กระดานธรรม ๓

 สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่ใช้ในการปฏิบัติพระกรรมฐาน

คลิกขวาเมน

        สติกับสมาธินั้น มีการทำงานประสานอาศัยสนับสนุนผูกพันซึ่งกันและกันอยู่อย่างใกล้ชิด,  สติ การระลึกรู้ การนึกขึ้นได้ การจำขึ้นมาได้ในสัญญา คือความจำต่างๆ (ถ้านึกไม่ออกลองพิจารณาดูว่า ความนึกขึ้นมาได้ จากสัญญา(ความจำ)ว่า 2X2=เท่าไร แล้วจำขึ้นมาได้ว่าเท่ากับ "4", การจำขึ้นได้ว่าเท่ากับ 4 นั่นแหละคือ ความนึกขึ้นมาได้, จำขึ้นมาได้ เท่าทันในการใช้การงานได้ดี  นั่นแหละคือสติอย่างหนึ่ง) การไม่ลืม  ไม่เผลอเรอ  ที่คณาจารย์ผู้รู้ได้อุปมาไว้ว่า  สติเหมือนดั่งเส้นเชือกที่ผูกโคป่าที่แสนพยศไว้กับหลักดีแล้ว โคป่าหรือวัว(จิต)ซึ่งปกติย่อมมีวิสัยไม่ยอมอยู่นิ่งเฉยนั้น จึงไม่หาย อีกทั้งไปไหนไกลๆก็ไม่ได้  ได้แต่เดินวิ่งวนเวียนอยู่ในวงเชือกไม่สามารถหนีเตลิดเปิดเปิงไปจนกระทั่งหายสูญได้นั่นเอง  ด้วยสติทำหน้าที่เป็นเชือกที่ดึงไว้ (สติคือผู้ดึงเอาสัญญาคือความจำ ขึ้นมาใช้ได้ในเบื้องต้น) จึงทำให้วัวป่าแสนพยศหรือจิตนั้น อยู่ภายในวงรัศมีของเชือก(สติ)นั้นนั่นแล เมื่อต้องการวัว ก็ยังพอสามารถแลเห็นหรือจับต้องได้ง่าย คือรู้ว่าวัวนั้นอยู่ในขอบเขตนั้นๆบ้าง  แม้อาจต้องออกกำลังไล่จับก็เพียงเล็กน้อย เหมือนดั่งสติ(ความนึกได้,จำได้)ที่บางครั้งก็หลงๆลืมๆไปบ้างชั่วขณะ จนต้องไล่จับกันเหมือนดังวัวในวงเชือกบ้างเหมือนกัน,   ส่วนสมาธิก็ทำหน้าที่็คล้ายสติ แต่เมื่อดึงสัญญาหรือมีสติระลึกรู้คือจำได้,นึกได้ ดึงความจำขึ้นมาได้แล้ว สมาธิก็มีหน้าที่จับไว้ให้อย่างแน่วแน่ ตรึงจิตไว้กับที่ คือให้อยู่กับกิจได้ดี คือแน่วแน่ต่อกิจหรืองาน ไม่ให้หายไปไหนในขณะใช้งานนั้นๆ คือในขณะที่ใช้ในการงานนั้นๆอยู่ไม่ให้หลุดลอยไป  จึงเปรียบเสมือนดั่งวัวป่า(จิต)ที่แม้ผูกเชือกไว้กับหลักดีแล้ว แต่ยังผูกตอกตรึงมัดรัดวัวนั้นอีกกำกับหนึ่ง จึงทำให้มันหมอบอยู่กับที่อย่างแน่นหนาสำทับลงไปอีก ไม่ให้ดิ้นรนดิ้นพล่านหรือเดินหนีพล่านไปในที่ใดๆได้อีกเลย เราก็ย่อมจัดการใดๆกับโคป่าแสนพยศ(จิต)ที่ถูกมัดตอกตรึงแน่นหนาดีแล้วนั้นได้ง่าย แม้แต่การนำไปฆ่าเพื่อการชำแหละขาย หรือเพื่อการนำไปพิจารณาในการทำกิจใดๆก็ย่อมทำได้ง่ายขึ้น  หรือใช้ไปในการพิจารณาใดๆ  หรือใช้ตรึงปัญญาไปในการแก้ปัญหาต่างๆได้แน่วแน่ขึ้นไปคือมีสมาธินั่นเอง   จึงย่อมสัมฤทธิ์ผลได้ดีกว่าและง่ายกว่าการที่ต้องไปวิ่งไล่จับจิต เหมือนดั่งไปไล่จับโคที่ปล่อยเป็นอิสระวิ่งเพ่นพล่านไปทั่วจนเหนื่อยอ่อน  หรือแม้แต่ผูกอยู่กับหลักดีแล้วแต่ก็ยังวิ่งวนเวียนหลบหลีกซ้าย หลบหลีกขวา แม้อยู่ในรัศมีวงเชือกอยู่ร่ำไป,  อีกทั้งสมาธิเองยังเป็นกำลังของจิตอันดีเลิศอีกด้วยดังเคยอธิบายไว้ว่าดุจดั่งไม้ไผ่ที่มัดรวมกัน จึงย่อมแข็งแรง,  เพียงแต่อย่าไปติดเพลินจนเป็นมิจฉาสมาธิเสีย ต้องนำมาใช้ประโยชน์เยี่ยงนี้ย่อมดีเลิศ

        สติ ท่านพระพรหมคุณาภรณ์ ได้กล่าวไว้ว่า สติทำหน้าที่จับยึด จึงเหมือนกับการจับยึดผืนผ้าที่มีข้อความเขียนกำกับอยู่ แต่ยังปลิวพริ้วไสวอยู่ไปตามกระแสลม  แม้สติจับยึดผืนผ้าได้แล้ว แต่ผ้านั้นก็ยังปลิวคือยังมีการพริ้วไหวไปมา ลอยไปลอยมาตามแรงลม(คืออารมณ์)ต่างๆอยู่ได้นั่นเอง,   ด้วยเหตุที่ผ้านั้นก็ยังย่อมมีการพริ้วสั่นไหวไปมาตามแรงลม(คืออารมณ์ต่างๆ)อยู่เป็นธรรมดา ดังนั้นการจะอ่านข้อความใดๆในผืนผ้าให้รวดเร็วถูกต้องอย่างสมบูรณ์นั้น ย่อมเป็นเรื่องยากลำบากอยู่,   แต่สมาธิเปรียบเสมือนดั่ง การไปจับตรึง จับดึงป้ายผ้านั้นไว้ให้หยุดการสะบัดพริ้วไหว ได้อย่างมั่นคง แน่วแน่ แนบแน่น  ผ้าจึงย่อมไม่พริ้วไหวไปมาอีกต่อไป คือนิ่งอยู่ จึงย่อมอ่านข้อความหรือข้อมูลต่างๆบนผืนผ้านั้นได้อย่างสะดวกถูกต้อง  ด้วยเหตุดังนี้จึงต้องมีทั้งสติและสมาธิดังกล่าว พึงพาอาศัยกันและกัน

 

สติเกี่ยวข้องอะไรกับสัญญาความจำ

คลิกขวาเมนู  

        เมื่อกล่าวถึงสติและสมาธิแล้ว  ก็มีความจำเป็นต้องกล่าวถึงสัญญา(ความจำได้, ความหมายรู้ ตามที่ได้สั่งสมอบรมเก็บจำมาไว้แต่อดีตจวบปัจจุบันนั่นเอง) เพราะเกี่ยวเนื่องพัวพันกันอย่างแนบแน่น แยกจากกันไม่ได้เลยเช่นกัน  กล่าวคือ สิ่งที่สติ ระลึกรู้ จำได้ นึกขึ้นมาได้ ก็คือสัญญาความจำได้หมายรู้ หรือความทรงจำเหล่านี้นี่เอง  ดังนั้นถ้าสัญญาความจำนี้แนบแน่นมั่นคงดี จากการสั่งสมหรือด้วยความเพียรที่กระทำบ่อยๆหรือพิจารณาบ่อยๆหรือเนืองๆจนแนบแน่น อย่างดีเลิศ,  สติย่อมจำได้ ระลึกได้ นึกขึ้นได้ อย่างง่ายดายและรวดเร็วอีกทั้งถูกต้อง  ดังสัญญา การจำได้หมายรู้ในการท่องแม่สูตรคูณ หรือการอ่านเรียนเขียนหนังสือ ฯลฯ. ที่แนบแน่นดีแล้วแต่สมัยเยาว์วัย  ที่แม้ทิ้งห่างมาเป็นนานแม้เป็นปี แต่ก็ยังคงใช้ในการงานได้ดีอยู่ ด้วยเป็นสัญญาอันแนบแน่นมั่นคงดีแล้วดังที่กล่าวนี้นี่เอง,   สัญญาอันพึงเกิดจากความเพียร จึงเปรียบประดุจเสาหลักที่ปักลงไปในฐานดินอย่างมั่นคง  เพื่อให้เชือก(คือสติ)ไม่หลุดลอยไป จึงอยู่ในวิสัยที่ใช้เชือกคือสติควบคุมวัวป่า(จิต)ได้นั่นเอง  เมื่อเสาหลัก (สัญญา) มั่นคงไม่หลุดลอยหายไป เชือก(สติ)ก็มีความแข็งแรงดี  อีกทั้งมีสมาธิแน่วแน่มั่นคงอยู่ในกิจที่ทำ จึงย่อมไม่หลุดลอยหายไปอีกทั้งเชือก(สติ)และวัวป่า(จิต)  อีกทั้งวัวปาาหรือจิตเมื่อดีดดิ้นรนจนเหนื่อยอ่อน ก็ย่อมอ่อนแรงลงไปเป็นลำดับเช่นกัน จึงทำให้ง่ายต่อการควบคุมบังคับบัญชาจิตหรือวัวป่าได้ในที่สุด

แสดง สมาธิภาวนา มีด้วยกัน ๔ ประการ

        ขอกล่าวถึงสติ สมาธิ ที่ใช้ในการปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือสมถวิปัสสนา เพื่อให้ได้ผลยิ่ง  โดยทั่วไปนั้น นักปฏิบัติย่อมรู้ดีกันอยู่ว่าทางปฏิบัติ คือ มรรคมีองค์ ๘ อันมีสติ และสมาธิ เป็นมรรคองค์ที่ ๗ และ ๘,  เป็นมรรคข้อปฏิบัติที่จำเป็นยิ่งเพื่อให้ถึงนิโรธ  ดังมีกล่าวอยู่เนืองๆเป็นอเนก  แต่มักเกิดความสับสนในการปฏิบัติยิ่งในธรรมอันสำคัญทั้งสอง กล่าวคือมักเกิดมายาของจิตพาให้หลงด้วยอวิชชา จึงทำให้สติหรือสมาธิที่ปฏิบัตินั้นไม่ใช่สัมมาสติ สัมมาสมาธิ ที่หมายถึงถูกต้องดีงาม  แต่มักกลายเป็นมิจฉาสติ  มิจฉาสมาธิไปเสีย โดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา

        เมื่อมาปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือปฏิบัติธรรม  ทุกคนย่อมมาปฏิบัติกันด้วยความเพียรในสติและสมาธิเป็นสำคัญทั้งสิ้น  ดังนั้นก็มักจะปฏิบัติกันในสติอันมีสติปัฏฐาน ๔  และปฏิบัติสมถสมาธิกันเป็นสำคัญ

        ฝ่ายการฝึกสตินั้น ก็มักมาฝึกสติ,การใช้สติตามหลักสติปัฏฐาน ๔ ที่ใช้สติเป็นบาทฐานในการกำหนดรู้ในธรรมทั้ง ๔ อันมี กาย เวทนา จิต ธรรม  ที่พระองค์ท่านสรรเสริญว่า เป็นทางสายเอกในการปฏิบัติเรื่องสติ หรือเอกายนมรรค,  ด้วยเป็นสิ่งที่มีพุทธพจน์ยืนยันและกล่าวคำนิยมไว้อย่างชัดแจ้ง จึงเป็นสิ่งที่นิยมปฏิบัติกันแพร่หลายกันเป็นที่สุด  แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขเทคนิคในขั้นปฏิบัติไปบ้างตามยุคตามสมัยด้วยอนิจจัง  และเกิดความเข้าใจผิดบ้าง การสับสนกันบ้างโดยไม่รู้ตัว แล้วถ่ายทอดแบบสั่งสอนกันต่อๆมาก็มี กล่าวคือ อานาปานสติ ที่เป็นการใช้สติกำหนดตามดูลมหายใจ ที่มีจุดประสงค์สำคัญ คือฝึกสติให้ต่อเนื่องอยู่กับอารมณ์ที่ใช้ ก็คือลมหายใจนั่นเอง ก็เพื่อหวังให้บังเกิดผลดีแก่สติโดยตรง กล่าวคือสติมั่นคงและเป็นสมาธิที่แน่วแน่อยู่ในสิ่งที่กำหนดรู้เป็นอารมณ์คือลมหายใจ ไม่หลงไปตามอารมณ์อื่นๆที่จรมาได้ง่ายๆ   แล้วนำสติที่ฝึกดีแล้วนี้ เป็นบาทฐานเป็นกำลังในการนำไปพิจารณาในธรรมอื่นๆอีกด้วยเป็นลำดับ  ดังแสดงอยู่ในสติปัฏฐานสูตร หรือกายคตาสติสูตร

        สติ สมาธิ ดังกล่าวที่เกิดขึ้นข้างต้น เป็นสิ่งพึงประสงค์อย่างยิ่งในการปฏิบัติสติปัฏฐานหรือกายคตาสติ กล่าวคือ ได้สัมมาสติ คือการที่มีสติกำหนดรู้อยู่ในอารมณ์ได้  และย่อมประกอบด้วยสัมมาสมาธิในองค์มรรค คือความมีสตินั้น เป็นไปอย่างแน่วแน่และต่อเนื่องในอารมณ์ฝ่ายกุศลธรรมนั้นๆอีกด้วย

        ส่วนสมถสมาธิ หรือสมาธิ หรือฌาน ที่ปฏิบัติกันโดยทั่วไป แม้ในอัญญเดียรถีร์ และในเหล่าโยคะทั่วไป ก็จัดเป็นเพียงสมถะเท่านั้น  ยังไม่จัดว่าเป็นสัมมาสมาธิในองค์มรรคดังข้างต้นแต่อย่างใดไม

        ส่วนมิจฉาสมาธิ ก็คล้ายกัน แต่ต่างกันที่อารมณ์ กล่าวคือ ตั้งใจผิดในอารมณ์ ได้แก่ ไปจดจ่อ ปักใจแน่วในอารมณ์ที่เป็นไปในกามราคะ, ในพยาบาท, หรือในนันทิคือไปจมแช่ในความอิ่มเอิบ(ปีติ),สุข,สงบ,สบายที่เกิดขึ้นแต่สมาธิ เป็นต้น (มิจฉาสมาธิ เป็นข้อ ๘ ในมิจฉัตตะ ๑๐)

        เมื่อเราเข้าใจในจุดประสงค์ของสัมมาสมาธิและสัมมาสติแล้ว  ลองมาย้อนพิจารณาย้อนอดีต ดูการปฏิบัติกันดูบ้าง ได้ปฏิบัติไปเพื่อดังนี้หรือเปล่า  มักจะเป็นไปกันในลักษณะดังนี้ ที่กล่าวกันว่า มาปฏิบัติพระกรรมฐานบ้าง  ปฏิบัติธรรมบ้าง  ปฏิบัติสติปัฏฐานบ้าง  ปฏิบัติสมาธิบ้าง  ปฏิบัติวิปัสสนาบ้าง ฯ. ล้วนเป็นการปฎิบัติในลักษณะของการ นั่งสมาธิ ที่ตอนแรกก็ตามอารมณ์อย่างมีสติดีอยู่หรอก แต่เมื่อปฏิบัติบ่อยๆก็มักเป็นไปเพื่อให้จิตแน่วแน่อย่างต่อเนื่องเพียงเพื่อจุดประสงค์ให้ไหลเลื่อนไปสู่ฌานหรือสมาธิในระดับที่ละเอียดลึกขึ้นเป็นสำคัญ  เพราะความสุข สงบ สบาย ที่เกิดขึ้นจากอำนาจของฌาน,สมาธิ เป็นกิเลสเครื่องล่อลวงจิตโดยไม่รู้ตัว หรือไม่?  ประกอบกับความเข้าใจดังที่ได้ยินกันเสมอๆว่า เข้าสู่ฌาน,สมาธิที่แม้พระอริยเจ้าทรงสรรเสริญ จึงเกิดความเข้าใจผิด เป็นเครื่องตอกย้ำว่าได้ดำเนินมาอย่างถูกต้องในฌานสมาธิอันละเอียดอ่อนดังที่ท่านสรรเสริญแล้ว และได้บุญได้กุศลแล้ว  และเมื่อปฏิบัติกันก็มีแต่ผู้ถามไถ่กันในเรื่องของฌานสมาธิในระดับลึกซึ้งหรือลึกละเอียด ที่มักเกี่ยวข้องพัวพันไปถึงภวังค์และนิมิตต่างๆ ตลอดจนได้ยินได้ฟังการยกย่องกันในผู้ที่ไปเห็น ผู้ที่เป็นกันอย่างผิดๆ จนเกิดการหลงผิดเข้าใจผิดกันไปโดยไม่รู้ตัว จึงไปหลงยึดติดและเข้าใจผิดในภวังค์และนิมิตต่างๆ

        จึงขอทำความเข้าใจในเรื่องนี้ให้ถูกต้องกันเสียที  จุดประสงค์ของสัมมาสติและสัมมาสมาธิก็เป็นดังที่กล่าวแล้ว  ส่วนฌานสมาธิระดับละเอียดหรือระดับลึกซึ้งนั้น ก็เป็นดังที่พระอริยเจ้าท่านสรรเสริญ แต่หมายถึง เป็นเพียงวิหารธรรม ที่หมายถึงเครื่องอยู่เครื่องอาศัยเป็นครั้งคราวหรือชั่วคราวของอัตภาพอันดีเลิศเท่านั้น  จึงเป็นกำลังของจิตแต่ไม่ใช่ดีเลิศที่เป็นไปในความหมายที่ว่าเมื่อปฏิบัติฌานสมาธิได้ดีเลิศแล้วจะทำให้บรรลุธรรมหรือเป็นเครื่องขัดเกลากิเลสแต่ประการใด  จึงต้องทำความเข้าใจตรงนี้ให้ถูกต้องเสียก่อน  ดังความยืนยันในสัลเลขสูตร

         ดังนั้นการปฏิบัติในมรรคข้อ ๗ และ ๘ จึงเป็นไปเพื่อสัมมาสติและสัมมาสมาธิ มิได้เป็นไปเพื่อความสุขความสงบความเพลิดเพลินแต่อย่างใด   เพียงแต่ว่าในการปฏิบัติในสติและสมาธินั้น บางครั้งย่อมเกิดฌานสมาธิในระดับสูงขึ้นได้เช่นกัน กล่าวคือ บางครั้งในการปฏิบัตินั้นเกิดสติอ่อนหรือขาดลง จึงเกิดการพักผ่อนหรือเลื่อนไหลลงสู่ภวังค์ ให้เคลิบเคลิ้มท่องเที่ยวไปในจิตภายใน จึงให้เกิดนิมิต ต่างๆขึ้น   แต่ถ้ามีสติสั่งสมพอควรจากการปฏิบัติเสมอๆ จึงมีสติแค่พอรู้อยู่ในความสงบไม่ไหลเลื่อนไปในท่องเที่ยวในภวังค์ กล่าวคือเกิดภวังคุปัจเฉทหรือฌาน ๔ ขึ้นนั่นเอง (อ่านรายละเอียดได้ในบท นิมิตและภวังค์)  สิ่งเหล่านี้แม้ไม่ได้ยังประโยชน์โดยตรงต่อการเจริญวิปัสสนาก็จริงอยู่  แต่ให้กำลังแก่จิตอย่างดีเลิศ กล่าวคือ จิตมีความอิ่มเอิบใจ เป็นสุข จิตจึงไม่แสวงหาออกไปภายนอก และย่อมระงับความดำริพล่าน ดื่มด่ำอยู่กับปีติ สุข อุเบกขา ที่เกิดขึ้นมานั้นๆ  เมื่อไม่เกิดการแสวงหา จิตย่อมสงบขาดตัณหาในสิ่งอื่นๆ  จึงเป็นจิตที่ควรเพื่อการนำมาวิปัสสนาเป็นอย่างยิ่งดังนั้นเมื่อถอนออกมาจากฌานสมาธิเหล่านั้นแล้ว อำนาจหรือผลอันเกิดแต่องค์ฌานนั้นยังคงทรงหรือประคองอยู่ไปได้อีกระยะหนึ่งๆ  อาการที่ทรงหรือประคองได้อยู่อีกระยะหนึ่งๆดังนี้เป็นไปคล้ายดั่งเมื่อเราโดนอะไรกระทบผัสสะแรงๆ เมื่อกระทบไปแล้ว และหยุดกระทบไปแล้วก็จริงอยู่ แต่อาการที่ยังเจ็บหรือเวทนาที่ยังมีอาการส่งผลให้รับรู้อยู่ ยังคงมีอยู่ต่อไปอีกนาน....จนนานมาก ซึ่งย่อมขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยอื่นอีกเช่นกันเช่น ความแรงที่กระทบ จุดที่กระทบ ฯลฯ.  ณานสมาธิก็เป็นไปเฉกเช่นนั้น จึงอย่าได้ถามว่าอาการของจิตและกายที่เกิดแต่อำนาจขององค์ฌานมีระยะเวลาทรงอยู่ได้ยาวนานแค่ไหน?  เป็นชั่วโมง?  เป็นวัน?  เป็นอาทิตย์?  เป็นเดือน?  เหตุเพราะว่าวิสัยของฌานหรือสมาธินั้นเป็นอจินไตย ขึ้นอยู่กับ จริต  วสี  สิ่งแวดล้อมอันสัปปายะ ฯลฯ. ของผู้ปฏิบัติเป็นสำคัญ  จึงไม่มีผู้ใดทำนายได้ดังที่พระองค์ได้ทรงตรัสไว้ดีแล้วในอจินติตสูตร,  ตรงนี้แหละที่เมื่อผู้ปฏิบัติมาถึงความสุข สงบ สบาย ได้แล้ว แล้วไม่นำพาประกอบด้วยไม่รู้ จึงไม่ได้เจริญวิปัสสนาเลย  แต่เพลิดเพลินไปในความสุขสงบสบายด้วยอาการหลงผิดยิ่งด้วยอวิชชาว่าเป็นนิโรธอันพ้นทุกข์แล้ว   จึงเกิดขึ้นและเป็นไปดังที่ท่านหลวงตามหาบัวได้กล่าวแสดงธรรมไว้ในเรื่อง  หลักเกณฑ์การปฏิบัติสมาธิ - ปัญญา ไว้ดังเช่นนี้

         "หลักใหญ่ให้จิตสงบได้นั้นแหละเป็นของดี  เพียงจิตสงบเท่านั้นก็ตัดความกังวลวุ่นวาย  ซึ่งเคยประจำจิตเสียดแทงจิตออกได้โดยลำดับลำดา  จนถึงกับเป็นขั้นสบาย  เพราะฉนั้นผู้ภาวนาเมื่อจิตเป็นสมาธิแล้ว   จึงมักขี้เกียจในการพิจารณาธรรมทั้งหลายด้วยปัญญา   นอนจมอยู่กับสมาธินั้นเสียไม่ออกพินิจพิจารณา   สุดท้ายก็เข้าใจว่าความรู้ที่แน่วแน่แห่งความเป็นสมาธิของตนนั้น   จะเป็นมรรคผลนิพพานไปเลย   ในข้อนี้ผมเคยเป็นมาแล้ว   จึงได้นำมาอธิบายให้ท่านทั้งหลายได้ทราบ    ว่าสมาธิต้องเป็นสมาธิ   ปัญญาต้องเป็นปัญญา   เป็นคนละสัดเป็นคนละส่วน   เป็นคนละอันจริงๆ   ไม่ใช่อันเดียวกัน   หากเป็นอยู่ในจิตอันเดียวกันนั่นแล  เป็นแต่เพียงไม่เหมือนกัน"

        "จิตที่เป็นสมาธิ ก็เต็มภูมิ(webmaster - หมายความว่า มีขีดจำกัด)ได้เหมือนกัน    เมื่อถึงขั้นเต็มภูมิแล้ว  จะทำอย่างไรก็ไม่เกินนั้น  ไม่เลยนั้นไปอีก  ถึงขั้นสมาธิที่เต็มภูมิแล้วก็มีแต่ความแน่วแน่ของจิต  ความละเอียดของจิตที่รู้อย่างแน่วแน่เท่านั้น     จะให้มีรายละเอียดแหลมคมหรือแยบคายต่างๆแผ่กระจายออกไปฆ่ากิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่างๆที่มีอยู่ในใจนั้นไม่ได้   เพราะไม่เห็นเพราะไม่รู้    ด้วยเหตุดังนี้ ท่านจึงสอนให้พิจารณาทางด้านปัญญา     ซึ่งเป็นเรื่องแยบคายกว่าสมาธิอยู่มากมาย จนหาประมาณไม่ได้   นี่แหละปัญญา  จึงเป็นปัญญา...."

        "ผู้ที่เป็นสมาธิ   ถ้าไม่ออกพิจารณาทางด้านปัญญา    จะเป็นสมาธิอยู่อย่างนั้นตลอดไปจนกระทั่งวันตาย  ก็หาเป็นนิพพานได้ไม่   หาเป็นปัญญาได้ไม่  ต้องเป็นสมาธิอยู่ตลอดไป   นี่ละท่านจึงสอนให้ออกพิจารณาทางด้านปัญญา   มีความจำเป็นอย่างนี้ให้ทุกๆท่านจำไว้ให้แม่นยำ   นี่สอนด้วยความแม่นยำด้วย   สอนด้วยความแน่ใจของเจ้าของ เพราะได้ผ่านมาแล้วอย่างนี้   ติดสมาธิก็เคยติดมาแล้ว"

         "ผมเคยได้พูดให้หมู่เพื่อนฟังฟังมานานแสนนานหลายครั้งหลายหน  จนนับไม่ได้นั่นแหละ   ว่าได้ติดสมาธินี้มาเสียอย่างจำเจ   หรือติดสมาธิมาเสียจนจม พูดง่ายๆจนเป็นความขี้เกียจ   จนเกิดความสำคัญว่าสมาธินี้แลจะเป็นนิพพาน  สมาธินี้แลจะเป็นธรรมชาติที่สิ้นกิเลส   จะสิ้นอยู่ตรงนี้   ตรงที่รู้ๆนี่แหละ  ไม่มีที่อื่นใดเป็นที่สิ้นกิเลส  นั่น เหมาเอาเสียทั้งหมด......"

         ฌานสมาธิอันเป็นเครื่องอยู่ เครื่องปฏิบัติอันมีประโยชน์ยิ่ง  เมื่อปฏิบัติผิดไปดังนี้ กล่าวคือเกิดการติดเพลินไปในฌานสมาธิโดยไม่รู้ตัว ก็ย่อมไม่ยังประโยชน์แต่กลับเป็นโทษ ในการติดเพลินในความสุขสงบเหล่านี้แทน กิเลสกามตามปกติเสียนั่นเอง  โดยไม่รู้ตัว  หรือรู้ตัวแต่เข้าใจผิดไปว่า ความสุขสงบนั้นเป็นนิโรธ เป็นมรรคผลอย่างแท้จริง  แต่ตามความเป็นจริงแล้ว ยังเป็นเพียงวิกขัมภนนิโรธอันยังไม่เที่ยง ยังแปรปรวนกลับกลายหายสูญได้

 

มิจฉาสมาธิ - ตั้งใจผิด ได้แก่ จดจ่อ ปักใจ แน่วในอารมณ์ผิดๆ เช่นแน่วแน่หรือจดจ่อในอกุศลธรรมต่างๆ เช่น ในกามราคะ, ในพยาบาท, หรือการจมแช่ติดเพลินในความอิ่มเอิบ(ปีติ)สุข,สงบ,สบายต่างๆ ที่เกิดขึ้นแต่อำนาจของฌานสมาธิ เป็นต้น (ข้อ ๘ ในมิจฉัตตะ ๑๐)

แสดง สมาธิภาวนา มีด้วยกัน ๔ ประการ

 

 

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ