หัวข้อธรรม ๗

ภพ

 คลิกขวาเมนู

    ภพ สถานที่อยู่อาศัย สถานที่พำนัก เช่น โลกเป็นที่อยู่ของสัตว์, หรือหมายถึงภาวะชีวิตของสัตว์ มี ๓ คือ

    ๑. กามภพ ภพที่อยู่ของผู้เสพกาม เช่นโลก,  ภพหรือที่เกิดของผู้ยังเสวยคือเกี่ยวข้องอยู่ในกาม คือใน รูป รส กลิ่น เสียง โผฏฐัพพะ ทั้ง ๕  ดังเช่น เมื่อเกิดตัณหาเช่นความปรารถนาในรูปนั้นๆ  หรืออกุศลสังขารขันธ์ต่างๆเช่นโทสะ ฯ.  จึงเกิดอุปาทานขึ้น คือทำให้เกิดเจตนาที่ไปปรุงแต่งจิตให้เห็นเป็นไปตามกิเลส หรือความพึงพอใจของตนเป็นสำคัญ ดังเช่นเกิดตัณหาในรูปนั้นๆ ก็ย่อมเกิดอุปาทานไปปรุงแต่งจิตให้เห็นเเป็นไปตามกิเลสตนเป็นสำคัญ  จึงเกิดการยึดมั่นถือมั่นให้เป็นไปตามกิเลสตน จึงเกิดกามภพขึ้น  หรือเช่นเมื่อเกิดโทสะ ก็ย่อมยังให้เกิดอุปาทานเกิดเจตนาให้เห็นเป็นไปตามความเชื่อความพอใจหรือความยึดมั่นของตน แต่ไม่ได้ตามปรารถนาจึงเกิดความโกรธหรือโทสะขึ้น

    ๒. รูปภพ ภพของผู้เข้าถึงรูปฌาน  หรือภพผู้ที่ติดใจในรูปฌาน หรือในรูปอันวิจิตร ในผู้ที่เป็นสมาธิแล้วย่อมรับรู้ในรสชาติอร่อย หรือความสุข สงบ สบายต่างๆที่เกิดขึ้นจากผลของสมาธิเช่นรูปฌาน  แล้วเกิดการติดเพลินหรือตัณหาขึ้น จึงย่อมเกิดอุปาทาน คือเจตนาที่ไปปรุงแต่งจิตให้เห็นเป็นไปตามกิเลส หรือความพึงพอใจของตนในรูปฌาน(สมาธิ)นั้นๆ  จึงติดเพลิน อยู่ในรูปภพ   หรือการเกิดขึ้นจากรูปอันวิจิตร คือเกิดจากกามทั้ง ๕ ในกามภพนั่นแหละ แต่มีความวิจิตรพิสดารกว่ากามทั้ง ๕ มากเป็นพิเศษ คือมีความยึดว่าเป็นเราเป็นของเรา เช่น ในบุตร ภรรยา รถ บ้าน เงินทอง ฯลฯ. คือในสิ่งหรือกามทั้ง ๕ อันวิจิตรกว่า ด้วยคิดว่าเป็นเราเป็นของเรา  จึงมีความละเอียดลึกซึ้งกว่า กามภพเสียอีก

    ๓. อรูปภพ ภพของผู้เข้าถึงอรูปฌาน  หรือภพผู้ที่ติดใจในอรูปฌาน คือในผลจากรสอร่อยจากรูปฌาน, ภพของผู้ที่ติดในอรูปธรรม เช่นธรรมารมณ์ทั้งหลาย  ไม่อยากเป็นตัวตนอย่างใดอย่างหนึ่ง(อรูป) เช่นไม่อยากเป็นนั่น ไม่อยากเป็นนี่  อยากดับสูญ  ไม่อยากเป็นคนยากจน ฯ.,  หรืออยากในอรูปต่างๆอันวิจิตรเช่น อยากมีชื่อเสียง อยากมีเกียรติ์ อยากร่ำรวย ฯ.

     "ภพ" จึงหมายถึง ที่อยู่ ที่อาศัย,  ดังนั้นองค์ธรรม "ภพ" ในปฏิจจสมุปบาท จึงหมายถึง ภพจิต ที่อยู่ที่อาศัยของจิต คือสภาวะของจิตในขณะนั้นๆ เช่น กามภพ  หรือแยกแยะรายละเอียดย่อยลงไปอีก ดังเช่น ภพของโทสะ  ดังนั้นภพจึงคือการตกลงปลงใจของจิต คือการตกลงปลงใจ อันเป็นไปตามอำนาจของอุปาทานอันเป็นเหตุที่ได้ครอบงำแล้วนั่นเอง กล่าวคือ สภาพที่จิตหรือภาวะของจิตถูกปรุงแต่งอยู่ภายใต้อำนาจของอุปาทานด้วย จึงยังให้เกิด(ชาติ)คือการเกิดของทุกข์ คือเกิดการกระทำต่างๆ(กรรม)แตกต่างจากขันธ์ ๕ คือเป็นไปตามอำนาจอุปาทานที่เป็นเหตุปัจจัยให้ครอบงำอยู่ ซึ่งกระทำได้ทั้งทางกาย วาจา และใจ นั่นเอง คือสังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นคือตัณหาได้แปรปรวนถูกครอบงำไปเป็นสังขารูปาทานขันธ์   เพราะว่าภาวะของภพในปฏิจจสมุปบาทร่วมแฝงด้วยอำนาจอกุศลเจตนา ซึ่งก็คือ"อุปาทาน"คือความยึดมั่นถือมั่นต่างๆตามกิเลสตน เช่น ภาวะหรือสภาพของจิตที่อาศัยอยู่ที่ประกอบด้วย โทสะ ที่หมายถึง ภาวะจิตหรือจิตอยู่อาศัยอยู่ใต้อำนาจของโมหะความโกรธ  ดังนั้นจิตคิดอะไรอยู่ก็ย่อมมักแฝงอยู่ด้วยอำนาจของโทสะ คือเจ้าของสถานที่ในขณะนั้นนั่นเอง เรียกได้ว่าอยู่ในภพของความโกรธ คือสภาวะจิตที่ประกอบหรือถูกครอบงำด้วยความโกรธ

    เช่น กามภพ ที่เกิดของสิ่งที่ยังเกี่ยวข้องอยู่ในกามหรือเกี่ยวข้องกับทางโลกๆนั่นเอง ก็คือสภาพปรุงแต่งของใจในกามคือ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เช่น เมื่อเกิดกามภพในรูป คือ การมีสังขารขันธ์ต่างๆคือสภาพปรุงแต่งใจให้คิดเห็นเป็นไปในรูปนั้นๆจนเกิดการกระทำต่างๆ  เช่น ราคะในรูป คือสภาพปรุงแต่งใจที่ประกอบด้วยราคะความใคร่ต่างๆในรูปนั้น ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง  จึงเกิดการกระทำต่างๆขึ้นตามความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสนั้น

    รูปภพ อรูปภพ ก็เป็นเฉกเช่นกัน  เข่น เมื่อเกิดรูปภพขึ้น  ย่อมหมายถึงจิตย่อมอยู่ภายใต้อำนาจปรุงแต่งต่างๆของรูปฌานหรืออรูปฌานนั่นเอง

    ภพ จึงหมายถึง ที่อยู่ที่อาศัยของจิต ภพจิตหรือสภาวะจิต ที่พร้อมแล้ว ตกลงปลงใจแล้วตามความคิดอ่านหรือเจตนาไว้ คือมีเจตนาหรือความคิดอ่าน ซึ่งถูกปรุงแต่งจิตให้เกิดขึ้นจากอำนาจของอุปาทาน คือเกิดการเจตนา(สัญเจตนา)คือจงใจหรือคิดอ่านให้เกิดการกระทำต่างๆขึ้นภายใต้อำนาจการยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสอันคืออุปาทานนั่นเอง  เมื่อภาวะชีวิตที่ตกลงปลงใจก็คือ"ภพ"หรือมโนสังขารนั่นเอง  ภพจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกรรมการกระทำคือ "ชาติ" การเริ่มเกิดขึ้นของอุปาทานทุกข์ทั้งหลาย ในปฏิจจสมุปบาทให้ดำเนินสืบเนื่องไป และวนเวียนเป็นวงจรต่อไปใน"ชรา"อันหมายถึงความแปรปรวน จึงวนเวียนปรุงแต่งเนื่องกันเป็นวงจรหมุนหนุนแต่งไปเรื่อยๆ(ในวงเล็ก)นั่นเอง  จนกว่าจะมรณะคือดับไป แต่ยังเก็บจำสั่งสมเป็นอาสวะกิเลสคือหมักหมมนอนเนื่องในจิตหรือสัญญาความจำได้หมายรู้ที่เจือด้วยกิเลสนั่นเอง รอวันเวลาขึ้นมาซึมซาบย้อมจิตอีกนั่นเอง

 anired06_next.gif      anired06_next.gif      anired06_next.gif ตัณหา anired06_next.gif อุปาทาน anired06_next.gif ภพ anired06_next.gif ชาติ anired06_next.gif......ธรรมารมณ์      ใจ   anired06_next.gif วิญญูาณูปาทานขันธ์    anired06_next.gif   เวทนูปาทานขันธ์  

                   วงจร ปฏิจจสมุปบาท                                  อุปาทานขันธ์๕ อันเกิดวนเวียนอยู่ใน ชรา อันเป็นทุกข์                   

   ดำเนินไปตามวงจรใหม่  anired06_next.gif อาสวะกิเลส anired06_next.gif มรณะ anired06_next.gif......สังขารูปาทานขันธ์ เกิดมโนกรรมคิดที่เป็นทุกข์      สัญญูปาทานขันธ์    

ภาพขยายในชรา   ล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ อันเป็นทุกข์ เพราะเกิดจากสังขารูปาทานขันธ์ในชาติ อันถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว

เปรียบเทียบกระบวนธรรมต่างๆของวงจรปฏิจจสมุปบาท กับ กระบวนธรรมของขันธ์ ๕

กระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ ดำเนินไปจนถึง........สังขารขันธ์ >------> สัญเจตนา >---->  มโนสังขาร >----> มโนกรรม(กรรม) การกระทำต่างๆ    

กระบวนธรรมปฏิจจสมุปบาท ดำเนินไปจนถึง......ตัณหา >--------------> อุปาทาน >---------> ภพ >----------> ชาติ การเกิดของทุกข์ด้วย การกระทำต่างๆ(กรรม)

 

หัวข้อธรรม

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ