ไฉนจึงกล่าวว่า
"ดับทุกข์ เป็นสุขอย่างยิ่ง"
เพราะดับทุกข์ คือตัวสุขนั่นเอง |
|
ปุถุชนประกอบกรรมดี ทำบุญ ทำทาน ฯลฯ. ก็ย่อมได้ผลดีในสิ่งนั้นๆ ตามหลักอิทัปปัจจยตา เป็นการปฏิบัติเพื่อการลดละในขั้นโลกิยะดังแสดงในพระสูตรมหาจัตตารีสกสูตร ดังนั้นเมื่อยังเป็นโลกิยะอยู่จึงยังมีความต้องการแบบที่แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ในจิตและมักเป็นไปโดยไม่รู้ตัวแม้ในการทำบุญ ทำทาน กล่าวคือ ก็เพื่อหวังให้เกิดความสุข หวังหมดทุกข์ หมดโศก หมดโรค หมดภัย หมดเสนียดจัญไรต่างๆในปัจจุบัน ทั้งในภายภาคหน้า กล่าวคือย่อมแอบแฝงซ่อนเร้นตั้งหวังไว้ อยากให้บังเกิดขึ้นตั้งแต่ในภพชาติปัจจุบันนี้ ตลอดจนถึงภพชาติหน้าต่อๆไป ยังล้วนมีอยู่ลึกๆซ่อนเร้นอยู่ภายในจิตของปุถุชนที่ย่อมมีอามิสเป็นธรรมดา โยนิโสมนสิการก็จะพบอามิสหรือกิเลสในความคิดที่แอบซ่อนเร้นอยู่ในจิตเหล่านี้ บุญ,ทานสิ่งเหล่านี้ก็เป็นบุญอยู่ อย่างที่ตั้งใจไว้ เพียงแต่ว่ายังเป็นการปฏิบัติแบบทางอ้อม กล่าวคือ ยังมัวสาระวนกับการสั่งสมบุญ,สั่งสมกุศลต่างๆ แต่ฝ่ายเดียวจนเนิ่นช้า ขาดการปฏิบัติวิปัสสนาทางด้านปัญญา ที่มีสติและสมาธิเป็นเครื่องหนุน จึงทำให้เสียเวลาเนิ่นนาน หลายภพหลายชาติ ทั้งๆที่สามารถปฏิบัติแบบสายตรงเพื่อดับภพดับชาติ หรือดับทุกข์เหล่านี้ได้ในปัจจุบันชาตินี้นี่เอง
ในเมื่อหวังความสุขแล้ว ก็ไม่ควรรอในภพชาติหน้า เพราะสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านทรงสั่งสอนนั้น ต้องการให้เกิดการพ้นทุกข์อันเป็นสุขขึ้นในภพชาติ ในปัจจุบันนี้เป็นสำคัญ จึงจะเป็นสิ่งที่ถูกพุทธประสงค์อย่างแท้จริงเป็นลำดับแรก จึงควรใฝ่ใจในการปฏิบัติวิปัสสนา เพราะเป็นทางสายสั้นตัดตรงที่สุดแล้ว ที่จะนำไปสู่ความสุข อันสะอาด สงบ และบริสุทธิ์อย่างยิ่งที่มีความแตกต่างจากความสุขทางโลกที่ยังแปรผัน และสามารถกระทำได้ตั้งแต่ในภพชาติปัจจุบันนี้ โดยไม่ควรรอคอยให้เก้อหรือเนิ่นช้าในภพชาติหน้า กระทำหรือปฏิบัติโดยตรงๆอย่างถูกต้อง ให้เกิดในปัจจุบันชาติ ปัจจุบันภพนี้แหละ หรืออย่างน้อยก็ให้ทุกข์นั้นจางคลายหายไปตามควรแห่งฐานะตนโดยถูกต้อง
โยนิโสมนสิการปฏิจจสมุปบาท โดยแยบคาย จักพบความจริงอย่างยิ่งว่า ปุถุชนนั้นสร้างแต่ทุกข์ และดับทุกข์ขึ้นเท่านั้น, สุขนั้นไม่มี เพราะคำว่าสุขนั้น แท้จริงตามความจริงขั้นสูงสุดอย่างปรมัตถ์แล้ว สุขนั้นก็คือคำว่า"ดับทุกข์"นั่นเอง จึงเป็นไปดังคำกล่าวของพระอริยเจ้า คือท่านวชิราภิกษุณีว่า
มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
นอกจากทุกข์ที่เกิด นอกจากทุกข์ที่ดับ แล้วไม่มีอะไร
(จาก วชิราสูตร)
เพราะสิ่งที่เกิดดับทั้งปวง ล้วนเป็นสังขาร เมื่อเป็นสังขารแล้ว ย่อมมีความไม่เที่ยง จึงคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ จึงเป็นทุกข์ในที่สุดนั่นเอง
เพราะว่าตามความเป็นจริงอย่างยิ่งหรือปรมัตถ์แล้ว คำว่า "สุข" นั้น เป็นเพียง ภาษาสมมุติทางโลกหรือแทนคำบัญญัติของคำว่า "ดับทุกข์" นั่นเอง แต่ด้วยอวิชชาจึงไม่รู้เท่าทันตามมายาของจิต จึงหลงไปว่ามีสุขนั้นไปจริงๆโดยซึมซาบไม่รู้ตัวโดยธรรมคือธรรมชาติ จึงเป็นไปเหมือนดั่งการเกิดขึ้นของอัตตวาทุปาทาน ที่เป็น ๑ ในอุปาทาน๔ ที่ก่อให้เกิดทุกข์โทษภัยไปทั่วหล้า ซึ่งเป็นเพียงการใช้ถ้อยคำเพื่อใช้ในการสื่อสารเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของในสิ่งต่างๆ จนจิตหลงไปยึดว่ามีเขา มีเรา ต่างๆอย่างจริงจังคือยึดมั่น โดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชาอันมีแต่การเกิด ดังที่กล่าวโดยละเอียดไว้แล้วในเรื่องอุปาทาน๔ ในปฏิจจสมุปบาท
โยนิโสมนสิการในปฏิจจสมุปบาทโดยละเอียดและแยบคาย
จักเกิดปัญญาจักขุในกระบวนธรรมของจิตได้อย่างแจ่มแจ้งว่า ปุถุชนนั้นเมื่อปรารถนาเร่าร้อนในสิ่งใด
ก็คือ การเกิดขึ้น ที่หมายถึง เกิดการทำงานของตัณหาอันเร่าร้อนขึ้นก่อนนั่นเอง
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้
เกิดอุปาทานที่ยิ่งร้อนแรงขึ้น
ความยึดมั่นที่เป็นกลไกของธรรมชาติเพื่อการสนองตอบให้ยังผลขึ้นต่อความอยาก(ตัณหา)ที่เกิดขึ้นนั้นๆ
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้
เกิดภพ
ภาวะการตกลงใจของจิตในกามภพที่เกิดขึ้นนั้นๆ
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้
เกิดชาติ
อันคือสัญญูปาทานขันธ์
คือสัญญาหมายรู้ที่หมายรู้ตามความพึงพอใจของตัวหรือเพื่อตน หรือตามกิเลสของตน อันคือความหมายรู้ที่ประกอบด้วยอุปาทานนั่นเอง
แล้วย่อมเกิดการกระทำชนิดประกอบด้วยอุปาทานหรือสังขารูปาทานขันธ์ขึ้นตามสัญญูปาทานขันธ์ข้างต้นนั้น
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้
เกิดชรา
อันเป็นกระบวนธรรมของอุปาทานขันธ์
๕ อันปรุงแต่งไม่หยุดหย่อนและดำเนินไปอย่างแปรปรวน
วนเวียน และเร่าร้อนเป็นทุกข์ อันเป็นสภาวธรรม(ธรรมชาติ)ที่เกิดขึ้นและเป็นไปเยี่ยงนี้ในปุถุชนทุกๆคนที่ย่อมยังไม่มีวิชชา
ดังนี้
...ตัณหา
→ อุปาทาน
→ ภพ → ชาติ
→ รูปูปาทานขันธ์
+ ใจ + วิญญูาณูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์
เช่นคิดที่เป็นทุกข์ ในวงจรล้วนเป็นขันธ์ที่เป็นอุปาทานขันธ์ เพราะล้วนถูกครอบงําด้วยอุปาทานแล้ว ในองค์ธรรมชรา |
จากปฏิจจสมุปบาทธรรมนี้จักเห็นได้ว่า เมื่อเกิดตัณหาหรือความปรารถนาคือความอยากหรือแม้การไม่อยากในสิ่งใดขึ้น ก็คือการเริ่มการเกิดขึ้นของทุกข์นั่นเอง และถ้าสิ่งที่ปรารถนา(ตัณหา คืออกุศลจิตหรืออกุศลสังขารขันธ์นั่นเอง เช่น โลภะ โทสะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ.)นั้นได้รับการตอบสนองหรือก็คือการดับทุกข์นั้นๆลงไปได้นั่นเอง ก็เกิดเป็นสิ่งที่เราเรียกกันโดยภาษาสมมุติทางโลกๆว่า "ความสุข" ขึ้น ซึ่งเรียกกันต่อๆตามกันมาจนไม่รู้ตามความเป็นจริงว่ามาจากความหมายว่า "ดับทุกข์ลงไปได้" นั่นเอง, ลองพิจารณาโดยละเอียดและแยบคายด้วยตัวตนเอง จะพบว่าสุขนั่นแหละคือการดับทุกข์, สุขทางโลกจึงเป็นสิ่งที่เราต้องสร้างทุกข์นั้นๆขึ้นมาก่อนโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา ทุกข์ไหนที่รุนแรงเข้มข้นกระวนกระวายทะยานอยากมาก ถ้าได้รับการตอบสนองหรือก็คือการดับทุกข์ในสิ่งนั้นลงไปได้ ก็จะรู้สึกว่าเป็นสุขมาก อันเป็นไปตามกำลังของความทุกข์ ที่เกิดที่สร้างขึ้นด้วยตนเองโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชานั่นเอง ดังนั้นทุกข์ใดที่ดับไปได้ จึงเรียกกันว่าเป็นสุข แต่แม้จะเป็นสุขอันยิ่งก็จริงอยู่ แต่เพราะเป็นสภาวธรรมของชีวิตที่ย่อมล้วนเก็บจำ จึงนอนเนื่องเป็นอาสวะกิเลสรอคอยให้กำเริบเสิบสานขึ้นใหม่ในคือปริเทวะ กล่าวคือ เกิดอาการโหยไห้อาลัยหาในสุขขึ้นในภายหน้า ที่เป็นดั่งอาการของความหิว กระหาย ที่แม้เมื่อบริโภคหรือสนองจนอิ่มก็ย่อมดับไป แต่แล้วก็กำเริบเสิบสานให้โหยไห้อาลัยหาขึ้นใหม่อยู่เนืองๆเสมอๆ ไม่รู้จักจบสิ้นทุกวี่วัน ความสุขทางโลกแท้จริงโดยปรมัตถ์แล้วจึงเป็นทุกข์อย่างหนึ่งนั่นเอง กล่าวคือ เป็นทุกข์อันละเอียดอ่อนซ่อนเงื่อน จึงเกิดขึ้นและเป็นไปดังนี้
สุขเวทนา เป็นสุขเพราะตั้งอยู่ เป็นทุกข์เพราะแปรไป
ทุกข์ใดที่ดับไปได้ คือสนองตัณหาอุปาทานได้ กล่าวคือเป็นไปตามความปรารถนาได้ จึงเรียกกันว่าสุข คือเกิดเวทนูปาทานขันธ์คือเป็นสุขเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทานที่เป็นไปตามความพึงพอใจของตัวตนอันคือกิเลส ย่อมพร้อมด้วยอาการของการคิดวนเวียนหรือฟุ้งซ่านเป็นวงจรในชรา ดังวงจรข้างต้นเช่นกัน แม้ล้วนประกอบด้วยอุปาทานแต่ยังให้เกิดความสุขยิ่ง เพราะกามภพหรือภพได้รับการสนองยิ่งตามความปรารถนา
ส่วนทุกข์ใดที่ดับไม่ได้ หรือไม่ได้รับการตอบสนองให้เป็นไปตามความต้องการหรือความยึดมั่น ก็เกิดความทุกข์อันร้อนรนทุรนทุรายเร่าร้อนขึ้น และยังต้องวนเวียนวอแวอยู่ในชรา อยู่ในจิตไปอีกนานๆ และแม้มรณะคือดับไปแล้วก็ตาม แต่ทุกข์ทางโลกนั้นก็เฉกกัน ที่ล้วนเก็บจำนอนเนื่องเป็นอาสวะกิเลสรอคอยให้กำเริบเสิบสานขึ้นใหม่ เหมือนดั่งสุขข้างต้นเช่นกัน ก็เนื่องแต่กิเลสที่นอนเนื่องเพียงรอเวลาให้ฟุ้งขึ้นย้อมจิตจากเหล่าโสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส นั่นเอง
ความสุขทางโลกก็อุปมาได้ดังความหิวหรือความอยากอาหารนั่นแล เวียนว่ายตายเกิดวันละหลายๆครั้ง อยากขึ้นมาก็หากินตามปรารถนาก็เป็นสุข แล้วสุขนั้นก็ดับไปเมื่อสมปรารถนา แล้วตกบ่าย ตกเย็น ก็เวียนว่ายตายเกิดอยากในสุข หรือแท้จริงก็คือทุกข์ อยู่เยี่ยงนั้นเอง
ทั้งสุขและทุกข์ จึงยังคงการเกิดภพ เกิดชาติ วนเวียนอยู่ในวัฏสงสาร และยังต้องเกิดทุกข์ขึ้นจากการต้องดูแลรักษาในสิ่งที่ได้มาตามปรารถนานั้นๆให้คงอยู่ คงทนไปอีกนานแสนนานโดยไม่รู้ตัว(พิจารณาดูจากทรัพย์,บุตรหรือคนรัก) จึงยังไม่สงบ สะอาด บริสุทธิ์ ดังความสุขในธรรมหรือสุขจากการหลุดพ้นจากกองกิเลส อันเป็นสุขที่สงบ สะอาด บริสุทธิ์ ไม่เจือผลร้ายใดๆอีกต่อไป และเป็นการสิ้นภพสิ้นชาติแห่งทุกข์อย่างแท้จริงตั้งแต่ปัจจุบันชาตินี้นั่นเอง
ดังนั้นจึงสมดังคำกล่าวที่ว่า
ความจริงแล้ว จึงมีแต่ทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป
นอกจากทุกข์ที่เกิด นอกจากทุกข์ที่ดับ แล้วไม่มีอะไรอื่นอีก เป็นสาระ.
ดังนั้น
ดับทุกข์ จึงเป็นสุขนั่นเอง
ด้วยเหตุดั่งนี้เอง
ดับทุกข์ทั้งปวง จึงเป็นสุขอย่างยิ่ง
ดังนั้นการดับทุกข์โดยตรงอย่างถูกต้องเท่านั้น จึงเป็นการปฏิบัติทางสายสั้นตัดตรงที่สุด สู่ความสุขบริสุทธิ์สงบอันเร้นลับยิ่ง
ด้วยเหตุดังนี้นี่เอง
พระองค์ท่านที่สอนแต่เรื่องทุกข์ ก็เพื่อการนำประโยชน์ไปใช้ในการดับทุกข์ อันเป็นสุขยิ่งนั่นเอง
ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ
พระสูตรที่แสดงธรรมของท่านวชิราภิกษุณี
ขยายความได้ดังนี้
ความจริงสังขารทั้งปวงอันย่อมเป็นทุกข์ในที่สุดเท่านั้นย่อมเกิด สังขารทั้งปวงอันย่อมเป็นทุกข์ในที่สุดย่อมตั้งอยู่ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจากสังขารทั้งปวงอันย่อมเป็นทุกข์ในที่สุด ไม่มีอะไรเกิด นอกจากสังขารทั้งปวงอันย่อมเป็นทุกข์ในที่สุด ไม่มีอะไรดับ
เมื่อนำให้พิจารณาร่วมกับ อนิจจลักษณะ และทุกขลักษณะ จะพบความจริงยิ่ง
อนิจจลักษณะ ลักษณะที่เป็นอนิจจะ,
ลักษณะที่แสดงว่าเป็นของไม่เที่ยง ไม่คงที่ ได้แก่
๑. เป็นไปโดยการเกิดขึ้น
และสลายไป คือ เกิดดับๆ มีแล้วก็ไม่มี
๒. เป็นของแปรปรวน คือ เปลี่ยนแปลงแปรสภาพไปเรื่อยๆ
๓. เป็นของชั่วคราว อยู่ได้ชั่วขณะๆ
(ตามเหตุปัจจัยของแต่ละสังขาร จึงมีความยาววงจรชีวิตของสังขารไม่เท่ากัน)
๔. แย้งต่อความเที่ยง คือ โดยสภาวะของมันเอง ก็ปฏิเสธความเที่ยงอยู่ในตัว
(เหตุเมื่อไม่เที่ยงแล้ว ผลยังให้เกิดทุกข์ เนื่องต่อไปอีกด้วย)
ทุกขลักษณะ เครื่องกำหนดว่าเป็นทุกข์, ลักษณะที่จัดว่าเป็นทุกข์,
ลักษณะที่แสดงให้เห็นว่าเป็นทุกข์คือ
๑. ถูกการเกิดขึ้น
และการดับสลาย บีบคั้นอยู่ตลอดเวลา
๒. ทนอยู่ด้วยได้ยาก
อีกทั้งทนได้ยากหรือคงอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
๓. เป็นที่ตั้งแห่งความทุกข์
๔. แย้งต่อสุขหรือเป็นสภาวะที่ปฏิเสธความสุข
ดังนั้นสิ่งใดไม่เที่ยง จึงย่อมเป็นทุกข์ด้วยเหตุดังนี้นี่เอง
จึงมีพุทธดำรัสตรัสสอนอยู่เนืองๆเรื่อง สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง จึงเป็นทุกข์ ไว้ดังใน อนัตตลักขณสูตร
ปริฬาหสูตร
ว่าด้วยความเร่าร้อน
[๑๗๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นรกชื่อว่ามีความเร่าร้อนมาก มีอยู่ในนรกนั้น
บุคคลยังเห็นรูปอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยนัยน์ตาได้
(แต่มัก)เห็นรูปที่ไม่น่าปรารถนาอย่างเดียว ไม่เห็นรูป ที่น่าปรารถนา
เห็นรูปที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่เห็นรูป ที่น่าใคร่
เห็นรูปที่ไม่น่าชอบใจอย่างเดียว ไม่เห็นรูป ที่น่าชอบใจ
ได้ฟังเสียงอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยหูได้ ...
ได้สูดกลิ่นอย่างใด อย่างหนึ่งด้วยจมูกได้ ...
ได้ลิ้มรสอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยลิ้นได้ ...
ได้ถูกต้องโผฏฐัพพะอย่างใด อย่างหนึ่งด้วยกายได้ ...
ได้รู้แจ้งธรรมารมณ์อย่างหนึ่งด้วยใจได้
(มัก)รู้แจ้งรูปที่ไม่น่าปรารถนา อย่างเดียว ไม่รู้แจ้งรูป ที่น่าปรารถนา
รู้แจ้งรูปที่ไม่น่าใคร่อย่างเดียว ไม่รู้แจ้งรูป ที่น่าใคร่
รู้แจ้งรูปที่ไม่น่าพอใจอย่างเดียว ไม่รู้แจ้งรูป ที่น่าพอใจ.
(สุขเวทนามักไม่เห็นชัด แต่ทุกขเวทนาอันเร่าร้อนมักแลเห็นได้ง่าย)
[๑๗๓๒] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ความเร่าร้อนมาก ความเร่าร้อนมากแท้ๆ ความเร่าร้อนอื่นที่มากกว่า และน่ากลัวกว่าความเร่าร้อนนี้ มีอยู่หรือ?
พ. ดูกรภิกษุ ความเร่าร้อนอื่นที่มากกว่าและน่ากลัวกว่าความเร่าร้อนนี้มีอยู่
ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความเร่าร้อนอื่นที่มากกว่า และน่ากลัวกว่าความเร่าร้อน นี้ เป็นไฉน?
ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมยินดี(จึงเกิดตัณหา)ในสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด(ชาติ) ฯลฯ
ยินดีแล้ว(คือเกิดตัณหาแล้ว) ย่อมปรุงแต่ง(วนเวียนอยู่ในชรา) ครั้นปรุงแต่งแล้ว
ย่อมเร่าร้อนด้วยความเร่าร้อนเพราะความเกิดบ้าง ความแก่บ้าง ความตายบ้าง
ความเศร้าโศก ความร่ำไร ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจบ้าง
เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่พ้นไปจากความเกิด ... ความคับแค้นใจ ย่อมไม่พ้นไป จากทุกข์.
(เป็นการดำเนินไปตามกระบวนธรรมปฏิจจสมุปบาท)
[๑๗๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ส่วนสมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ย่อมรู้ชัด ตามความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น ย่อมไม่ยินดีในสังขารทั้งหลาย ซึ่งเป็นไปเพื่อความเกิด ฯลฯ
ไม่ยินดีแล้ว ย่อมไม่ปรุงแต่ง ครั้นไม่ปรุงแต่งแล้ว ย่อมไม่เร่าร้อน ด้วยความเร่าร้อนเพราะความเกิด ... และความคับแค้นใจ
เรากล่าวว่า สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นย่อมพ้นจากความเกิด ... ความคับแค้นใจ ย่อมพ้น จากทุกข์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละ เธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตาม ความเป็นจริงว่า
นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา.
จบ สูตรที่ ๓