ชรา-มรณะ และอาสวะกิเลส ในปฏิจจสมุปบาท
ชรา ที่จะกล่าวในที่นี้ เป็น ชรา ในองค์ธรรม ชรา-มรณะและอาสวะกิเลสอันมี โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปปายาส อันเป็นองค์ธรรมเดียวกันในวงจรปฏิจจสมุปบาท
ชรา โดยความหมายทั่วไป มีความหมายแปลว่า ความแก่ ความทรุดโทรม, อันล้วนเกิดขึ้นเพราะความไม่เที่ยง จึงมีการเปลี่ยนแปลง หรืออาการแปรปรวนไปเป็นธรรมดา จึงมีความหมายหลายนัยยะ ขึ้นอยู่กับสาระและธรรมนั้นๆ ดังนั้นจึงอย่าวิจิกิจฉาหรือยึดมั่นด้วยทิฏฐุปาทานในความหมายของคำว่าชรา ที่หมายถึงความแก่ ความเฒ่าของสังขารร่างกายแต่อย่างเดียว อันจักเป็นดังที่พระองค์ท่านกล่าวไว้ว่า "ธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น" ในอวิชชาสูตร, แม้ในพระไตรปิฏกเอง จึงมีการกล่าวถึงชราหรือความแปรปรวนไว้หลายนัยด้วยกัน ดังเช่น ชรา ที่หมายถึงความแปรปรวนวนเวียนของทุกข์ในปฏิจจสมุปบาทก็มี ชรา ที่หมายถึงแปรปรวนถดถอยของสังขารร่างกายหรือความแก่เฒ่าในทุกขอริยสัจก็มี หรือในมหาสติปัฏฐาน ๔ ก็มี ชรา ที่หมายถึงการแปรปรวนของธรรมหรือจิตหรือขันธ์ต่างๆในชราธรรมสูตรก็มี ฯลฯ.
ดังนั้น ชรา โดยโลกุตระหรือทางธรรมแล้ว จึงมีความหมายถึง การเปลี่ยนแปลง การแปรปรวน การทรุดโทรมลง ของบรรดาสังขารทั้งปวง จึงไม่ใช่หมายเฉพาะแต่สังขารกายแต่อย่างเดียวเท่านั้น
ตามธรรมชาตินั้น สังขารในความหมายพระไตรลักษณ์ที่ครอบคลุมสิ่งที่ถูกปรุงแต่งทุกสรรพสิ่ง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมตั้งอยู่ระยะหนึ่งอย่างชราหรืออย่างแปรปรวนถดถอยหรือเสื่อมลงไปนั่นเอง แล้วจึงต้องดับไปเป็นที่สุด
ดังนั้น ชรา ในวงจรปฏิจจสมุปบาท จึงมีความหมายเฉกเช่นเดียวกัน ในความแปรปรวน ความไม่เที่ยง ที่เกิดขึ้นเช่นกัน แต่เน้นแสดงถึงความแปรปรวนที่หมายถึง ความแปรปรวนของอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ หรือความแปรปรวนของอุปาทานทุกข์ ซึ่งก็คือความวนเวียนอยู่ในอุปาทานทุกข์นั่นเอง และทุกข์เป็นชนิดอุปาทานทุกข์ที่มีอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสหรือความพึงพอใจของตัวของตนเข้ามามีอำนาจครอบงำ ดำเนินและเป็นไปโดยไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาตลอดชีวิต ไม่ได้เป็นทุกข์ธรรมชาติเหมือนดังเวทนาที่ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเมิ่อมีการผัสสะ แต่เป็นความทุกข์ชนิดที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ทรงเพียรพยายามสั่งสอนเวไนยสัตว์ ให้ดับมันลงไป อันคืออุปาทานทุกข์ อันก่อให้เกิดความรู้สึกรับรู้ที่เร่าร้อนเผาลนด้วยไฟของเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน (เวทนูปาทานขันธ์) อันดำเนินเกิดขึ้นและเป็นไปอย่างวนเวียนต่อเนื่องจึงยาวนาน และเสมอๆเป้นเอนกอยู่ในชรา นี้นี่เอง
ชราในปฏิจจสมุปบาท จึงหมายถึง สภาวะของความวนเวียนและแปรปรวนของเหล่าอุปาทานขันธ์ ๕ ที่เกิดดับๆๆ วนเวียนอย่างเร่าร้อนเผาลน
ตามปกตินั้น กระบวนจิตที่ดำเนินไปในวงจรปฏิจจสมุปบาทจนถึงองค์ธรรมชาติใช้เวลาชั่วขณะจิต หรือเร็วกว่าสายฟ้าแลบเสียอีก จึงต้องใช้ทั้งสติและปัญญาในการรู้เท่าทันเท่านั้น แต่เมื่อดำเนินไปอยู่ในองค์ธรรมชรา อันเป็นที่เกิดดับของอุปาทานขันธ์๕อันยังให้เกิดอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนเผาลน กลับอ้อยอิ่งวนเวียนแบบ เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆ วนเวียนแปรปรวนอยู่เยี่ยงนั้น จนกว่าจะมีสติรู้เท่าทันและให้ปัญญาจัดการต่อปัญหานั้น หรืออาจเบี่ยงเบนบดบังด้วยเหตุอันหนึ่งอันใด หรือด้วยอำนาจพระไตรลักษณ์เองจึงดับไป จึงเป็นที่เกิดของสภาวะการรับรู้ความรู้สึก(เวทนูปาทานขันธ์)เป็นทุกข์หรือสุขอันยาวนาน ถึงแม้เป็นสุขแต่ก็ล้วนเผาลน และเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทุกข์ในภายหน้าด้วยอาสวะกิเลส
ตามที่กล่าวอยู่เสมอๆว่า ตามธรรมชาติแล้วปุถุชนดำเนินชีวิตเป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาท แต่เป็นไปโดยไม่รู้ตัวและเพราะความไม่รู้(อวิชชา) และองค์ธรรม ชรา นี้นี่เอง ที่ปุถุชนรู้สึกทั้งเป็นสุขและเป็นทุกข์ หรือทั้งสุขทั้งทุกข์คละเคล้ากัน แต่ก็่ล้วนแฝงด้วยความกระวนกระวาย เร่าร้อน เผาลน ด้วยอำนาจของอุปาทาน กล่าวได้ว่าเป็นองค์ธรรมที่ปุถุชนดำเนินและเป็นไปใน ชรา นี้เป็นส่วนใหญ่ และเป็นไปด้วยความไม่รู้ ดังที่แสดงชราไว้แล้วใน "ตัวอย่าง การเกิดปฏิจจสมุปบาทในชีวิตประจำวัน" เมื่อโยนิโสมนสิการก็จะเห็นความคิดปรุงแต่งอันล้วนแฝงอุปาทานที่เกิดขึ้นวนเวียน เกิดๆดับๆ ได้อย่างยาวนาน จนกว่าจะเกิดการเบี่ยงเบนหรือบดบังจนเกิดการแยกพรากโดยสภาวะธรรมอื่นๆ และยังเก็บสั่งสมเป็นอาสวะกิเลส ดังที่กล่าวมาแล้ว และที่ชรานี้นี่เอง เป็นที่ดำเนินไปของอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ในรูปความคิดนึกปรุงแต่ง อันเป็นทุกข์ ที่ปุถุชนทั้งหลายพากันร้อนลุ่มเผาลน อยู่กันเป็นระยะเวลานานๆ และเมื่อดับไปเพราะการแยกพรากด้วยเหตุอันใดก็ดี ก็กลับมาเกิดขึ้นใหม่ได้เรื่อยๆเพราะอาสวะกิเลสและอวิชชาเป็นปัจจัยแก่กันและกันนั่นเอง
ภาพขยายวงจรของอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ที่จักเกิดใน ชรา อย่างค่อนข้างต่อเนื่อง และเป็นไปได้อย่างยาวนานขึ้นอยู่กับการคิดปรุงแต่ง
...ตัณหา
→ อุปาทาน
→ ภพ → ชาติ
→ รูปูปาทานขันธ์
+ ใจ + วิญญูาณูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ มโนกรรมคิดที่เป็นทุกข์ ในวงจรล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ เพราะล้วนถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว |
อุปาทานขันธ์ ทั้ง ๕ ได้แก่
รูปูปาทานขันธ์ = อุปาทานรูปขันธ์ หมายถึง รูป หรือสิ่งถูกรู้หรือสัมผัสได้ด้วยอายตนะภายใน คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ดังนั้นจึงมีความหมายครอบคลุมทั้ง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์(สิ่งที่รับรู้ได้ด้วยใจ เช่น ความคิด) แต่ล้วนแฝงด้วยอุปาทานความยึดมั่นในพึงพอใจของตัวของตนที่เกี่ยวข้องกับรูปนั้นด้วย
วิญญาณูปาทานขันธ์ = อุปาทานวิญญาณขันธ์ หมายถึง วิญญาณหรือระบบประสาทที่สื่อสารการกระทบผัสสะ หรือการรู้แจ้งในสิ่งที่มาผัสสะ แต่ก็ล้วนแฝงด้วยอุปาทานเช่นเดียวกัน ประสาทสื่อสารการกระทบสัมผัสนั้น จึงโน้มเอียงไปตามอุปาทานโดยไม่รู้ตัว
เวทนูปาทานขันธ์ = อุปาทานเวทนาขันธ์ หมายถึง ความรู้สึกรับรู้ที่เกิดแต่การผัสสะ แต่ก็ล้วนแฝงด้วยอุปาทาน ความรู้สึกรับรู้นั้นจึงเอนเอียงแทรกแซงด้วยอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสหรือความพึงพอใจของตัวของตนเป็นใหญ่เช่นเดียวกันโดยไม่รู้ตัว
สัญญูปาทานขันธ์ = อุปาทานสัญญาขันธ์ หมายถึง การจำได้ และการหมายรู้ แต่ก็ล้วนแฝงด้วยอุปาทาน จึงจำได้และหมายรู้เอนเอียงไปตามความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสหรือความพึงพอใจของตัวของตนเองเป็นสำคัญ จึงย่อมทำให้การหมายรู้นั้น หมายรู้ไปตามความเชื่อความเข้าใจของตนเองโดยไม่รู้ตัว จึงไม่เห็นเป็นไปตามความเป็นจริงอันถูกต้องของสิ่งหรือธรรมนั้นๆ
สังขารูปาทานขันธ์ = อุปาทานสังขารขันธ์ หมายถึง สังขารการกระทำต่างๆที่เกิดขึ้น ทั้งทางกาย วาจา ใจ แต่ก็ล้วนแฝงด้วยอุปาทาน จึงกระทำและเป็นไปตามความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสหรือความพึงพอใจของตัวและตน
แล้วสังขารูปาทานขันธ์ที่เกิดขึ้นนี้ หรือมโนกรรมความคิดนึกที่เกิดขึ้นนี้ ก็จะแปรปรวนไปเป็นความคิดต่างๆที่เนื่องสัมพันธ์กับสังขารูปาทานขันธ์ที่เกิดนั้น แล้วไปทำหน้าที่เป็นรูปูปาทานขันธ์หรือธรรมารมณ์ขึ้นใหม่อีก จึงเกิดการวนเวียน แปรปรวน และเร่าร้อนอยู่เยี่ยงนั้นตลอดเวลา
จากกระบวนจิตที่เกิดขึ้นในชรานั้น จะเห็นได้ว่าสามารถเกิดขึ้นได้อย่างยาวนานหรือสั้นก็ได้ ขึ้นกับการคิดนึกปรุงแต่งอันแฝงด้วยอุปาทานนั่นเอง จึงเป็นองค์ธรรมที่เกิดขึ้นยาวนาน และเป็นทุกข์หรือเสวยผลอันเร่าร้อนเผาลนที่สุดในองค์ธรรมทั้งหลายของกระบวนการการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ปฏิจจสมุปบาท ดังนั้นการปฏิบัติที่ถูกต้องเมื่อเกิดอุปาทานทุกข์เหล่านี้วนเวียนว่ายตายเกิดอยู่ คือ การมีสติรู้เท่าทัน ให้ละตัณหาเสีย แล้วให้ถืออุเบกขาเป็นกลางวางทีเฉย ไม่เอนเอียงไปแทรกแซงด้วยการคิดปรุงแต่งด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตใดๆเฉพาะในเรื่องอุปาทานทุกข์ที่กำลังเกิดขึ้นนั้น และถ้ากำลังไม่พออาจเบี่ยงเบนบดบังด้วยการเปลี่ยนอริยาบถ เป็นต้น เช่น หันไปทำสิ่งอื่นๆ หรืออาศัยการพิจารณาธรรมเป็นเครื่องอยู่
ฟังดูแล้วง่ายแสนง่าย ไม่น่ายากลำบากในการปฏิบัติแต่อย่างใด แต่การณ์กลับไม่เป็นไปง่ายๆเช่นนั้น เหตุเนื่องเพราะในปุถุชนนั้น ความคิดปรุงแต่งนั้นจัดเป็นองค์ธรรมสังขารอย่างหนึ่งที่ได้ผ่านกาลเวลาสั่งสมมาอย่างยาวนาน จนกล่าวได้ว่า ไม่รู้ว่านานสักกี่ภพกี่ชาติมาแล้วนั้น หรือเรียกว่าตั้งแต่เกิดจวบจนปัจจุบัน จนเป็นสังขารความเคยชินที่มีความชำนาญอย่างยิ่งยวด จึงเกิดการกระทำปรุงแต่งอยู่เสมอๆโดยไม่รู้ตัวเป็นธรรมดา จึงเพลิดเพลินไปกับการปรุงแต่ง แต่อย่างเป็นทุกข์ไปกับอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ตลอดเวลา จึงทำให้จิตดำเนินอยู่ในกองทุกข์เหล่านั้นโดยไม่รู้ตัว เป็นประจำสมํ่าเสมอ
ส่วนในนักปฏิบัติ อาจมีสติเห็นจิตคิดปรุงแต่งเหล่านั้นก็จริงอยู่ คือเจริญสติเช่น สติปัฏฐาน ๔ มาดีพอควรแก่การใช้งานแล้ว แต่ไม่สามารถหยุดการปรุงแต่งเหล่านั้นได้อีกเช่นกัน อันอาจเนื่องจากจิตตกอยู่ในอำนาจของอุปาทานที่มีกำลังอำนาจแรงกล้าขนาดที่สามารถครอบสรรพสัตว์มาไว้ได้ตลอดทุกกาลสมัย ได้ครอบงำเสียแล้ว จึงพยายามหยุดการปรุงแต่งเท่าใดก็ไม่สามารถหยุดได้ เป็นต้องหลุดเข้าไปวนเวียนอยู่ในกองทุกข์ในชราทุกทีไป ทั้งๆที่มีสติเห็นจิตสังขารปรุงแต่งเหล่านั้นอย่างแจ่มแจ้ง เกิดขึ้นเพราะขาดสติเท่าทันและกำลังของจิตอันเกิดแต่ปัญญานั่นเอง เนื่องเพราะยังไม่มีความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งพอควร จึงไม่เห็นเหตุว่าเกิดขึ้นมาเพราะเหตุใด เป็นการปฏิบัติตามเป็นสูตรสำเร็จแต่ฝ่ายเดียวและไม่เจริญวิปัสสนาญาณไปด้วยเพื่อให้เกิดปัญญาหยั่งรู้อย่างแจ่มแจ้งแก่ใจตนเอง ดังนั้นเมื่อเกิดเวทนาอันแก่กล้าขึ้นจึงยังให้เกิดอุปาทานอันแก่กล้าตามไปด้วยนั้น จึงไม่สามารถหยุดยั้งการคิดปรุงแต่งได้ เมื่อเกิดดังนี้บ่อยๆเข้าไม่สามารถหยุดทุกข์ได้ตามที่ตนปฏิบัติ โดยสภาวะธรรมของจิต ความเสื่อมถอยความเชื่อมั่นย่อมลดน้อยถอยลงไปเป็นธรรมดาโดยไม่รู้ตัว สิ่งเหล่านี้เป็นไปโดยอาการธรรมชาติไม่สามารถควบคุมหรือหลอกลวงมันได้ แต่ถ้ามีญาณหรือปัญญารู้เหตุรู้ผลอย่างแจ่มแจ้งพอควร ในช่วงแรกถึงแม้ว่าจะไม่สามารถหยุดการปรุงแต่งได้ทุกครั้งทุกทีไปเช่นกันก็จริงอยู่ แต่จิตจะไม่เกิดอาการเสื่อมถอยความเชื่อมั่นหรือความเข้าใจลงไป เพราะปัญญานั้นจะพลิกจิตให้พิจารณาหาเหตุที่ทำให้เกิดผลขึ้นได้อย่างถูกต้อง จนเกิดความเข้าใจกระจ่างสว่างขึ้นไปเป็นลำดับ เกิดการสั่งสมความรู้ความเข้าใจจนเกิดภูมิรู้ภูมิญาณขึ้นในที่สุด
ณ ที่ชรานี้นี่เอง ที่ฌานสมาธิอันถูกต้องดีงามจะทำหน้าที่ได้อย่างดียิ่ง คือ เป็นกำลังของจิต ในการหยุดการคิดปรุงแต่งต่างๆที่ล้วนแล้วแต่ถูกครอบงำด้วยอุปาทานอันกล้าแข็งจนเป็นอุปาทานขันธ์๕อันแข็งแกร่งและเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวาย เกินกำลังจิตธรรมดาๆจะไปหยุดได้
ดังในกรณีที่มีสติเห็นหรือระลึกรู้เท่าทัน แต่ไม่สามารถหยุดยั้งการคิดปรุงแต่งได้นั้น เพราะสติเป็นผู้ระลึกรู้ ปัญญาเป็นตัวการจัดการปัญหา สตินั้นระลึกรู้เท่าทันแล้ว ใช้ปัญญาพิจารณาว่าที่หยุดไม่ได้เพราะอะไรเป็นเหตุ เช่น เมื่อปัญญาที่พิจารณาเห็นว่า ถ้าทำเหตุคือคิดปรุงแล้วย่อมต้องเกิดผลเป็นทุกข์ขึ้นเป็นธรรมดาเป็นกฏธรรมชาติ เมื่อเข้าใจดังนี้จิตก็อาจวางการคิดปรุงแต่งลงไปได้เพราะปัญญา ที่รู้เข้าใจอย่างแจ่มแจ้งที่พิจารณาขึ้นมา หรืออาจใช้การพิจารณาในธรรมที่ทำให้เกิดนิพพิทา เพื่อคลายความอยาก(ตัณหา)ความยึด(อุปาทาน)ลงไปโดยตรงๆ เช่น พระไตรลักษณ์ พิจารณาว่าไม่เที่ยง คงทนอยู่ไม่ได้จึงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่มีแก่นแกนแท้จริง ล้วนเกิดแต่เหตุมาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน ก็จะทำให้หยุดการคิดปรุงแต่งได้เช่นกัน
มรณะ มีความหมายว่า การดับไป ความแตกทำลาย ความตาย ความแตกดับแห่งขันธ์ อันเป็นสภาวธรรม มีความหมายหลายนัยยะเช่นเดียวกับชรา ขึ้นอยู่กับสาระและธรรมนั้นๆ ดังนั้นจึงอย่าวิจิกิจฉาหรือยึดมั่นด้วยทิฏฐุปาทานในความหมายของคำว่ามรณะ ที่หมายถึงความตาย ความแตกทำลายของสังขารร่างกายแต่อย่างเดียว แม้ในพระไตรปิฏกเอง จึงมีการกล่าวถึงมรณะหรือการดับไปไว้หลายนัยยะด้วยกัน ดังเช่น มรณะ ที่หมายถึงความดับไปแห่งกองทุกข์ในขณะหนึ่งๆหรือเรื่องหนึ่งๆในปฏิจจสมุปบาทก็มี มรณะ ที่หมายถึงความแตกดับถดถอยของสังขารร่างกายหรือความตายในทุกขอริยสัจก็มี หรือในมหาสติปัฏฐานสูตรก็มี ความดับไปแห่งขันธ์หรือธรรมต่างๆ ในนิโรธธรรมสูตรก็มี หรือหมายถึงความตายในมรณะธรรมสูตรก็มี
มรณะ โดยโลกุตตระหรือทางธรรมแล้ว มีความหมายถึง การแตกดับ การดับไปของบรรดาสังขารทั้งปวง จึงไม่ได้มีความหมายเฉพาะถึงสังขารร่างกายแต่อย่างเดียวเท่านั้น
ดังนั้นมรณะ อันเป็นสภาวธรรม เป็นไปตามพระไตรลักษณ์ กล่าวคือ เมื่อมีความไม่เที่ยงแปรปรวนเกิดขึ้นแล้วเป็นธรรมดา จนแปรปรวนอย่างถึงที่สุดแล้วจึงดับไปเป็นธรรมดาหรือทุกขังที่หมายถึงความคงทนอยู่ไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเกิดอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนเผาลนในชรา แปรปรวนไปมาอยู่เยี่ยงนั้น จนในที่สุดก็ดับไปเป็นธรรมดา ไม่สามารถคงทนอยู่ได้ตลอดไป แต่การดับไปนี้มิใช่การดับไปอย่างสูญสิ้นเสียทีเดียว เป็นการดับไปชั่วขณะเพราะเหตุเกิดยังมีอยู่ คือ ยังมีชีวิตดำเนินต่อไปนั่นเอง การดับนี้เป็นลักษณาการของการดับไปอย่างชั่วขณะระยะหนึ่ง เหตุเพราะการยังเก็บจำ(สัญญา)ได้พร้อมทั้งกิเลสที่ทำให้จิตขุ่นมัวทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้นอันคืออาสวะกิเลสนั่นเอง จึงเก็บจำในรูปนอนเนื่องอยู่ในจิต และด้วยอาสวะกิเลสนี้นี่เองที่ไปเป็นเหตุเป็นปัจจัยร่วมกับอวิชชาความไม่รู้ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังขารที่สั่งสมอันจักยังให้เกิดทุกข์ขึ้นอีก เป็นวงจรอุบาทก์ของทุกข์ที่ดำเนินต่อเนื่องสัมพันธ์เป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีประมาณ จึงวนเวียนอยู่ในสังสารวัฎเช่นนี้ไปตลอดกาล
ภาพแสดงปฏิจจสมุปบาท พร้อมอุปาทานขันธ์ ๕ ในชรา เป็นลำดับ
|