่งที่ไม่รู้ เช่น กลัวความดับสูญหรืออนัตตาด้วยความไม่รู้ตามความเป็นจริงหรืออวิชชา  กลัวสิ่งอันเป็นที่รักต้องพลัดพรากหรือสูญ,  ดังนั้นเองในขันธ์ทั้ง ๕ วิญญาณจึงเป็นขันธ์หรือส่วนหรือกองที่ถูกเพ่งเล็ง,กล่าวขานถึงและเป็นตำนานมากที่สุดเป็นอเนกอนันต์ว่า เป็นอัตตาหรือเป็นของตัวของตนโดยแท้จริง เป็นเจตภูต เป็นอัตตาหรืออาตมัน,  แต่พระองค์ท่านได้ตรัสไว้โดยอย่างชัดเจนและดีงามเป็นอเนกว่า "วิญญาณไม่ใช่อัตตา"  เหตุเพราะวิญญาณเกิดในผู้มีชีวิตที่ประกอบด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ  วิญญาณจึงเป็นสังขาร จึงเป็นอนัตตา  เพราะเกิดขึ้นแต่เหตุปัจจัยดังนี้

อายตนะภายนอก    กระทบกัน เช่น ตาเห็นรูป อายตนะภายใน    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิด    วิญญาณ๖

ในผู้มีชีวิตหรือขันธ์ ๕ บริบูรณ์อยู่เมื่อ....อายตนะภายนอก กระทบกับ อายตนะภายใน ย่อมเกิดวิญญาณของอายตนะภายในนั้นๆขึ้น เป็นธรรมดา ดังเช่น

เมื่อ เสียง กระทบกับ หู  ย่อมเกิดโสตวิญญาณ หรือก็คือเกิดวิญญาณของหู ขึ้นเป็นธรรมดาหรือตถตา

หรือก็คือ เมื่อมีเสียงมากระทบกับหูแล้ว ย่อมเกิดการทำงานของระบบประสาทสื่อสารขึ้นโดยธรรมชาติ กล่าวคือ ย่อมถ่ายทอดนำเสียงที่กระทบกับส่วนหู ไปยังสัญญาขันธ์(ระบบประสาทหรือสมองส่วนความจำ,หมายรู้ - หทัยวัตถุ) จึงจำได้และหมายรู้ในเสียงนั้นๆ  ดังที่กล่าวแสดงอยู่เนืองๆในเรื่อง ขันธ์ ๕

จึงย่อมไม่สามารถบังคับบัญชาในวิญญาณได้ว่า  เมื่อเสียงที่ไม่ถูกใจกระทบหู  ขอเจ้าโสตวิญญาณจงอย่าได้เกิดเลย,  เมื่อรูปอันเกลียดชังกระทบตา ก็ขอให้จักษุวิญญาณจงอย่าได้เกิดขึ้นเลย  เหล่านี้นั้นย่อมไม่เป็นไปดังปรารถนา.

เพราะวิญญาณเกิดขึ้นแต่เหตุปัจจัย ดังกล่าวแสดงข้างต้นแล้ว  ยังมีพุทธพจน์ที่ตรัสยืนยันไว้ในพระสูตรต่างๆเป็นอเนก  ดังเช่นในมหาตัณหาสังขยสูตร ที่ได้ตรัสไว้ดังนี้

       [๔๔๓]........พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดีละ พวกเธอรู้ทั่วถึงธรรมที่เราแสดงอย่างนี้ ถูกแล้ว

ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณอาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น

เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนก ความเกิดแห่งวิญญาณ เว้นจากปัจจัย มิได้มี.....ฯลฯ

       [๔๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้น  ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ

วิญญาณ อาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า จักษุวิญญาณ (รู้แจ้งในอารมณ์อันคือรูป หรือรับรู้ในรูป)

วิญญาณ อาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า โสตวิญญาณ (รู้แจ้งในอารมณ์อันคือเสียง หรือรับรู้ในเสียง)

วิญญาณ อาศัยฆานและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ฆานวิญญาณ (รู้แจ้งในกลิ่น หรือรับรู้ในกลิ่น)

วิญญาณ อาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ (รู้แจ้งในลิ้น หรือรับรู้ในลิ้น)

วิญญาณ อาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ (รู้แจ้งในกาย หรือรับรู้ในกาย)

วิญญาณ อาศัยมนและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่า มโนวิญญาณ (รู้แจ้งในธรรมารมณ์ หรือรับรู้ในธรรมารมณ์)

เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆ ติดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยเชื้อนั้นๆ

ไฟอาศัยไม้ ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟไม้

ไฟอาศัยป่าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟป่า........ฯลฯ.

(มหาตัณหาสังขยสูตร)

วิญญาณ จึงไม่ใช่อัตตา  วิญญาณจึงเป็นสังขารที่ถูกปรุงแต่งขึ้นจากเหตุปัจจัยดังพระดำรัสข้างต้น  จึงควบคุมบังคับบัญชาด้วยอัตตาตัวตนไม่ได้  วิญญาณจึงเป็นอนัตตาไม่ใช่ตัวไม่ใช่ของตนแท้จริง ดังเช่น ในผู้มีชีวิต เมื่อตากระทบรูป ย่อมต้องเกิดจักษุวิญญาณขึ้นเป็นธรรมดา จะบังคับบัญชาห้ามไม่ให้เกิดไม่ให้มี ย่อมเป็นไม่ได้ เป็นสภาวธรรมของชีวิต  อัตตาหรือตัวตนหรือที่หมายถึงเรา จึงควบคุมบังคับไม่ได้ แต่เป็นไปหรืออิงตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกันขึ้น,  สำหรับผู้ที่ยังไม่ศึกษาทำความเข้าใจในเรื่องวิญญาณ ๖ ให้แจ่มแจ้ง ย่อมอาจมีความสงสัยนอนเนื่องอยู่ในจิตโดยไม่รู้ตัวดุจดั่งอาสวะกิเลสว่า วิญญาณเป็นอัตตาหรือเป็นของตัวของตน จึงเป็นไปในลักษณาการของเจตภูต ที่เที่ยวล่องลอยไปได้ ท่องเที่ยวไปได้ หรือเที่ยวแสวงหาที่เกิดในภพใหม่ หรือปรภพนั้น  อันเป็นความเข้าใจอย่างโลกิยะ ที่ยังเนื่องอยู่ในโลก แม้ดีงามอย่างหนึ่งจึงยังให้อยู่ในศีลและธรรมจึงยังสุขให้ระดับเนื่องกับโลกอยู่หรือโลกิยะ  แต่หากต้องการดำเนินไปในองค์มรรคเพื่อโลกุตรธรรมแล้ว ขอให้ไปศึกษาในบท พุทธพจน์และพระสูตร หัวข้อที่ ๒๖.มหาตัณหาสังขยสูตร และในหัวข้อที่๖๔.อัสสุตวตาสูตร เพื่อประกอบการพิจารณาในเรื่องวิญญาณ  และมหาจัตตารีสกสูตร ในหัวข้อที่ ๖๐. ในเรื่องเกี่ยวกับโลกิยะและโลกุตระ กล่าวคือ ทำความเข้าใจในเรื่องวิญญาณให้ถูกต้องตามวัตถุประสงค์เสียก่อน กล่าวคือ ถ้าต้องการดำเนินไปในองค์มรรคหรือโลกุตระ ในการพิจารณาปฏิจจสมุปบาทหรือขันธ์ ๕ แล้ว  ต้องทำความเข้าใจวิญญาณอย่างปรมัตถ์หรือโลกุตระ ในเรื่องวิญญาณ ๖  หรือวิญญาณเกิดแต่เหตุปัจจัย เป็นสังขาร จึงย่อมอยู่ในอำนาจพระไตรลักษณ์ เป็นอนิจจัง เป็นทุกขัง เป็นอนัตตา ไม่ใช่อัตตา อย่างหมดข้อสงสัยอย่างถูกต้องดีงามอย่างปรมัตถ์เสียก่อน

        และยังมีพระพุทธพจน์ตรัสยืนยันซ้ำเติมไว้อีกด้วยว่า การเห็นกายหรือรูปขันธ์ว่าเป็นตัวตน เป็นมิจฉาทิฏฐิอันไม่ถูกต้องก็จริงอยู่ อันถึงขนาดจัดอยู่ในสังโยชน์ข้อแรกคือสักกายทิฏฐิที่มัดสัตว์ไว้กับกองทุกข์  แต่ก็ตรัสแสดงไว้อย่างแจ่มแจ้งว่า แต่ถึงอย่างไรเสีย ก็ยังดีกว่าการไปหลงผิด,หลงคิด,หลงไปยึดเอาว่าจิตหรือวิญญาณว่าเป็นอัตตาตัวตน หรือเป็นของตัวตน  ดังแสดงไว้ในอัสสุตวตาสูตร  เหตุเพราะย่อมไม่สามารถก้าวหน้าไปในโลกุตระได้เลย เพราะท่านตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า การเห็นกายว่าเป็นตัวตนนั้นก็จัดเป็นสังโยชน์ที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ไม่ให้ดิ้นหลุดออกไปได้ ยังดีกว่าการไปเห็นว่าจิตหรือวิญญาณเป็นตัวตนเสียอีก เพราะกายนั้นยังสามารถแลเห็นได้เองตามกาลที่ผ่านไปบ้าง  ส่วนจิตนั้นถ้าไม่ได้สดับหรือเรียนรู้จากธรรมของพระองค์ท่านแล้ว ย่อมไม่มีวันรู้ความจริงแย่างปรมัตถ์ได้เลย

 

 

ขันธ์ทั้ง ๕ จึงต่างล้วนเป็นไปดังนี้

 ตัวกู ของกู

ตัวกู ยังไม่ใช่ ของกู   แล้วสิ่งทั้งหลายทั้งปวงจะเป็น ของกู หรือ ดังใจกู ได้อย่างไร

ตัวกู ยังสักแต่ว่าเหตุปัจจัยของ ธาตุทั้ง๔    แม้แต่ชีวิต ของกู ยังสักแต่ว่าเหตุปัจจัยของ ขันธ์ทั้ง๕

ถ้า ตัวกู เป็น ของกู แล้วไซร้ จะต้องควบคุมบังคับบัญชาได้ดังใจปรารถนา

ไม่ใช่การควบคุมได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ดังเช่นเดียวกับสังขารทั้งปวง

แต่ต้องเป็นไปดังใจ ไม่เป็นไปเพื่อการอาพาธเจ็บป่วยแก่ตาย

แต่เพราะความที่ ตัวกู ไม่ใช่ ของกู อย่างแท้จริง

จึงควบคุมไม่ได้ดังใจปรารถนา

ล้วนเป็นไปหรืออิงเหตุปัจจัย

เพียงแต่บางครั้ง แม้เป็นไปตามเหตุปัจจัย  แต่ไปตรงตามใจปรารถนา

จึงเกิดมายาจิตไป หลงคิด หลงยึด ว่าเป็น ตัวกู ของกู

หรือไปหลงว่า มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดมาดลบันดาล

จึงเป็นทุกข์ร้อนกันไปทั่วทุกโลกธาตุ

ด้วยไฟแห่งกิเลสตัณหา

อันยังให้เกิดอุปาทานทุกข์

ด้วยอวิชชา

พนมพร

 ทรงแสดงอนัตตาในขันธ์ ๕

"ภิกษุทั้งหลาย รูป....เวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ  เป็นอนัตตา"

(ขันธ์ทั้ง ๕ ล้วนเป็นสังขาร จึงเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวใช่ตน ไม่มีอัตตาหรือตัวตนแท้จริง จึงไม่ใช่เรา,ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง ล้วนเกิดขึ้นแต่เหตุปัจจัยที่มาประชุมปรุงกัน)

หากรูป....เวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ  เป็นอัตตา(มีตัวตน หรือเป็นของเราแท้จริง)แล้วไซร้

มันก็จะไม่เป็นไปเพื่ออาพาธ(ความขุ่นข้อง แปรปรวน เจ็บป่วย  อันล้วนเป็นทุกข์)

(หมายถึงถ้าเป็นของตัวตนจริงๆแล้ว ย่อมต้องบังคับบัญชามันได้ ไม่ให้เจ็บป่วย แปรปรวน)

ทั้งยังจะได้ตามใจปรารถนาในรูป....ในเวทนา....ในสัญญา....ในสังขาร....ในวิญญาณ ว่า

"ขอรูป....ขอเวทนา....ขอสัญญา....ขอสังขาร....ขอวิญญาณ  ของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด  อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย"

แต่เพราะเหตุที่รูป....เวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ เป็นอนัตตา

ดังนั้น รูป....เวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ จึงเป็นไปเพื่ออาพาธ

และใครๆก็ไม่อาจได้ตามความปรารถนาในรูป ว่า

และใครๆก็ไม่อาจได้ตามความปรารถนาในเวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ ว่า

"ขอรูป ของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย"

ขอเวทนา....ขอสัญญา....ขอสังขาร...ขอวิญญาณ ของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย

"ภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายมีความเห็นเป็นไฉน ?"

"รูปเที่ยง หรือไม่เที่ยง?" (พระพุทธเจ้า ตรัสถามทีละอย่างในรูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  วิญญาณ)

"ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า" (ภิกษุทั้งหลายตอบ)

"สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุข?"

"เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า"

"ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา  ควรหรือที่จะเฝ้าเห็นสิ่งนั้นว่า

นั่นของเรา  เราเป็นนั่น  นั่นเป็นอัตตา(ตัวตน)ของเรา ?"

"ไม่ควรเห็นเป็นอย่างนั้น พระเจ้าข้า"

"ภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล รูป....เวทนา....สัญญา....สังขาร....วิญญาณ อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็น อดีต ปัจจุบัน อนาคต  

ทั้งภายในและภายนอก  หยาบหรือละเอียด  เลวหรือประณีต  ทั้งที่ไกลและที่ใกล้  ทั้งหมดนั้น  

เธอทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันถูกต้อง ตามที่มันเป็นว่า

"นั่นไม่ใช่ของเรา  เราไม่ใช่นั่น  นั่นไม่ใช่อัตตา(ตัวตน)ของเรา"

(อย่างเป็นแก่นแกนแท้จริง เพราะล้วนอนัตตา)

(สํ.ข. ๑๗/๑๒๗-๑๒๙/๘๒-๘๔ , พุทธธรรม น.๖๙)

 

 พระอริยสาวกนั้นพิจารณาเห็นอยู่อย่างนี้ (ในขันธ์ทั้ง๕ว่า) ไม่ใช่อัตตาจนแจ่มแจ้ง  จึงย่อมไม่สะดุ้ง ในเพราะสิ่งที่ไม่มีอยู่.

(จาก เหตุแห่งทิฏฐิ ๖)

(สภาวธรรม ที่ตรงข้ามกับอัตตา)

 

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ

 

Google


ทั่วโลก  ค้นหาเฉพาะใน"ปฏิจจสมุปบาท"