buddha

ตัณหา คือสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศล

 หัวข้อธรรม ๑๕

ตัณหา คือสังขารขันธ์อย่างหนึ่ง หรือ"อกุศลสังขารขันธ์"นั่นเอง

  คลิกขวาเมนู

        ตัณหา มักใช้กล่าวในปฏิจจสมุปบาท และในอริยสัจ ๔ เรื่องสมุทัยและโดยทั่วๆไปแบบโดยรวม  แต่เมื่อนำไปพิจารณาเทียบเคียงกับขันธ์ ๕ ก็จัดได้ว่าเป็นสังขารขันธ์ ฝ่ายอกุศล คืออารมณ์ทางโลกๆหรืออาการต่างๆของจิตฝ่ายอกุศลทั้งหลายนั่นเอง   เหตุที่ต้องนำมาจำแนกแตกธรรมกัน เพราะมีการกล่าวถกเถียงกันอยู่เนืองๆว่า ตัณหาจัดเป็น โทสะบ้าง โมหะบ้าง โลภะบ้าง ฯ. ก็มี  แต่เพื่อให้มีความเข้าใจที่ถูกต้อง อีกทั้งสอดคล้องกับหลักธรรมปฏิจจสมุปบาท อีกทั้งขันธ์ ๕ ที่มักเน้นกันอยู่เนืองๆในเว็บนี้  จึงต้องจำแนกให้ชัดเจน   ลองโยนิโสมนสิการด้วยตนเองดังนี้

        ตัณหา โดยทั่วไปให้คำจำกัดความไว้ว่า,  ตัณหา คือ ความทะยานอยาก, ความดิ้นรน, ความปรารถนา, ความเสน่หา มี ๓ คือ
        ๑. กามตัณหา ความทะยานอยากในกาม คือรรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส คืออยากได้อารมณ์(สิ่งที่จิตกำหนด)อันน่ารักใคร่
        ๒. ภวตัณหา ความทะยานอยากในภพ เช่น อยากเป็นนั่นเป็นนี่ หรือความอยากในธรรมารมณ์ หรืออรูปต่างๆ
        ๓. วิภวตัณหา ความทะยานอยากในวิภพ เช่น อยากไม่เป็นนั่นไม่เป็นนี่ อยากพรากพ้นดับสูญไปเสีย  ความไม่อยากในสิ่งที่เป็นธรรมารมณ์ หรืออรูปต่างๆ

        ที่กล่าวข้างต้นนั้นเป็นคำจำกัดความโดยทั่วไปของตัณหา  แต่เมื่อนำไปตีความในปฏิจจสมุปบาท หรือขันธ์ ๕ จึงต้องโยนิโสมนสิการให้เข้าใจและถูกต้อง,  ตัณหานั้น ถ้าโยนิโสมนสิการโดยละดอียดและแยบคายแล้ว ย่อมพบความจริงยิ่งว่า  ตัณหา ความทะยานอยาก ความปรารถนา ฯ. ล้วนเป็นสังขารอย่างหนึ่ง คือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น โดยจิต หรือก็คือ สิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้น จึงย่อมต้องจัดเป็นสังขารขันธ์(สิ่งที่จิตปรุงแต่ง หรือสิ่งปรุงแต่งขึ้นของจิต)อย่างหนึ่งนั่นเอง  แต่ประกอบด้วยกิเลส คือความทะยานอยาก ความปรารถนา ความเสน่หา ฯ.  จึงกล่าวโดยย่อได้ว่า ตัณหา ก็คือ สังขารขันธ์ฝ่ายอกุศลนั่นเอง  ดังนั้นจึงครอบคลุมสังขารขันธ์ฝ่ายชั่วหรืออกุศลทั้งปวงไว้อย่างกว้างขวาง จึงครอบคลุมทั้ง ราคะ โทสะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ.,  ดังนั้นจึงไม่ได้มีความหมายแต่เพียงว่า ตัณหา คือ โลภะ หรือ ราคะ แต่อย่างเดียว  เพราะตัณหาล้วนไปเกี่ยวข้องพัวพันกับอาการของจิตต่างๆอย่างกว้างขวาง  อีกทั้งถ้าตีความไปเพียงเท่านี้ อกุศลสังขารขันธ์อื่นๆ เช่น โทสะ โมหะ ฟุ้งซ่าน หดหู่ ย่อมไม่จัดเป็นตัณหาได้ ถ้าเป็นดังนั้นแล้วไซร้ ธรรมดังกล่าวย่อมไม่ทำให้เกิดอุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ คืออุปาทานทุกข์ขึ้นได้

        ด้วยเหตุดังนี้ ในปฏิจจสมุปบาท จึงกล่าวอย่างเฉพาะเจะจงไปว่าเพราะ "เวทนา เป็นปัจจัย  จึงมีตัณหา" จึงใช้แทนการกล่าวว่าเพราะ "เวทนา เป็นปัจจัย จึงมีสังขารขันธ์" ดังในขันธ์ ๕ เหตุเพราะปฏิจจสมุปบาทแสดงการเกิดขึ้นของทุกข์  และเวทนาในปฏิจจสมุปบาทโดยแท้จริงแล้ว ย่อมแฝงด้วยกิเลสหรืออามิส หรือฝ่ายอกุศลอยู่ในทีแล้ว เพราะเกิดขึ้นมาจากเหตุคือ อาสวะกิเลสที่นอนเนื่องร่วมด้วยอวิชชา เป็นเปัจจัยให้เกิด    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิดวิญญาณขึ้น เป็นธรรมดา   สังขาร(สิ่งปรุงแต่ง)    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิดวิญญาณขึ้น เป็นธรรมดา   จึงเกิดวิญญาณ    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิดวิญญาณขึ้น เป็นธรรมดา    นามรูป    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิดวิญญาณขึ้น เป็นธรรมดา   สฬายตนะ    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิดวิญญาณขึ้น เป็นธรรมดา   ผัสสะ    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิดวิญญาณขึ้น เป็นธรรมดา   เวทนา    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิดวิญญาณขึ้น เป็นธรรมดา   ตัณหา(อกุศลสังขารขันธ์)    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิดวิญญาณขึ้น เป็นธรรมดา   อุปาทาน    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิดวิญญาณขึ้น เป็นธรรมดา   ภพ    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิดวิญญาณขึ้น เป็นธรรมดา   ชาติ    การกระทบกันของปัจจัยทั้ง๒ ย่อมเกิดวิญญาณขึ้น เป็นธรรมดา   ชรา..มรณะ และะอาสวะกิเลส(โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายส)ดังที่กล่าว,  จึงเป็นเหตุให้เกิดการเวียนว่ายตายเกิดขึ้นมาใหม่จากอาสวะกิเลสนี้นี่เอง

        ตัณหา - ความรู้สึกทะยานอยาก (รวมถึงความไม่อยากด้วย) ซึ่งก็คือ อารมณ์ปรารถนาหรืออารมณ์ทะยานอยากนั่นเอง, ความรู้สึกปรารถนา, ความปรารถนาที่จะบำรุงบำเรอปรนเปรอตน, ความอยากได้อยากเอา (craving; selfish desire) ซึ่งแท้จริงแล้วกจึงเป็น อาการของจิตชนิดหนึ่ง หรืออารมณ์ทางโลกอย่างหนึ่งนั่นเอง ความรู้สึกหรืออารมณ์ที่ประกอบด้วยความทะยานอยากหรือความอยากให้เป็นไปตามใจปรารถนาในสิ่งต่างๆนั่นเอง จึงเป็นสังขารขันธ์(สิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้น)อย่างหนึ่ง

        สังขารขันธ์ - สภาพหรือธรรม(อาการของจิต หรืออารมณ์ทางโลก หรือความรู้สึก) ที่ปรุงแต่งจิต ให้เกิดการกระทำต่างๆ ได้ทั้งฝ่ายดี หรือชั่ว และแม้กลางๆ  ได้ทั้งทางกาย วาจา และใจ  (โดยการไปปรุงจิตให้เกิดสัญเจตนาคือเจตนา คือการคิดอ่านหรือปรุงแต่งจิต),  หรือกล่าวอีกนัยได้ว่า คือ ธรรม(สิ่ง,อาการของจิต)ที่มีเจตนา(สัญเจตนา)เป็นประธาน ที่ไปปรุงแต่งจิตให้เกิดการกระทำต่างๆทั้งความคิดนึก การพูดจา การกระทำทางกาย มีทั้งที่ดีเป็นกุศล ที่ชั่วเป็นอกุศล และที่กลางๆ,  สังขารขันธ์มักเป็นการกล่าวใช้กันทั่วๆไปในเรื่องขันธ์ ๕

        ตัณหา ความรู้สึกทะยานอยาก ความปรารถนา จึงเป็นอาการอย่างหนึ่งของจิต ดังกล่าวข้างต้น คือสภาพหรืออาการของจิต ที่มีความปรารถนา หรือจิตมีสภาพหรืออาการความทะยานอยากหรือปรารถนาในสิ่งหนึ่งสิ่งใด  จึงเป็นเหตุไปปรุงแต่งจิต ให้เกิดความคิดอ่านหรือเจตนาให้เป็นไปตามความปรารถนาหรือความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสของตัวตน อันคืออุปาทานนั่นเอง (จึงเทียบได้กับความคิดอ่านหรือสัญเจตนาในขันธ์ ๕)  ที่จะกระทำในสิ่งต่างๆ ออกมาทั้งทางกาย วาจา ใจ ให้เป็นไปตามใจปรารถนาหรือกิเลสตน  จึงกล่าวได้ว่าตัณหานั้นเป็นสังขารขันธ์อย่างหนึ่งนั่นเอง เพียงแต่เป็นฝ่ายอกุศล ดังที่กล่าวข้างต้น เพราะยังให้เกิดเจตนาในลักษณาการเดียวกันกับขันธ์ ๕ เพียงแต่เจตนานั้นคืออุปาทานคือเจตนาหรือคิดอ่านตามความเชื่อมั่นหรือยึดมั่นถือมั่นตามกิเลสของตัวตนเป็นสำคัญ จึงเป็นฝ่ายอกุศล อันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ ดังแสดงในปฏิจจสมุปบาท

        ดังนั้นตัณหาอันเป็นทั้งสังขาร(สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น)  อีกทั้งเป็นสังขารขันธ์ในขันธ์ ๕ อย่างหนึ่งอีกเช่นกัน เพราะเป็นธรรม(หรือสิ่งหรือสภาพ)หรืออาการของจิต ที่ไปปรุงแต่งจิต ให้เกิดความคิดอ่านต่างๆให้เห็นเป็นไปตามอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นความเชื่อด้วยกิเลสตน  จึงเป็นสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศลฝ่ายเดียว และกล่าวใช้กันในปฏิจจสมุปบาทและโดยทั่วๆไปแม้ในอริยสัจ ๔ และแบบรวมๆใน"อกุศลสังขาร"ทั้งปวง

        ตัณหา จัดเป็นอารมณ์ในทางโลกอย่างหนึ่งนั่นเอง เพราะคือ สภาพหรืออาการของจิตหรือความรู้สึก ที่มีหรือประกอบด้วยความทะยานอยากหรือความปรารถนาจึงเร่าร้อน ในชั่วขณะระยะเวลาหนึ่งๆ

        ในปฏิจจสมุปบาทกล่าวแสดงไว้ว่า เวทนาเป็นเหตุ จึงเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา (หรือสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศลขึ้นนั่นเองเมื่อเทียบเคียงกับขันธ์ ๕ จึงครอบคลุมถึงเหล่า โทสะ โมหะ โลภะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯ.)  และตัณหาเป็นเหตุดังเช่นโทสะ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทาน anired06_next.gif ภพ anired06_next.gif ชาติ จึงเกิดทุกข์,  จึงไม่ใช่แต่ความอยาก ความปรารถนาแต่เพียงอย่างเดียว  คือเกิดความคิดอ่านหรือเจตนายึดมั่นให้เป็นไปตามกิเลสตน หรือก็คือทำให้เกิดอุปาทานคือมีเจตนาหรือยึดมั่นถือมั่นให้เป็นไปตามกิเลสหรือโทสะของตนนั่นเอง

        อุปาทาน ความเจตนาหรือความยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสตน (จึงจัดเป็นสัญเจตนาอย่างหนึ่งก็ได้เมื่อเทียบกับขันธ์ ๕ แต่เป็นฝ่ายอกุศล ที่ใช้กันในปฏิจจสมุปบาทและทั่วๆไป)  เพราะก็คือ เป็นการปรุงแต่งจิตให้เกิดความคิดอ่านคือเจตนาหรือสัญเจตนาให้เป็นไปตามความยึดมั่นถือมั่นตามความต้องการของกิเลสตนนั่นเอง

        อีกทั้งเหล่า โลภะ โทสะ โมหะ หดหู่ อีกทั้งนันทิความติดเพลิน ฯ. ต่างก็ล้วนเป็น"สังขารขันธ์"อย่างหนึ่ง ก็ล้วนคือตัณหาอย่างหนึ่งๆเช่นกัน เพราะล้วนถูกครอบคลุมอยู่ในตัณหาเพราะ แท้จริงแล้วก็คือ ความทะยานอยาก ความอยากได้ ความอยากเป็น หรือไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้เป็นไป ตามความปรารถนาของตนเป็นสำคัญในรูปแบบต่างๆ แท้จริงจึงล้วนเป็นตัณหาอย่างหนึ่งๆเช่นกันนั่นเอง ทั้งภวตัณหา และวิภวตัณหา คือความทะยานอยากหรือปรารถนาในสิ่งที่เป็นอรูป อยากให้เป็นดั่งนั้น ไม่อยากให้เป็นดั่งนี้ เมื่อไม่เป็นไปตามปรารถนาจึงเกิดเหล่า โทสะ โมหะ โลภะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯ. ขึ้น   ตัณหานั้นจึงครอบคลุมวงกว้างกว่าความหมายของ โลภะ โทสะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯ. จึงล้วนจัดเป็นตัณหาทั้งสิ้น

        โลภะ ความอยากได้ ส่วนใหญ่เราใช้กันในรูปธรรม อยากได้นั่น อยากได้นี่ ฯ. ส่วนตัณหานั้นครอบคลุมกว้างขวางกว่าทั้งนามธรรมอีกด้วย คืออรูป เช่น อยากได้ ลาภ ยศ สรรเสริญ ฯ. หรืออรูป

        โทสะ ความโกรธ เพราะความไม่อยากให้เกิดขึ้นหรือเป็นไป(วิภวตัณหา) ความที่ไม่เป็นไปตามตัณหาความปรารถนาตนหรือความทะยานอยากของตน จึงเกิดการขุ่นข้อง ขัดเคืองใจ, ความไม่สมหวังจึงเกิดโทสะ

        โมหะ ความหลง ความมัวเมา ความกลัว ความกังวล ความริษยา ความเขลา ลุ่มหลง เบาปัญญา ฯ. เพราะความไม่รู้  เช่น เพราะไปหลงยึด หลงเข้าใจยึดถือไปตามตัณหาคือตามใจปรารถนาตน ความริษยา, เพราะไม่รู้ตามความจริง จึงเกิดความกลัว ฯ., ความไม่สมหวังจึงเกิดโมหะ, หรือเกิดความทุกข์ ความเศร้า ความหดหู่

        หดหู่ หงุดหงิด รำคาญใจ ก็เกิดจากความไม่เป็นไปตามใจปรารถนา ตามความอยาก ความต้องการ อันคือตัณหา

        ฟุ้งซ่าน  ก็เกิดจากความคิดปรุงแต่งไปในสิ่งต่างๆจนเกิดความอยาก ความปรารถนาต่างๆนาๆ ความทุกข์ต่างๆขึ้น

        ถ้าไม่พิจารณาดังนี้ ก็จะเห็นเพียงตัณหา ที่หมายถึงความปรารถนาแบบพื้นๆโดยทั่วไป  ก็จะไม่เห็นการเกิดของทุกข์ จากตัณหาพวกอรูปจากภวตัณหาและวิภวตัณหา คือโทสะ โลภะ โมหะ อีกทั้งนันทิความติดเพลิน ฯ. ซึ่งล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทานได้ทั้งสิ้น ความยึดมั่นถือมั่นตามกิเลสตน คือ การคิดอ่านที่ปรุงจิตให้เกิดกรรม การกระทำต่างๆทั้งทาง กาย วาจา ใจ ไปในทางชั่วคืออกุศล คือตามความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสของตน,  ด้วยเหตุเพราะทั้งโทสะ โมหะ โลภะ ฯ. ต่างล้วนเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทานทั้งสิ้น

        ตัณหา ตามที่แสดงดังกล่าว จึงจัดเป็น"สังขารขันธ์"อย่างหนึ่งนั่นเอง เป็นเพียงการต่างกันของการจำแนกแตกธรรมไปในแต่ละเรื่องราวเท่านั้น จึงเสมือนหนึ่งการกล่าวว่า ท้องร่วง ก็เป็นอุจจาระอีกอย่างหนึ่งนั่นเอง

        ตัณหาจึงเปรียบได้หรือถือเป็นส่วนหนึ่งของสังขารขันธ์ในขันธ์ ๕ เพียงแต่ครอบคลุมฝ่าย"อกุศลสังขารขันธ์"หรือ"อารมณ์ฝ่ายอกุศล"ทั้งหลายนั่นเอง เช่น โทสะ โมหะ โลภะ ราคะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน นันทิ ฯ.  และมักใช้กันโดยทั่วๆไปในการแสดงอาการของจิต ที่ประกอบด้วยความทะยานอยาก ความปรารถนาอันเร่าร้อน ความใคร่

        ตัณหา คือสิ่งหรืออาการอย่างหนึ่งของจิต คืออารมณ์ทางโลกอย่างหนึ่ง ที่ไปปรุงแต่งจิตให้เกิดอุปาทาน(สัญเจตนา,เจตนา,ความคิดอ่าน)ให้เกิดการกระทำต่างๆที่ประกอบด้วยความทะยานอยาก,ความปรารถนาตามกิเลสตน หรือไปในทางอกุศลนั่นเอง ได้ทั้งทางกาย วาจา ใจ

        จึงเป็นไปตามหลักธรรมปฏิจจสมุปบาท ที่กล่าวไว้ว่า เพราะตัณหาเป็นเหตุหนึ่งที่เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน นั่นเอง จึงรวมเหล่าอกุศลสังขารขันธ์ทั้งปวงเช่น โทสะ โมหะ โลภะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ. ดังที่แสดงใน จิตตานุปัสสนา ซึ่งแสดงให้รู้ชัด เท่าทันใน สังขารขันธ์หรือจิตสังขารต่างๆ คือเท่าทันจิต ซึ่งเมื่อเป็นฝ่ายอกุศลแล้ว ก็ไม่เอาไปยึดถือ คือปล่อยวางหรืออุเบกขาเสีย  ซึ่งก็คือเพราะตัณหาเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทาน(เทียบเท่ากับสัญเจตนาในขันธ์ ๕ แต่เป็นฝ่ายอกุศล) ความเจตนาหรือความคิดอ่าน ให้เห็นเป็นไปตามความเชื่อ ตามความยึดมั่น ถือมั่นตามกิเลสคือตัณหาของตัวตน ดังใน อุปาทาน ๔ คือ กามุปาทาน สีลัพพตุปาทาน ทิฎฐุปาทาน และอัตตวาทุปาทาน เป็นสำคัญ

 anired06_next.gif     anired06_next.gif     anired06_next.gif ตัณหา anired06_next.gif อุปาทาน anired06_next.gif ภพ anired06_next.gif ชาติ anired06_next.gif......ธรรมารมณ์     ใจ   anired06_next.gif วิญญูาณูปาทานขันธ์    anired06_next.gif   เวทนูปาทานขันธ์  

                   วงจร ปฏิจจสมุปบาท                                  อุปาทานขันธ์๕ อันเกิดวนเวียนอยู่ใน ชรา อันเป็นทุกข์                    

   ดำเนินไปตามวงจรใหม่  anired06_next.gif อาสวะกิเลส anired06_next.gif มรณะ anired06_next.gif......สังขารูปาทานขันธ์ เกิดมโนกรรมคิดที่เป็นทุกข์      สัญญูปาทานขันธ์    

ภาพขยายในชรา   ล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ อันเป็นทุกข์ เพราะเกิดจากสังขารูปาทานขันธ์ในชาติ อันถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว

แสดงรายละเอียดในวงจร"รา" โดยพิศดาร  อันเป็นส่วนหนึ่งของวงจรปฏิจจสมุปบาท

 

 หัวข้อธรรม

 

กลับหน้าเดิม