จิตทำงานทั้งในขณะหลับและตื่น |
|
มี พุทธพจน์ ดำริไว้ดังนี้
"ภิกษุทั้งหลาย การที่ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะเข้าใจไปยึดถือว่า"ร่างกาย"อันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ว่าเป็นตัวตน (webmaster - ขยายความว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นความเข้าใจที่ผิดก็ตาม แต่ก็ )ยังดีกว่าจะยึดถือ"จิต"ว่าเป็นตัวตน(อัตตา) เพราะว่า กายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ นี้ ยังปรากฎให้เห็นว่าดำรงอยู่ (ขยายความว่า แต่ยังแสดงให้เห็นถึงความคงทนอยู่ไม่ได้อย่างแท้จริง อย่างไรเสียก็ยังแสดงให้เห็นว่าคงทนอยู่ได้) เพียงปีหนึ่งบ้าง ๒ ปีบ้าง ๓ - ๔ - ๕ ปีบ้าง ๑๐ - ๒๐ - ๓๐ - ๔๐ - ๕๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง เกินกว่านั้นบ้าง แต่สิ่งที่เรียกว่า จิต มโน หรือวิญญาณนี้ ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป เกิดดับอยู่เรื่อย ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน (ขยายความว่า จิตนั้นแท้จริงแล้ว เกิดแล้วดับ...เกิดดับๆ เหมือนดั่งลมหายใจ อยู่ได้ทั้งในขณะตื่น และแม้ขณะหลับ ไป เช่นการฝัน แต่กลับไม่สังเกตุเห็นการเกิด การดับ ของจิตนั้นๆ จิตเป็นสังขารอย่างหนึ่งจึงเกิดแต่เหตุปัจจัยจึงมีการเกิดดับๆอยู่เสมอๆ คงสภาพอยู่ไม่ได้ มิได้คงอยู่อย่างต่อเนื่อง เมื่อไม่รู้ไม่เห็นดังนี้ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จึงเกิดการไปยึดจิตเสียว่า "มีตัวมีตน" ดังในลักษณาการของเจตภูต ก็มี ซึ่งท่านกล่าวไว้ว่า เป็นการหลงผิดที่ร้ายยิ่งกว่าการหลงผิดไปยึดถือว่ากายเป็นของตัวตน,เป็นตัวตน จึงหลงยึดไปว่าเป็นเราหรือของเราอย่างจริงจัง)"
เมื่อฝันแล้ว เวลาตื่นขึ้นมาลองนำมาพิจารณา จะเห็นว่าเป็นไปดังที่พระพทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า "จิตทำงานทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน คือทั้งขณะที่หลับและตื่น" ดังนั้นเวลาฝัน ในบางครั้งจะสังเกตุรู้ได้อย่างชัดเจนว่าเกิดเวทนาต่างๆขี้น เป็นสุขเวทนาบ้าง เป็นทุกขเวทนาบ้าง อทุกขมสุขเวทนาบ้าง คือ ฝันดีบ้าง ฝันหวานบ้าง ฝันร้าย ฝันต่างๆนาๆบ้าง ตลอดจนเกิดสังขารขันธ์ต่างๆคืออารมณ์ต่างๆเช่น โทสะบ้าง ราคะบ้าง หดหู่บ้าง กลัวบ้าง ฯ.บางครั้งตื่นขึ้นมาด้วยเหงื่อโทรมกายด้วยความกลัว ด้วยความตื่นเต้น ฯ. ถ้าเรานำฝันมาพิจารณา จะเห็นความจริงอย่างหนึ่งว่า การทำงานของขันธ์ทั้ง ๕ นั้นว่า ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา มันทำงานและเป็นไปตามหลักเหตุปัจจัย จึงควบคุมบังคับมันไม่ได้ ความฝันนั้นก็คือ ธรรมารมณ์อย่างหนึ่งนั่นเองที่มาจาก สัญญาความจำหรืออาสวะกิเลสที่นอนเนื่อง มันสามารถผุดหรือรำลึกขึ้นมาได้เองโดยธรรมคือธรรมชาติ เป็นสภาวธรรมชาติอย่างหนึ่งของชีวิต มันเป็นของมันเช่นนี้เอง ควบคุมบังคับมันไม่ได้ เสมือนหนึ่งการผุดขึ้นมาของความจำ(สัญญา) เช่น ลืมกระเป๋าตังค์ ลืมกุญแจ ลืมโทรศัพท์ ฯ. ที่บางครั้งมันสามารถผุดขึ้นมาได้เองโดยไม่เจตนาเช่นกัน เหมือนดั่งการฝัน ดังนั้นเมื่อมันผุดขึ้นมาเป็นธรรมารมณ์หรือความคิดนึกคือความฝันนั่นเอง จึงย่อมผัสสะกับใจ ที่แม้หลับใหลอยู่นั่นเอง
ธรรมารมณ์(ฝัน)
ใจ
มโนวิญญาณ
(การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ คือ) ผัสสะ
สัญญาจํา
เวทนา (จากฝันดีบ้าง
ฝันร้ายบ้าง ฝันเรื่อยเปื่อยบ้าง)
สัญญาหมายรู้
สังขารขันธ์
(สภาพของใจหรืออารมณ์แม้ในฝันให้เกิดเป็น โทสะบ้าง ราคะบ้าง เพลิดเพลินบ้าง หวาดหวั่นจนเหงื่อโทรมกายบ้างก็มี ฯ.)
ลองสังเกตุอีกอย่างหนึ่ง ความฝันที่ผุดขึ้นมานั้น ส่วนใหญ่มักเป็นประสพการณ์ในอดีตโดยเฉพาะในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆใกล้ๆนั่นเอง หรืออาจนานเป็นวัน,อาทิตย์ๆก็ได้ หรือเช่นจากหนังบ้าง จากทีวีบ้างที่ดูก่อนนอน จากการฟุ้งซ่านปรุงแต่ง หรือจากความทรงจำต่างๆในอดีตที่ถูกกระตุ้น หรือถูกเร่งเร้าด้วยบางสิ่งบางอย่างบ้างที่มากระทบ ความตั้งใจบ้าง ความมุ่งมั่นบ้าง ฯ. และแม้ย้อนอดีตไปได้ยาวนานแสนนานบ้างก็มี แต่มักประกอบด้วยการมีสิ่งเร้ามาร่วมกระตุ้นด้วยการผัสสะอย่างหนึ่งอย่างใด และเป็นไปโดยมักไม่รู้ตัว แต่ถ้าพิจารณาโดยละเอียดและแยบคายก็มักจะพบเหตุได้
จากพุทธพจน์นี้ แสดงให้เห็นและโยนิโสมนสิการได้ว่า จิตนั้นเกิดดับๆ ชั่วขณะหนึ่งๆ ไม่ใช่เป็นอัตตาตัวตนอย่างถาวร เกิดขึ้นจากมีเหตุเป็นปัจจัยกัน จึงเป็นเช่นนี้ แม้ทั้งขณะหลับและแม้ในขณะตื่น และเป็นสังขารอย่างหนึ่งนั่นเอง จึงไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาตัวตนเรา จิตจึงทำงานตามหน้าที่ของเขาเองได้ โดยที่เราบังคับบัญชามันไม่ได้อย่างแท้จริงแต่อย่างใด
ดังนั้นผู้ที่มักจะฝันร้ายบ่อยๆ ก่อนนอนพยายามทำใจให้สงบ ไม่ฟุ้งซ่านออกไปปรุงแต่งต่างๆนาๆ ลองสังเกตุดูแม้การดูหนังภาพยนตร์ต่างๆถ้าเราดูแบบเลื่อนลอยจนผล็อยหลับไป บางครั้งเรายังเลื่อนไหลไปฝันต่อเนื่องเป็นเรื่องเป็นราวได้ ดังนั้นก่อนนอนจึงควรทำใจให้สงบ หรือดีที่สุดให้โยนิโสมนสิการในธรรมคือพิจารณาโดยละเอียดในธรรมที่ถูกจริตถูกใจ อันเป็นเครื่องอยู่อันดียิ่ง จนหลับไป และยังให้เกิดปัญญาญาณในภายภาคหน้าได้อีกด้วย และเมื่อตื่นก็เข้าใจว่า ความฝันนั้นสักว่า(เพียงแค่นี้เอง)สัญญาความจำมันผุดขึ้นมาแค่นั้นเอง มากระทบกับจิต ขันธ์ต่างๆจึงทำงานตามหน้าที่ของตน จึงไม่มีแก่นสารสาระ จึงไม่นำไปปรุงแต่งต่อ ไม่ต้องทบทวนพิจารณา อุเบกขาเสียก็จบเรื่อง
ในผู้เป็นฌาน และติดเพลิน จิตก็มักเลื่อนไหลไปทำในขณะนอนหลับได้อีกด้วย เพราะฌานก็เป็นเพียงสังขารขันธ์อย่างหนึ่งเช่นกัน ที่ควรกำหนดรู้ดังมีกล่าวไว้ในจิตตานุปัสสนาในสติปํฏฐาน ๔ ที่กล่าวถึงจิตเป็นมหรคต ก็คือจิตเป็นฌานนั่นเอง ซึ่งมักก่อปัญหาในภายหลังกับผู้ติดเพลินและมักเป็นไปโดยไม่รู้ตัว และมักมีการเลื่อนไหลไปในเวลาหลับ ทำให้แช่่อยูในฌานแม้หลับใหล ดูเผินว่าเป็นสิ่งที่ดี แต่แท้จริงแล้วให้โทษ เมื่อทำไปนานๆเข้า ก็จะนอนสั้นลงๆ สั้นลงไปเรื่อยๆ เพราะต้องตื่นมาทำจิตหรือใจให้เป็นฌานสมาธิจึงจะหลับต่อได้นั่นเอง และมีความอึดอัดไม่สบายในยามตื่นได้อีกด้วย สิ่งนี้เป็นการติดเพลินโดยไม่รู้ตัวจาการปฏิบัติ และให้โทษร้ายอื่นๆอีกในที่สุด