การปฏิบัติสมถวิปัสสนาเบื้องต้น |
|
การปฏิบัติสมถวิปัสสนา หมายถึง การปฏิบัติทั้งฝ่ายสมถะหรือสมาธิ(สมถกรรมฐาน) และวิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน)ควบคู่ไปด้วยกัน หรือก็คือการปฏิบัติทางด้านสมาธิกับทางด้านปัญญาอย่างต่อเนื่องสัมพันธ์กันไป กล่าวคือ ปฏิบัติทางสมถสมาธิเพื่อให้เป็นเหตุปัจจัยเครื่องสนับสนุนการปฏิบัติวิปัสสนาหรือการพิจารณาธรรมให้เกิดปัญญานั่นเอง อันเป็นสิ่งจำเป็นในการปฏิบัติ เพราะฌาน,สมาธินั้นก่อให้เกิดความสงบความสุขความระงับ เนื่องจากการระงับไปชั่วขณะของกิเลสในนิวรณ์ ๕ จิตจึงไม่ซัดส่ายไปปรุงแต่งให้เกิดการผัสสะให้เกิดทุกข์ เมื่อจิตสงบระงับจึงก่อเป็นกำลังของจิตหรือสติเพื่อใช้เป็นบาทเป็นฐานเครื่องหนุนการเจริญวิปัสสนาเพื่อให้เกิดปัญญาญาณ อย่างนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหรือเจริญพระกรรมฐานอย่างถูกต้อง เพราะเป็นไปดังธรรมที่ว่า
"สมาธิปริภาวิตา ปญฺญามหปฺผลา โหติ มหานิสํสา"
|
|
|
คำว่าเบื้องต้นในที่นี้ มีความหมายว่า เป็นการปูทางความรู้ความเข้าใจเพื่อให้ดำเนินไปได้อย่างถูกต้องแนวทาง สำหรับนักปฏิบัติใหม่ หรือผู้ที่ต้องการแก้ไขปรับปรุง อันย่อมทำให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างราบรื่น และสัมฤทธิ์ผลอย่างรวดเร็วขึ้น ไม่ติดขัดจนเป็นอุปสรรคอันให้โทษอันเกิดจากการปฏิบัติผิดๆเพราะอวิชชา อันเนื่องจากความเชื่อ,ความคิด,ทฤษฎีของตน หรือตามที่มีการถ่ายทอดสืบต่อๆกันมา แต่เป็นอย่างผิดๆ (ทิฏฐุปาทาน, สีลัพพตุปาทาน) ดังนั้นควรรู้เข้าใจในเรื่อง ฌาน, สมาธิ ที่พึงจะปฏิบัติไว้บ้าง ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นดังผู้เขียนเอง ที่เมื่อเริ่มปฏิบัติด้วยตนเองใหม่ๆด้วยความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเอง เมื่อปฏิบัติสมาธิจนอยู่ในขั้นเริ่มสงบเริ่มสบาย โดยอาศัยลมหายใจเป็นอารมณ์หรือเครื่องกำหนด วันหนึ่งเมื่อจิตสงบระงับและเลื่อนไหลลงสู่ภวังค์ ต้องกระโดดผลุงลุกขึ้นทันที เนื่องด้วยความตกใจด้วยไม่รู้มาก่อนด้วยอวิชชา ดังนั้นเมื่อเกิดนิมิตขึ้นเป็นโอภาสคือเกิดแสงสว่างเจิดจ้าสว่างไสวอันตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง (อันเกิดแต่จิตหรือมโนทวาร), หรือแม้แต่เมื่อนั่งสมาธิอันอาศัยลมหายใจแต่เคล้าจิตด้วยยินดีจนเลื่อนไหลไปเป็นฌานโดยไม่เข้าใจ จึงเกิดปีติชนิดอุพเพคาปีติที่อิ่มเอิบ และรู้สึกว่าตัวเบาลอยขึ้น ก็พิศวงปลาบปลื้ม คิดปรุงไปว่าช่างแสนวิเศษจริงหนอ แถมยังหดหัวเพราะคิดกลัวจะลอยเอาหัวไปโขกเพดานเอาไปนู่น, หรือตอนที่รู้สึกว่ามือ เท้า หรือตัวเริ่มหายไป ก็ทั้งอิ่มเอิบทั้งตื่นเต้นทั้งงงงวยและยินดี บ้างก็คิดไปว่าเป็นกายทิพย์หรือเจตภูตออกจากร่าง, หรือเมื่อรู้สึกว่าลมหายใจละเอียดลงๆจนราวกับว่าหายไป ก็ลืมตัวผวาตกใจกลัวถอนออกมาก็ยังมี, ตลอดจนการเห็นภาพคือนิมิตของ อสุภ, เทวดาต่างๆนาๆ, เห็นพระอริยเจ้า แม้แต่พระพุทธเจ้า ฯลฯ. ก็ปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านไปต่างๆนาๆ ต่างๆดังที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติธรรมดาๆที่อาจพึงเกิดขึ้นในการปฏิบัติเมื่อจิตเป็นสมาธิหรือฌานในระดับประณีตขึ้น อันมักเกิดจากนิมิต และภวังค์ชนิดภวังคจลนะ ที่ทำให้จิตเคลิบเคลิ้ม เพราะหยุดการรับรู้จากทวารทั้ง๖ แต่ยังท่องเที่ยวเพลิดเพลินไปในจิตภายในตนตามสัญญาที่นอนเนื่องอยู่โดยไม่รู้ตัว(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเรื่อง นิมิตและภวังค์) ทำให้รู้สึกว่าตัวลอย ตัวยืด ตัวขยาย หัวพอง หัวยืด ตัวหด คือเคลิบเคลิ้มนั่นเอง ฯ. ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความอัศจรรย์ พิศวง งงงวย ตื่นตา ตื่นใจในความบรรเจิดเพริดแพรวที่เกิดขึ้น และยังประกอบด้วยความเชื่อ ทั้งประกอบด้วยความสงบ สุข สบาย อย่างที่ไม่เคยพบพานมาก่อน ไม่เคยประสบเยี่ยงนี้ในสภาวะธรรมดามาก่อนเลยในชีวิต จึงย่อมต้องตื่นเต้นและยินดีปรีดา พร้อมทั้งปรุงแต่งฟุ้งซ่านไปด้วยความไม่รู้จริงหรืออวิชชาไปในทางฤทธิ์ทางเดช,ทางบุญ,ทางกุศล อย่างผิดๆอีกต่างๆนาๆ, ดังนั้นถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจไว้บ้างก็จะเกิดการเข้าไปหลงปรุงแต่ง ไปติดเพลิน(นันทิ) และยึดติดยึดเชื่อ(อุปาทาน-ทิฏฐุปาทาน)ในสิ่งเหล่านั้นด้วยอวิชชาจนเกิดอธิโมกข์ อันเป็นวิปัสสนูปกิเลส เกิดความงมงายให้โทษรุนแรงไปเสีย แต่การรู้ก่อน เพื่อนำไปปรุงแต่งหรือตั้งเจตนา ตั้งความคาดหวัง ก็ไม่ดีอีกเช่นกัน เพราะความที่ฌานวิสัยหรือลักษณะอาการที่เกิดขึ้นและเป็นไปของฌานนั้นเป็นอจินไตยที่พระองค์ท่านยืนยันปุถุชนไม่สามารถทำนายได้ จึงแค่พอรู้ว่าอาจเกิดขึ้นและเป็นไปในลักษณะและอาการดังนี้ได้เป็นธรรมดา เมื่อไปประสบพบด้วยตนเองจะได้ไม่ตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ จนถูกชักจูง หรือฟุ้งปรุงแต่งไปให้ผิดแนวทางพุทธธรรมในการปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอธิโมกข์เสีย อันจะพาให้ไปหลงอยู่ในจิตเก่งตัวกล้าของฌานสมาธิ ไสยศาสตร์ เวทมนต์ คาถา อิทธิฤทธิ์ อันล้วนไม่ใช่จุดประสงค์ของการปฏิบัติเพื่อพุทธธรรมที่เป็นไปเพื่อการพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์หรือสังสารวัฏ นอกจากนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้กลับก่อให้เป็นทุกข์ขึ้นเสียอีกในภายหน้า เพียงแต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยอวิชชาจึงพากันประมาท
การปฎิบัติแต่สมถสมาธิล้วนแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยขาดการวิปัสสนากำกับคือร่วมไปด้วยนั้น อันเป็นสิ่งที่มีมานานก่อนพุทธกาลเสียอีก ที่เมื่อปฏิบัติเจริญก้าวหน้าในที่สุดก็ย่อมเกิดฌานร่วมด้วยเป็นธรรมดา(อ่านรายละเอียดใน ฌานสมาธิ) ซึ่งนักปฏิบัติย่อมเกิดความสงบ ความสุข ความสบายจากกำลังอำนาจของฌานสมาธิที่สามารถระงับกิเลสคือนิวรณ์ ๕ ลงไปได้ระยะหนึ่งๆ นักปฏิบัติจึงพากันไปเพลิดเพลิน ติดเพลินด้วยความไม่่รู้ด้วยอวิชชา จนเกิดโทษต่างๆอย่างมากมาย เช่น ติดสุข จนเป็นผลร้ายต่อจิตและกายด้วยติดเพลินหรือเสพติดเสียแล้ว และเป็นวิปัสสนูปกิเลสจึงทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าไปในการปฏิบัติได้ ซึ่งมักแสดงออกด้วยอาการจิตส่งใน อันเป็นไปโดยไม่รู้ตัวและควบคุมบังคับไม่ได้
แนวทางปฏิบัติ
หลักปฏิบัติ สมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)
- ให้หยุดคิดหยุดนึกทั้งปวง มีแต่สติหรือจิตตั้งมั่นอยู่แต่ในอารมณ์ อันมีกำลังยิ่ง
หลักปฏิบัติ วิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน)
- ให้หยุดแต่การคิดนึกปรุงแต่ง มีแต่สติหรือจิตอยู่กับการคิดพิจารณา(ใช้ปัญญา)ในเหล่าธรรมอันเป็นกุศล อันเป็นปัญญายิ่ง
ส่วนหลักปฎิบัติ สมถวิปัสสนา
- เมื่อปฏิบัติสมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)เป็นกำลังแล้ว เจริญวิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน) จึงยังทั้งกำลังและปัญญาอันยิ่งๆขึ้นไป
การปฏิบัติเบื้องต้น ก็ไม่ต้องรอฤกษ์รอยามให้ยุ่งยากเนิ่นช้าแต่ประการใดก็ได้ หรืออาจมีพิธีไหว้ครูอันดีงามตามแต่ประเพณีของแต่ละแห่งหรือสำนักนั้นๆ เพราะพระองค์ท่านได้ตรัสไว้ชัดแจ้งอย่างดีงามยิ่งแล้วว่า การประพฤติดี,กระทำดีนั้น เป็นฤกษ์ดีและบูชาดีอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว(สุปุพพัณหสูตร) ดังนั้นเมื่อคิดจะปฏิบัติขอให้เริ่มศึกษาพื้นฐานและธรรมที่ถูกจริตเสียก่อนเลยทันที ที่หมายถึง วิธีปฏิบัติสมถสมาธิ และธรรมที่ชอบ ที่คิดว่าน่าศึกษา เพื่อนำมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ที่เป็นแก่นเป็นแกนเหมือนแกนต้นไม้ที่มีความแข็งแรงและคงทน ไม่เอาเปลือก ไม่เอากระพี้ที่ยังเป็นส่วนนอกเพียงเพื่อประดับ, เลือกเฟ้นธรรม(ธัมมวิจยะ)ที่สนใจและคิดว่าก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจคือปัญญา เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกจริตถูกใจ ดังเช่น ปฏิจจสมุปบาท พระไตรลักษณ์ อริยสัจ๔ ขันธ์๕ อิทัปปัจจยตา มรรค๘ สติปัฏฐาน ๔ กายคตาสติสูตร อาพาธสูตร ฯลฯ. เมื่อเลือกได้แล้ว ก็อ่านหรือศึกษาจากครูบาอาจารย์ไว้เป็นแนวทาง เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้น ปัญหาสำคัญยิ่งคือ ตำราหรือครูบาอาจารย์ก็ดี บางเล่มหรือบางท่านก็ไม่ถูกต้องผิดลู่ผิดทาง ผู้เริ่มศึกษาย่อมไม่มีผู้ใดรู้ได้เนื่องด้วยอวิชชาอันมีติดตัวมาแต่เกิดเป็นธรรมดา จึงเป็นทั้งปัญหาใหญ่และข้อวิตกกังวลหรือวิจิกิจฉา จึงจำต้องใช้ปัญญาเข้ามาช่วย ดังนั้นเมื่ออ่านศึกษาหรือฟังจากครูบาอาจารย์แล้ว ก็อย่าเชื่ออย่างงมงาย ด้วยอธิโมกข์ในทันที และก็อย่าปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ตรงกับความคิด,ความเห็น,ความเข้าใจของตนแต่แรก ขอให้เป็นทำใจเป็นกลางไว้ก่อน เก็บจำตามที่เข้าใจเบื้องต้น แล้วนำมาพิจารณาหรือโยนิโสมนสิการอย่างหาเหตุหาผลในเวลาปฏิบัติพระกรรมฐานหรือสมถวิปัสสนานี้นี่เอง แน่นอนละที่ในขั้นนี้ ย่อมก่อให้เกิดความสับสนไม่แน่ใจ จึงกังวลสงสัยบ้างเป็นธรรมดาว่า ตำราถูกหรือเปล่า ตีความหมายถูกไหม ครูอาจารย์สอนถูกหรือเปล่า ปฏิบัติถูกไหม ใช่อย่างนี้หรือเปล่า ย่อมยังไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องทั้งหมดหรือปรมัตถ์เป็นธรรมดา จึงย่อมมีวิจิกิจฉาความกังวล ความสงสัยต่างๆ เกิดขึ้นอยู่เป็นธรรมดา อย่างเป็นระยะๆอยู่ตลอดเวลา จึงต้องใช้หลักกาลามสูตรเป็นเครื่องกำกับกันการหลงผิดแม้ในธรรมต่างๆที่เลือกสรรแล้วหรือคำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆก็ตามที ถ้าไม่สงสัยถึงจะผิดธรรมดาว่าเป็นเพราะน้อมเชื่อด้วยอธิโมกข์อันงมงายอย่างขาดปัญญา เพราะเมื่องมงายเชื่อว่าถูกต้อง หรือผิดแล้ว ก็ย่อมขาดการใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจว่าเกิดขึ้นและเป็นไปจริงตามนั้นหรือไม่, การแค่อ่านแค่ฟัง แม้หลายครั้งหลายทีก็ตามที แล้วคิดว่าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วก็ต้องพิจารณาอีกเสียด้วยว่า นั่นยังเป็นความรู้ความเข้าใจแค่เปลือกแค่กระพี้ ยังไม่เข้าใจไปถึงแก่นถึงแกนอย่างแท้จริงหรอก ยังเป็นสภาวะที่เข้าใจอย่างทางโลกอยู่ นี้คือความจริง ต้องให้เกิดแต่ปัญญาเห็นเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นและเป็นไปจริงดังนั้นได้ด้วยตนเอง จึงไม่ใช่ด้วยการน้อมเชื่อด้วยอธิโมกข์ด้วยการอ่านการฟังเท่านั้น อันสัมมาญาณจักพึงเกิดขึ้นหรือธรรมสามัคคีขึ้นได้ โดยการธัมมวิจยะหรือโยนิโสมนสิการเท่านั้น
เมื่อศึกษาธรรมใดๆแล้ว ก็ย่อมมีข้อสงสัย ข้อไม่เข้าใจอันใดบ้าง เกิดขึ้นป็นธรรมดา ก็เพื่อจุดประสงค์อันสำคัญยิ่ง คือเมื่อปฏิบัติสมาธิ อันตามที่ท่านฝึกฝนมา ไม่ว่า อานาปานสติ(การมีสติอยู่กับลมหายใจเครื่องกำหนดอันคือลมหายใจ) อนุสติ๑๐ เช่น การบริกรรมพุทโธ หรือยุบหนอ พองหนอ-ตามการเคลื่อนไหวของกระบังลม(ท้อง) หรือการใช้มือที่เคลื่อนไหว ฯลฯ. ก็ตามที อันเป็นไปตามความชอบ หรือจริตของแต่ละบุคคล ที่ท่านสามารถเลือกได้ตามจริตแห่งตน แม้พระองค์ท่านก็บัญญัติเอาไว้อย่างดีงามเป็นแนวปฏิบัติถึง ๔๐ แบบ, เมื่อเป็นสมาธิดังนี้ิแล้วก็เพื่อนำมาเจริญวิปัสสนาคือ การใช้สติที่แน่วแน่ สงบ สบายอันเนื่องจากนิวรณ์ทั้ง ๕ ระงับหรือเบาบางลงไปชั่วคราวเพราะอำนาจของสมาธินั้น ไปใช้ในการพิจารณาหรือโยนิโสมนสิการในธรรมนั้นๆที่ท่านได้เตรียมตัวไว้ดีงามพอควรแล้วจากการศึกษาด้วยการอ่านการฟังหรือสนทนาก็ตามที ต้องใช้การพิจารณาอย่างเป็นเหตุเป็นผล อันเป็นไปตามหลักศาสนาพุทธที่ตั้งอยู่บนหลักเหตุผลอย่างแท้จริงหรือความจริงอย่างยิ่งตามหลักอิทัปปัจจยตา คำสอนหรือธรรมของพระองค์ท่านแท้ๆนั้นมีความความทันสมัยในทุกกาล(อกาลิโก) เพราะมีความเที่ยง คงทนต่อทุกกาลสมัยจริงๆ เพียงแต่ภาษาที่ใช้ในการสื่อการสอนหรือจารึกต่างๆที่ถ่ายทอดกันมาอันเป็นเพียงสังขารอย่างหนึ่งเท่านั้น จึงย่อมมีความไม่เที่ยงมีการแปรปรวนหรือผิดเพี้ยนไปบ้างตามยุคตามสมัยด้วยอำนาจพระไตรลักษณ์ แต่แก่นหรือแกนแห่งธรรม อันล้วนเป็นสภาวธรรม หรือธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมในเรื่องทุกข์เพื่อการดับไปแห่งทุกข์ของพระองค์ท่านนั้นเป็นจริงอย่างยิ่ง เที่ยงอย่างยิ่ง คงทนอยู่เยี่ยงนี้อย่างยิ่ง ทนทานต่อการพิสูจน์อย่างยิ่ง เพราะล้วนเป็นปรมัตถ์ตามความเป็นจริงอย่างยิ่ง จึงกล้ายืนยันอย่างยิ่งว่า อีกสักกี่หมื่นกี่ล้านปีจนโลกนี้แตกดับย่อยยับไป ก็ยังคงเที่ยงแท้คงทนอย่างนี้เป็นอย่างยิ่ง ไม่อาจแปรผันไปได้เลย เพราะล้วนตั้งอยู่บนหลักเหตุผล เพราะเป็นไปอย่างถึงแก่นของธรรมชาติจึงต้องเป็นไปเช่นนี้เองเป็นธรรมดา จึงไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดมาหักล้างได้อย่างจริงจังตลอดกาลนานจริงๆ นอกจากการบิดเบือนไปเพราะอวิชชาของแต่ละบุคคล,แต่ละพวกเท่านั้นเอง เพราะสภาวธรรมหรือธรรมชาติของการเกิดทุกข์และการดับทุกข์ที่พระองค์ท่านได้สั่งสอนนั้น ยังคงเกิดขึ้นและเป็นไปเช่นนั้นเองตลอดกาลนาน
ดังนั้นเมื่อปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือสมถวิปัสสนาทุกครั้ง จึงต้องประกอบทั้งสมาธิและการเจริญวิปัสสนาต่อเนื่องกันไปทุกครั้ง จึงจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง การปฏิบัติสมถวิปัสสนานั้น มี ๒ แนวทางที่ใช้ปฏิบัติกัน กล่าวคือ
ปฏิบัติสมาธิเริ่มต้นก่อนตามที่ฝึกปรือหรือสั่งสมมา จนเป็นขณิกสมาธิ หรือสมาธิชั่วขณะก็พอเพียงแล้ว เป็นสมาธิขั้นต้น ที่คนทั่วไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่การงานในชีวิตประจำวันได้ผลดี ใช้ขณิกสมาธินั้นเป็นจุดตั้งต้นในการเจริญวิปัสสนาได้เลย กล่าวคือ เมื่อจิตเป็นขณิกสมาธิแล้ว จิตขณะนั้นย่อมลดการซัดส่าย สอดแส่ ส่งออกไปภายนอกไปในเรื่องต่างๆน้อยลง ถึงจะส่งส่ายออกไปบ้างเป็นธรรมดาก็ตามที กล่าวคือไม่ส่งจิตออกไปปรุงแต่งจึงกระทบผัสสะกับสิ่งต่างๆรวมทั้งความคิดต่างๆให้เป็นทุกข์ จิตจึงมีภาวะสงบสบายพอสมควร ไม่กวัดแกว่งส่งส่ายไปก่อเหตุให้เกิดทุกข์ เมื่อจิตอยู่ในภาวะขณิกสมาธิดังนี้แล้ว ก็ให้เริ่มการเจริญวิปัสสนาได้เลย คือ ยกข้อธรรมที่ได้เตรียมหรือสนใจหรือศึกษาหรือสงสัยขึ้นมาพิจารณาอย่างหาเหตุผล อย่างละเอียด อย่างแยบคาย ทำไมอย่างนี้จึงเป็นอย่างนั้น ทำไมอย่างนั้นจึงเป็นอย่างนี้ ทำไม เพราะเหตุใด ฯลฯ. พิจารณาเยี่ยงอย่างนี้ในธรรมนั้นๆ พยายามประคองจิตอย่าให้ส่งส่ายไปในเรื่องอื่นๆ การคิดการพิจารณาอย่างนี้ในธรรมไม่ใช่การฟุ้งซ่าน ไม่ใช่การปรุงแต่ง หรือไม่ใช่เป็นการไม่เชื่อดูหมิ่นดูแคลนในธรรมของพระองค์ท่าน แต่เป็นการพิจารณาธรรมหรือธัมมวิจยะหรือโยนิโสมนสิการอันถูกต้องดีงาม และเป็นการปฏิบัติบูชาอันมีอานิสงส์ยิ่ง และเป็นไปตามหลักกาลามสูตร
การปฏิบัติแบบแรกนี้ ที่เมื่อจิตเป็นขณิกสมาธิแล้ว ก็เริ่มดำเนินหรือเจริญวิปัสสนาไปเลยนั้น อันถ้าปฏิบัติแบบมีแบบแผน เมื่อจิตอันมีสติอยู่กับการพิจารณาธรรมได้อย่างแนบแน่นดีงามแล้วย่อมสนับสนุนให้เกิดปัญญาได้ง่าย และเป็นการเจริญฌานสมาธิให้ประณีตขึ้นไปได้อีกด้วยโดยไม่รู้ตัว เพราะเมื่อจิตแนบแน่นอยู่กับการพิจารณาธรรม(ไม่ได้หมายถึงการท่องบ่นข้อธรรมหรือคำบริกรรมใดๆ) เท่ากับจิตยกเอาการพิจารณาธรรมนั้นมาเป็นอารมณ์หรือเป็นวิตก คือเป็นเครื่องกำหนดหรือเครื่องอยู่ของจิต และทำการวิจาร คือเคล้าจิตด้วยความยินดี ไปอย่างแนบแน่นไปกับการพิจารณาธรรมนั้นๆ จิตจึงกำลังดำเนินไปในสมาธิหรือฌานโดยธรรมชาติ หรือโดยสภาวธรรมเอง เรียกการปฏิบัติสมถวิปัสสนาในลักษณะนี้ว่า วิปัสสนาสมาธิ และอาจมีบางครั้งบางที(เท่านั้น)ที่จิตอาจหยุดพักการพิจารณาลงชั่วขณะ แล้วไหลเลื่อนไปเป็นสมาธิหรือฌานในระดับที่ประณีตสูงขึ้นไปเป็นลำดับเองถึงฌาน ๒,๓,๔ ได้ จึงเป็นการได้ฌานสมาธิระดับประณีตอย่างถูกต้องดีงามเสียด้วย คือเกิดขึ้นโดยธรรมชาติไม่ได้เกิดแต่ความอยาก(ตัณหา)หรือติดเพลิน เพลิดเพลินในความสุข ความสงบ ความสบายที่เกิดแต่อำนาจของฌานสมาธินั้นๆ เมื่อถอนออกมาแล้วจากความสงบสบายหรือฌานสมาธิอันประณีตระดับสูงแล้ว อันย่อมพร้อมด้วยกำลังของจิตอันดีเลิศ ก็ควรทำการพิจารณาหรือโยนิโสมนสิการในธรรมนั้นอีกครั้งหนึ่ง
การปฎิบัติดังข้างต้นจึงยังสามารถไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย ไม่จำเป็นต้องนั่งปฏิบัติในรูปแบบแผนใดๆ เมื่อว่างจากงานอันควร จิตปลอดโปร่ง ก็ลืมตา นั่ง เดิน พิจารณาไปก็ได้ ก็ยังให้เกิดปัญญาเช่นกัน แต่พึงระวังสังวรด้วยว่าไม่ควรหลับตาหรือปฏิบัติแบบเต็มรูปแบบเพราะง่ายต่อการเลื่อนไหลไปสู่ฌานสมาธิที่ประณีตละเอียดขึ้นได้ อันเป็นอันตรายในบางภาวะในการทำงานจึงอาจไม่เหมาะในขณะที่เราประกอบอาชีพการงาน กล่าวคือเวลาและสถานที่ยังไม่เป็นสัปปายะนั่นเอง คือเอาแต่วิปัสสนาหรือปัญญาล้วนๆนั่นเอง เรียกว่าเอาธรรมเป็นเครื่องอยู่
วิธีแรกนี้เป็นที่ถกเถียงกันมากในหมู่ผู้สอนและนักปฏิบัติ เพราะผู้ไม่รู้ก็ตีความว่าไม่ต้องใช้สมาธิ บางท่านก็กล่าวว่ากำลังไม่พอ เพราะแค่ขณิกสมาธิที่แลดูว่าทำง่ายๆจึงแลว่าไม่สำคัญจึงปรามาสสบประมาท จนไม่คิดไม่นึกว่าเป็นสมาธิที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการวิปัสสนาได้ คิดแต่ว่าไม่มีกำลังพอที่จะทะลุทะลวงธรรมให้เกิดปัญญาได้ โดยไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า เมื่อวิตก วิจาร อยู่ในธรรมของการปฏิบัติสมาธิ คือ การเอาธรรมเป็นเครื่องกำหนดในการปฏิบัติสมาธิ เป็นเพียงขณะเริ่มต้นปฏิบัติเท่านั้น แล้วจิตก็จะดำเนินไปตามแนวทางของฌาน,สมาธิโดยธรรมชาติ พร้อมการวิปัสสนา อันไปเป็นกำลังของการปฏิบัติวิปัสสนาโดยตรงๆ แท้ๆ จึงไม่แวะเวียนไปหลงติดเพลินติดพันหรือยึดติดยึดถือในความสุขสงบสบายต่างๆที่แลดูเผินๆว่าดี แต่เป็นขวากหนามสำคัญทีเดียวในการเจริญวิปัสสนา
ส่วนการปฏิบัติสมถวิปัสสนาอีกแบบหนึ่ง ที่ทำกันโดยทั่วๆไป คือ เจริญสมาธิหรือฌาน จนถึงอัปปนาสมาธิ หรือฌาน ๔ หรือเจริญตามกำลังของตนที่ปฏิบัติได้นั้น แล้วเมื่อจิตเมื่อถอนออกมาอันย่อมพร้อมด้วยกำลังของจิตอันดีเลิศ ก็ให้พิจารณาเจริญวิปัสสนาหรือพิจารณาธรรมนั้นที่ใคร่ครวญพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญา กล่าวคือ เมื่อถอนออกฌานสมาธิระดับต่างๆแล้ว อันย่อมกลับมาพร้อมด้วยความสงบความสบายและพร้อมด้วยสติอีกครั้งอันเป็นกำลังของจิตอย่างดียิ่ง ก็กลับมาพิจารณาที่ขณิกสมาธิ หรือก็ประมาณว่าขณิกสมาธิกับอุปจารสมาธิที่เรียกว่าวิปัสสนาสมาธิ หรือที่ฌานก็ที่ระดับปฐมฌาน คือ นำเอาการพิจารณาธรรมนั้นเป็นอารมณ์ หรือการเป็นวิตก และวิจารเคล้าพิจารณาในธรรมต่างๆนั้นอีกครั้ง เพราะที่ขณิกสมาธิหรือปฐมฌาน สติยังคงบริบูรณ์อยู่ในอารมณ์ หรือการการวิตกวิจารได้
การปฏิบัติแบบที่ ๒ นี้ จึงเหมาะแก่ผู้มีความชำนาญหรือเป็นวสีเท่านั้น ผ่านการปฏิบัติในแบบแรกมาแล้ว ไม่เช่นนั้นมักเจอปัญหาในการปฏิบัติ นักปฏิบัติใหม่จึงมีข้อควรพึงระวังอย่างยิ่ง ตลอดจนนักปฏิบัติที่เริ่มปฏิบัติมาแต่แบบที่ ๒ เลยโดยไม่ได้เตรียมศึกษาธรรมหรือการปฏิบัติสมาธิไว้บ้างเลย ที่มุ่งเน้นแต่สมาธิแต่ฝ่ายเดียวก่อนเป็นสำคัญ จึงมักเกิดอุปสรรคขึ้นในภายหลัง ตลอดจนบางสถานที่ และ บางท่านที่ไปปฏิบัติกันนั้น ก็นั่งปฏิบัติสมาธิเอาดื้อๆเลยจนเป็นก็มี หรือฝึกหัดเอาเองดื้อๆโดยไม่ศึกษาแม้สักนิดหนึ่งก็มี เหตุที่ควรระวังก็เพราะว่า
เมื่อได้ฌานสมาธิระดับประณีตแล้ว มักเกิดความสงบความสบายต่างๆอันเกิดจากภาวะไร้นิวรณ์ชั่วขณะ อันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากอำนาจของฌานสมาธิระดับสูง อันพึงให้นักปฏิบัติเกิดความเกียจคร้านไม่สนใจการเจริญวิปัสสนา หรือสุขสบายไหลเลื่อนจนสติขาด จึงไม่ได้เจริญวิปัสสนา กล่าวคือ ไม่ได้ใช้กำลังจิตที่เกิดขึ้นไปในทางที่ถูกที่ควรให้เกิดปัญญา และเพราะขาดปัญญานี้เองในภายหลังจึงเกิดการติดขัด หรือติดสุข ติดความสงบ ติดความสบาย อันพึงเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ จึงเกิดการติดขัดหรือวิปัสสนูปกิเลสขึ้น ลองพิจารณาดูโดยแยบคายดังนี้ก็ได้ พิจารณาสภาวธรรมนี้ มีมนุษย์หรือปุถุชนคนใดหรือไม่ในโลกนี้ ที่เมื่อเกิดความสุข ความสบาย ความสงบ แล้วจะไม่ชอบ ไม่โอบกอดรัดไว้ เป็นธรรมดาหรือตถตา นี้คือสภาวธรรมหรือธรรมชาติของสัตว์ และเมื่อไม่ชอบใจก็ผลักไสไปโดยธรรมหรือธรรมชาติ การติดขัดทั้งติดเพลินหรือติดใจอยากในการปฏิบัติสมถะจึงเกิดขึ้นโดยสภาวธรรมเช่นนี้นั่นเอง ผู้ปฏิเสธหรือไม่เห็นด้วยในข้อธรรมดังที่กล่าวนี้ พึงพิจารณาต่อไปดังนี้ หนึ่ง-ท่านไม่ยอมรับความจริงด้วยอวิชชาความไม่รู้ สอง-ไม่ได้พิจารณาสภาวธรรมหรือธรรมชาติ แต่กำลังหลงพิจารณาในการปฏิบัติของตัวเองอยู่ และเห็นว่าไม่ได้ไปติดเพลินหรือติดใจชอบ ก็แสดงว่า ยังไม่บรรลุถึงฌานสมาธิในระดับประณีตอย่างจริงๆเท่านั้นเอง อันพึงเป็นไปได้ใน ๒ ประการนี้เท่านั้น ไม่เป็นอื่นไปได้
หรือในขณะเริ่มปฏิบัตินั้น บางท่านหรือบางที่ มีจุดประสงค์เพื่อบรรลุถึงฌานสมาธิแต่อย่างเดียวล้วนๆก่อน ตามความเชื่อ ก็มีขวากหนามอันสำคัญยิ่งด้วยอวิชชา เช่น นิมิต ภวังค์ต่างๆเกิดขึ้น ตลอดจนเพราะอวิชชาความไม่รู้จึงเกิดการติดเพลิน(นันทิ)หรือยึดติดในความสุขสงบสบายหรือองค์ฌานต่างๆที่เกิดขึ้น จึงยังให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสตามมาเพราะได้ทำเหตุไปแม้โดยไม่รู้ตัวก็ตามที เพราะการพยายามอย่างยิ่งในฌานสมาธิให้บรรลุฌานสมาธิสูงๆเสียแต่ฝ่ายเดียวก่อน ด้วยคิดเข้าใจว่า ได้แล้วจะทำให้การเจริญวิปัสสนาเป็นไปได้อย่างรวดเร็วเพราะมีกำลัง หรือผู้เขียนเองที่คิดว่า ปัญญาจะเกิดผุดขึ้น อันล้วนเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะวิปัสสนาญาณนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยการพิจารณาในระดับขณิกสมาธิหรือปฐมฌานเท่านั้น ฌานสมาธิที่สูงประณีตเกินไปนั้น สติจะจางคลายลงไปไม่สามารถดำเนินไปในการพิจารณาธรรมอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งได้ จึงได้แต่กำลังของจิตอันเกิดแต่ภาวะระงับนิวรณ์ และความสดชื่นเท่านั้นเอง แต่ก็ยังผลให้เกิดการติดเพลิน(นันทิ)อันให้โทษต่อร่างกายและจิตอย่างรุนแรงในภายหลังโดยไม่รู้ตัวถ้าไม่ปฏิบัติวิปัสสนา แก้ไขได้ยาก เพราะกลับกลายเป็นกิเลสชนิดรูปราคะหรืออรูปราคะอันเป็นสังโยชน์ขั้นละเอียด ดังที่กล่าวเรื่องโทษของการติดเพลินจนเป็นอาสวะกิเลสสั่งสมไว้จึงยังให้เกิดสังขารตามที่สั่งสมที่กระทำเองอยู่เสมอโดยขาดสติโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอๆใน ปุจฉา - วิสัชนา เรื่อง สมาธิ หรือในเรื่อง ฌาน, สมาธิ หรือ ติดสุขในฌาน
ในฝ่ายฆราวาสนั้น ในการปฏิบัติแบบที่ ๒ ต้องใช้เวลายาวนาน เพราะต้องบรรลุถึงฌานสมาธิเสียก่อน บางครั้งก็ใช้เวลานาน เป็นอุปสรรคทั้งต่อการดำรงชีพและการปฏิบัติ บางครั้งบางวันก็มีการกระทบผัสสะทางโลกสูงตามหน้าที่ หรือเป็นไปตามกิเลสก็ตาม ดังนั้นการปฏิบัติให้ได้ฌานสมาธิที่ประณีตสูงแล้วจึงเจริญวิปัสสนานั้นจึงเป็นเรื่องที่ลำบากทีเดียว ดังนั้นจึงข้ามขั้นตอนการวิปัสสนากันไปส่วนใหญ่ในภายหลังโดยไม่รู้ตัว จึงยังให้เกิดโทษได้เช่นกัน เพราะทำไปทำมาก็วนเวียนอยู่แต่ในสมาธิเสียแล้วโดยไม่รู้ตัว จึงไม่ได้ใช้สมาธินั้นไปอย่างรู้คุณค่าต่อการวิปัสสนาว่า จะยังให้เกิดปัญญาญาณหรือสัมมาญาณอย่างแจ่มแจ้งที่จะดับทุกข์อย่างแท้จริง ยังให้เกิดสัมมาวิมุตติสุขสงบบริสุทธ์อันเกิดจากการหลุดพ้นไปจากทุกข์ อันจะเกิดขึ้นและเป็นไปดังพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ใน สัมมัตตะ ๑๐
อนึ่งพึงระลึกอยู่เสมอว่า
มิจฉาสมาธิ ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีมิจฉาสติ
สัมมาสมาธิ ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีสัมมาสติ
มิจฺฉาสติสฺส มิจฺฉาสมาธิ ปโหติ
สมฺมาสติสฺส สมฺมาสมาธิ ปโหติ
(อวิชชาสูตร ๑๙/๑)
ดังนั้นเมื่อฝึกสติใดๆก็ตาม แม้แต่สติปัฏฐาน๔ ต้องเป็นไปอย่างถูกต้องดีงามด้วยเช่นกัน
-------------------
สรุปหลักพื้นฐานในการเริ่มปฏิบัติ
เลือกเฟ้นธรรมที่ถูกจริตแห่งตน แล้วศึกษาหาความรู้ในธรรมนั้นพอควร ดังเช่น พระไตรลักษณ์ อริยสัจ ปฏิจจสมุปบาท อิทัปปัจจยตา สติปัฏฐาน๔ ฯลฯ. ไม่จำเป็นต้องศึกษาจนเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วจึงเริ่มปฏิบัติ เพียงเพื่อเป็นบาทฐานในการดำเนินการวิปัสสนา กล่าวคือเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการดำเนินการพิจารณาธรรม หรือโยนิโสมนสิการ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถูกต้องตามความเป็นจริงระดับธรรมสามัคคี หรือจนถึงขั้นมรรคสามัคคีจนเกิดสัมมาญาณ อันจักเกิดขึ้นได้จากการวิปัสสนาเท่านั้น เพราะการที่ไม่ศึกษาธรรมะไว้บ้าง เมื่อปฏิบัติสมาธิแล้ว ก็ไม่รู้จะพิจารณาอะไร จึงย่อมจมแช่แน่นิ่งอยู่แต่ในสมาธิอันสงบสบายแต่ฝ่ายเดียวอย่างแน่นอน อันย่อมกลายเป็นมิจฉาสมาธิไปในที่สุด
เมื่อศึกษาธรรมพอควรแล้ว ก็เริ่มฝึกหัดสมาธิ ในขั้นแรกย่อมเป็นสมถสมาธิ ที่กอบด้วยความมีสติที่มีสมาธิตั้งมั่นหรือแน่วแน่ เพื่อให้ใจกายสงบ ไม่ซัดส่ายออกไปปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ จึงย่อมเป็นกำลังสำคัญของจิต ดังนั้นทุกครั้งทุกทีที่มีความสงบ ความสบายเกิดขึ้นจากการปฏิบัติสมถสมาธิแล้ว ให้ดำเนินการพิจารณาหรือวิปัสสนาด้วยทุกครั้งไปจึงยังให้เกิดอานิสงส์สูงสุดขึ้นได้ การสวดมนต์ก็เป็นอุบายวิธีหนึ่งที่ก่อให้เกิดสติและสมาธิ ดังนั้นเมื่อสวดมนต์แล้วใจคอสงบสบายอิ่มเอิบได้ก็ควรดำเนินการพิจารณาธรรมคือเจริญวิปัสสนาควบคู่กำกับไปด้วย จึงจักยังประโยชน์ได้สูงสุดเช่นกัน ส่วนการจะเลือกสิ่งที่เป็นอารมณ์(เครื่องกำหนด)ในการปฏิบัติสมถสมาธินั้นก็แล้วแต่จริตของนักปฏิบัติเป็นสำคัญ โดยทั่วไปแล้ว ก็นิยมใช้ลมหายใจ บริกรรมพุทโธ สัมมาอรหัง การสวดมนต์ ฯลฯ. ดังที่ได้กล่าวไว้มากมายในเรื่องฌานสมาธิ หรือที่พระองค์ท่านแสดงไว้ในกรรมฐาน ๔๐
ส่วนการที่จะปฏิบัติสมถสมาธิจนถึงระดับสงบประณีตหรือเป็นฌาน หรือใช้ขณิกสมาธิในการเริ่มวิปัสสนานั้น ก็แล้วแต่จริต,ความเชื่อ,ความเข้าใจของนักปฏิบัติเองเป็นสำคัญ ดังข้อมูลที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น
ในนักปฏิบัติที่ชำนาญสมถสมาธิแล้วนั้น เมื่อจะปฏิบัติก็สามารถเอาธรรมมาเป็นวิตก(เครื่องกำหนด,เป็นอารมณ์) วิจาร ได้เลย หรือจะปฏิบัติสมถสมาธิจนจิตสงบสบายแล้วถอนออกมาดำเนินวิปัสสนา อันแล้วแต่จริตของนักปฏิบัติเป็นสำคัญ ดังที่กล่าวไว้เบื้องต้นแล้ว
เมื่อพิจารณาหรือวิปัสสนาแล้ว ต้องน้อมนำไปในทางให้เกิดนิพพิทาความหน่าย เพื่อการปล่อยวาง สละคืน สำรอกในกิเลส หรือเพื่อนิพพานอันบรมสุข
การปฏิบัติธรรม
เรื่องหนึ่งที่ควรกล่าวถึงไว้ด้วย คือ ปัญหาที่เกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำซึ่งมีความหมายคลาดเคลื่อน เลื่อนลอย แปลกไปตามกาลสมัย ตัวอย่างสำคัญคือ คำว่า "ปฏิบัติธรรม" ซึ่งมีความหมายที่แท้ควรได้แก่ การนำเอาธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต หรือการดำเนินชีวิตตามธรรม แต่ปัจจุบันมักเข้าใจคำนี้ในความหมายว่า เป็นการอบรมทางจิตปัญญาขั้นหนึ่งระดับหนึ่งโดยเฉพาะ ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปแบบ และทำไปตามแบบแผนที่กำหนดวางไว้ (Webmaster - เช่นหมายถึง การปฏิบัติแต่สมาธิ แม้จะเปป็นแบบเป็นแผน แต่เอาแต่ความสงบ แต่ถ้าขาดเสียซึ่งการเจริญปัญญาหรือวิปัสสนา และขาดการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก็เรียกกันทั่วไปว่า การปฏิบัติธรรม ซึ่งถือว่ายังคลาดเคลื่อนอยู่)...............(พุทธธรรม หน้า ๙๓๒)
พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)
ข้อคิด แนวทางปฏิบัติ
หลักปฏิบัติ สมถะหรือสมาธิ(สมถกรรมฐาน)
- ให้หยุดคิดหยุดนึกทั้งปวง มีแต่สติหรือจิตตั้งมั่นอยู่แต่ในอารมณ์ อันมีกำลังยิ่ง
หลักปฏิบัติ วิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน)
- ให้หยุดแต่การคิดนึกปรุงแต่ง มีแต่สติหรือจิตอยู่กับการคิดพิจารณา(ใช้ปัญญา)ในเหล่าธรรมอันเป็นกุศล อันเป็นปัญญายิ่ง
ส่วนหลักปฎิบัติ สมถวิปัสสนา
- เมื่อปฏิบัติสมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)เป็นกำลังอันยิ่ง แล้วเจริญวิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน) จึงยังทั้งกำลังและปัญญายิ่งๆขึ้นไป
พนมพร
|