พระพุทธเจ้า

  กระดานธรรม ๑/๑

การปฏิบัติสมถวิปัสสนาเบื้องต้น

 คลิกขวาเมนู

         การปฏิบัติสมถวิปัสสนา หมายถึง การปฏิบัติทั้งฝ่ายสมถะหรือสมาธิ(สมถกรรมฐาน) และวิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน)ควบคู่ไปด้วยกัน  หรือก็คือการปฏิบัติทางด้านสมาธิกับทางด้านปัญญาอย่างต่อเนื่องสัมพันธ์กันไป  กล่าวคือ ปฏิบัติทางสมถสมาธิเพื่อให้เป็นเหตุปัจจัยเครื่องสนับสนุนการปฏิบัติวิปัสสนาหรือการพิจารณาธรรมให้เกิดปัญญานั่นเอง  อันเป็นสิ่งจำเป็นในการปฏิบัติ   เพราะฌาน,สมาธินั้นก่อให้เกิดความสงบความสุขความระงับ เนื่องจากการระงับไปชั่วขณะของกิเลสในนิวรณ์ ๕  จิตจึงไม่ซัดส่ายไปปรุงแต่งให้เกิดการผัสสะให้เกิดทุกข์ เมื่อจิตสงบระงับจึงก่อเป็นกำลังของจิตหรือสติเพื่อใช้เป็นบาทเป็นฐานเครื่องหนุนการเจริญวิปัสสนาเพื่อให้เกิดปัญญาญาณ  อย่างนี้ถือว่าเป็นการปฏิบัติหรือเจริญพระกรรมฐานอย่างถูกต้อง เพราะเป็นไปดังธรรมที่ว่า

"สมาธิปริภาวิตา  ปญฺญามหปฺผลา  โหติ มหานิสํสา"

 

 

 

         คำว่าเบื้องต้นในที่นี้  มีความหมายว่า เป็นการปูทางความรู้ความเข้าใจเพื่อให้ดำเนินไปได้อย่างถูกต้องแนวทาง สำหรับนักปฏิบัติใหม่ หรือผู้ที่ต้องการแก้ไขปรับปรุง   อันย่อมทำให้การปฏิบัติเป็นไปอย่างราบรื่น และสัมฤทธิ์ผลอย่างรวดเร็วขึ้น  ไม่ติดขัดจนเป็นอุปสรรคอันให้โทษอันเกิดจากการปฏิบัติผิดๆเพราะอวิชชา อันเนื่องจากความเชื่อ,ความคิด,ทฤษฎีของตน  หรือตามที่มีการถ่ายทอดสืบต่อๆกันมา แต่เป็นอย่างผิดๆ (ทิฏฐุปาทาน, สีลัพพตุปาทาน)   ดังนั้นควรรู้เข้าใจในเรื่อง ฌาน, สมาธิ ที่พึงจะปฏิบัติไว้บ้าง  ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นดังผู้เขียนเอง ที่เมื่อเริ่มปฏิบัติด้วยตนเองใหม่ๆด้วยความไม่รู้หรืออวิชชานั่นเอง เมื่อปฏิบัติสมาธิจนอยู่ในขั้นเริ่มสงบเริ่มสบาย โดยอาศัยลมหายใจเป็นอารมณ์หรือเครื่องกำหนด  วันหนึ่งเมื่อจิตสงบระงับและเลื่อนไหลลงสู่ภวังค์ ต้องกระโดดผลุงลุกขึ้นทันที เนื่องด้วยความตกใจด้วยไม่รู้มาก่อนด้วยอวิชชา ดังนั้นเมื่อเกิดนิมิตขึ้นเป็นโอภาสคือเกิดแสงสว่างเจิดจ้าสว่างไสวอันตื่นตาตื่นใจอย่างยิ่ง (อันเกิดแต่จิตหรือมโนทวาร),  หรือแม้แต่เมื่อนั่งสมาธิอันอาศัยลมหายใจแต่เคล้าจิตด้วยยินดีจนเลื่อนไหลไปเป็นฌานโดยไม่เข้าใจ จึงเกิดปีติชนิดอุพเพคาปีติที่อิ่มเอิบ และรู้สึกว่าตัวเบาลอยขึ้น ก็พิศวงปลาบปลื้ม คิดปรุงไปว่าช่างแสนวิเศษจริงหนอ แถมยังหดหัวเพราะคิดกลัวจะลอยเอาหัวไปโขกเพดานเอาไปนู่น,  หรือตอนที่รู้สึกว่ามือ เท้า หรือตัวเริ่มหายไป ก็ทั้งอิ่มเอิบทั้งตื่นเต้นทั้งงงงวยและยินดี บ้างก็คิดไปว่าเป็นกายทิพย์หรือเจตภูตออกจากร่าง,  หรือเมื่อรู้สึกว่าลมหายใจละเอียดลงๆจนราวกับว่าหายไป ก็ลืมตัวผวาตกใจกลัวถอนออกมาก็ยังมี,  ตลอดจนการเห็นภาพคือนิมิตของ อสุภ, เทวดาต่างๆนาๆ, เห็นพระอริยเจ้า แม้แต่พระพุทธเจ้า ฯลฯ. ก็ปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านไปต่างๆนาๆ   ต่างๆดังที่กล่าวมานี้ล้วนเป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติธรรมดาๆที่อาจพึงเกิดขึ้นในการปฏิบัติเมื่อจิตเป็นสมาธิหรือฌานในระดับประณีตขึ้น อันมักเกิดจากนิมิต และภวังค์ชนิดภวังคจลนะ ที่ทำให้จิตเคลิบเคลิ้ม เพราะหยุดการรับรู้จากทวารทั้ง๖ แต่ยังท่องเที่ยวเพลิดเพลินไปในจิตภายในตนตามสัญญาที่นอนเนื่องอยู่โดยไม่รู้ตัว(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในเรื่อง นิมิตและภวังค์)  ทำให้รู้สึกว่าตัวลอย ตัวยืด ตัวขยาย หัวพอง หัวยืด ตัวหด คือเคลิบเคลิ้มนั่นเอง ฯ. ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความอัศจรรย์ พิศวง งงงวย ตื่นตา ตื่นใจในความบรรเจิดเพริดแพรวที่เกิดขึ้น  และยังประกอบด้วยความเชื่อ  ทั้งประกอบด้วยความสงบ สุข สบาย อย่างที่ไม่เคยพบพานมาก่อน ไม่เคยประสบเยี่ยงนี้ในสภาวะธรรมดามาก่อนเลยในชีวิต  จึงย่อมต้องตื่นเต้นและยินดีปรีดา พร้อมทั้งปรุงแต่งฟุ้งซ่านไปด้วยความไม่รู้จริงหรืออวิชชาไปในทางฤทธิ์ทางเดช,ทางบุญ,ทางกุศล อย่างผิดๆอีกต่างๆนาๆ,   ดังนั้นถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจไว้บ้างก็จะเกิดการเข้าไปหลงปรุงแต่ง ไปติดเพลิน(นันทิ) และยึดติดยึดเชื่อ(อุปาทาน-ทิฏฐุปาทาน)ในสิ่งเหล่านั้นด้วยอวิชชาจนเกิดอธิโมกข์ อันเป็นวิปัสสนูปกิเลส เกิดความงมงายให้โทษรุนแรงไปเสีย   แต่การรู้ก่อน เพื่อนำไปปรุงแต่งหรือตั้งเจตนา ตั้งความคาดหวัง ก็ไม่ดีอีกเช่นกัน เพราะความที่ฌานวิสัยหรือลักษณะอาการที่เกิดขึ้นและเป็นไปของฌานนั้นเป็นอจินไตยที่พระองค์ท่านยืนยันปุถุชนไม่สามารถทำนายได้   จึงแค่พอรู้ว่าอาจเกิดขึ้นและเป็นไปในลักษณะและอาการดังนี้ได้เป็นธรรมดา  เมื่อไปประสบพบด้วยตนเองจะได้ไม่ตื่นเต้น ตื่นตา ตื่นใจ จนถูกชักจูง หรือฟุ้งปรุงแต่งไปให้ผิดแนวทางพุทธธรรมในการปฏิบัติเพื่อการดับไปแห่งทุกข์ ด้วยอธิโมกข์เสีย   อันจะพาให้ไปหลงอยู่ในจิตเก่งตัวกล้าของฌานสมาธิ ไสยศาสตร์ เวทมนต์  คาถา อิทธิฤทธิ์  อันล้วนไม่ใช่จุดประสงค์ของการปฏิบัติเพื่อพุทธธรรมที่เป็นไปเพื่อการพ้นไปจากการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์หรือสังสารวัฏ  นอกจากนั้นแล้วสิ่งเหล่านี้กลับก่อให้เป็นทุกข์ขึ้นเสียอีกในภายหน้า เพียงแต่ส่วนใหญ่ไม่รู้ด้วยอวิชชาจึงพากันประมาท

        การปฎิบัติแต่สมถสมาธิล้วนแต่เพียงฝ่ายเดียว โดยขาดการวิปัสสนากำกับคือร่วมไปด้วยนั้น  อันเป็นสิ่งที่มีมานานก่อนพุทธกาลเสียอีก  ที่เมื่อปฏิบัติเจริญก้าวหน้าในที่สุดก็ย่อมเกิดฌานร่วมด้วยเป็นธรรมดา(อ่านรายละเอียดใน ฌานสมาธิ) ซึ่งนักปฏิบัติย่อมเกิดความสงบ ความสุข ความสบายจากกำลังอำนาจของฌานสมาธิที่สามารถระงับกิเลสคือนิวรณ์ ๕ ลงไปได้ระยะหนึ่งๆ  นักปฏิบัติจึงพากันไปเพลิดเพลิน ติดเพลินด้วยความไม่่รู้ด้วยอวิชชา จนเกิดโทษต่างๆอย่างมากมาย เช่น ติดสุข จนเป็นผลร้ายต่อจิตและกายด้วยติดเพลินหรือเสพติดเสียแล้ว และเป็นวิปัสสนูปกิเลสจึงทำให้ไม่สามารถก้าวหน้าไปในการปฏิบัติได้  ซึ่งมักแสดงออกด้วยอาการจิตส่งใน อันเป็นไปโดยไม่รู้ตัวและควบคุมบังคับไม่ได้

แนวทางปฏิบัติ

หลักปฏิบัติ สมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)

- ให้หยุดคิดหยุดนึกทั้งปวง  มีแต่สติหรือจิตตั้งมั่นอยู่แต่ในอารมณ์ อันมีกำลังยิ่ง

หลักปฏิบัติ วิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน)

- ให้หยุดแต่การคิดนึกปรุงแต่ง  มีแต่สติหรือจิตอยู่กับการคิดพิจารณา(ใช้ปัญญา)ในเหล่าธรรมอันเป็นกุศล อันเป็นปัญญายิ่ง

ส่วนหลักปฎิบัติ สมถวิปัสสนา

- เมื่อปฏิบัติสมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)เป็นกำลังแล้ว เจริญวิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน)  จึงยังทั้งกำลังและปัญญาอันยิ่งๆขึ้นไป

         การปฏิบัติเบื้องต้น ก็ไม่ต้องรอฤกษ์รอยามให้ยุ่งยากเนิ่นช้าแต่ประการใดก็ได้  หรืออาจมีพิธีไหว้ครูอันดีงามตามแต่ประเพณีของแต่ละแห่งหรือสำนักนั้นๆ   เพราะพระองค์ท่านได้ตรัสไว้ชัดแจ้งอย่างดีงามยิ่งแล้วว่า การประพฤติดี,กระทำดีนั้น  เป็นฤกษ์ดีและบูชาดีอยู่ในตัวของมันเองอยู่แล้ว(สุปุพพัณหสูตร)  ดังนั้นเมื่อคิดจะปฏิบัติขอให้เริ่มศึกษาพื้นฐานและธรรมที่ถูกจริตเสียก่อนเลยทันที  ที่หมายถึง วิธีปฏิบัติสมถสมาธิ และธรรมที่ชอบ ที่คิดว่าน่าศึกษา เพื่อนำมาเป็นหลักเป็นเกณฑ์ที่เป็นแก่นเป็นแกนเหมือนแกนต้นไม้ที่มีความแข็งแรงและคงทน  ไม่เอาเปลือก ไม่เอากระพี้ที่ยังเป็นส่วนนอกเพียงเพื่อประดับ,  เลือกเฟ้นธรรม(ธัมมวิจยะ)ที่สนใจและคิดว่าก่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจคือปัญญา เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติที่ถูกจริตถูกใจ  ดังเช่น  ปฏิจจสมุปบาท  พระไตรลักษณ์   อริยสัจ๔   ขันธ์๕   อิทัปปัจจยตา  มรรค๘  สติปัฏฐาน ๔  กายคตาสติสูตร  อาพาธสูตร ฯลฯ.  เมื่อเลือกได้แล้ว ก็อ่านหรือศึกษาจากครูบาอาจารย์ไว้เป็นแนวทาง  เพื่อเป็นความรู้เบื้องต้น   ปัญหาสำคัญยิ่งคือ ตำราหรือครูบาอาจารย์ก็ดี  บางเล่มหรือบางท่านก็ไม่ถูกต้องผิดลู่ผิดทาง  ผู้เริ่มศึกษาย่อมไม่มีผู้ใดรู้ได้เนื่องด้วยอวิชชาอันมีติดตัวมาแต่เกิดเป็นธรรมดา  จึงเป็นทั้งปัญหาใหญ่และข้อวิตกกังวลหรือวิจิกิจฉา  จึงจำต้องใช้ปัญญาเข้ามาช่วย  ดังนั้นเมื่ออ่านศึกษาหรือฟังจากครูบาอาจารย์แล้ว ก็อย่าเชื่ออย่างงมงาย ด้วยอธิโมกข์ในทันที  และก็อย่าปฏิเสธในสิ่งที่ไม่ตรงกับความคิด,ความเห็น,ความเข้าใจของตนแต่แรก  ขอให้เป็นทำใจเป็นกลางไว้ก่อน  เก็บจำตามที่เข้าใจเบื้องต้น แล้วนำมาพิจารณาหรือโยนิโสมนสิการอย่างหาเหตุหาผลในเวลาปฏิบัติพระกรรมฐานหรือสมถวิปัสสนานี้นี่เอง  แน่นอนละที่ในขั้นนี้ ย่อมก่อให้เกิดความสับสนไม่แน่ใจ จึงกังวลสงสัยบ้างเป็นธรรมดาว่า  ตำราถูกหรือเปล่า  ตีความหมายถูกไหม  ครูอาจารย์สอนถูกหรือเปล่า  ปฏิบัติถูกไหม  ใช่อย่างนี้หรือเปล่า  ย่อมยังไม่มีความเข้าใจอย่างถูกต้องทั้งหมดหรือปรมัตถ์เป็นธรรมดา จึงย่อมมีวิจิกิจฉาความกังวล ความสงสัยต่างๆ เกิดขึ้นอยู่เป็นธรรมดา อย่างเป็นระยะๆอยู่ตลอดเวลา   จึงต้องใช้หลักกาลามสูตรเป็นเครื่องกำกับกันการหลงผิดแม้ในธรรมต่างๆที่เลือกสรรแล้วหรือคำสอนของครูบาอาจารย์ต่างๆก็ตามที    ถ้าไม่สงสัยถึงจะผิดธรรมดาว่าเป็นเพราะน้อมเชื่อด้วยอธิโมกข์อันงมงายอย่างขาดปัญญา  เพราะเมื่องมงายเชื่อว่าถูกต้อง หรือผิดแล้ว ก็ย่อมขาดการใช้ปัญญาพิจารณาให้เข้าใจว่าเกิดขึ้นและเป็นไปจริงตามนั้นหรือไม่,   การแค่อ่านแค่ฟัง แม้หลายครั้งหลายทีก็ตามที แล้วคิดว่าเข้าใจแจ่มแจ้งแล้วก็ต้องพิจารณาอีกเสียด้วยว่า นั่นยังเป็นความรู้ความเข้าใจแค่เปลือกแค่กระพี้ ยังไม่เข้าใจไปถึงแก่นถึงแกนอย่างแท้จริงหรอก  ยังเป็นสภาวะที่เข้าใจอย่างทางโลกอยู่   นี้คือความจริง  ต้องให้เกิดแต่ปัญญาเห็นเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นและเป็นไปจริงดังนั้นได้ด้วยตนเอง   จึงไม่ใช่ด้วยการน้อมเชื่อด้วยอธิโมกข์ด้วยการอ่านการฟังเท่านั้น   อันสัมมาญาณจักพึงเกิดขึ้นหรือธรรมสามัคคีขึ้นได้ โดยการธัมมวิจยะหรือโยนิโสมนสิการเท่านั้น

         เมื่อศึกษาธรรมใดๆแล้ว ก็ย่อมมีข้อสงสัย ข้อไม่เข้าใจอันใดบ้าง เกิดขึ้นป็นธรรมดา  ก็เพื่อจุดประสงค์อันสำคัญยิ่ง คือเมื่อปฏิบัติสมาธิ อันตามที่ท่านฝึกฝนมา  ไม่ว่า อานาปานสติ(การมีสติอยู่กับลมหายใจเครื่องกำหนดอันคือลมหายใจ)  อนุสติ๑๐ เช่น การบริกรรมพุทโธ   หรือยุบหนอ พองหนอ-ตามการเคลื่อนไหวของกระบังลม(ท้อง)  หรือการใช้มือที่เคลื่อนไหว ฯลฯ. ก็ตามที  อันเป็นไปตามความชอบ หรือจริตของแต่ละบุคคล ที่ท่านสามารถเลือกได้ตามจริตแห่งตน  แม้พระองค์ท่านก็บัญญัติเอาไว้อย่างดีงามเป็นแนวปฏิบัติถึง ๔๐ แบบ,   เมื่อเป็นสมาธิดังนี้ิแล้วก็เพื่อนำมาเจริญวิปัสสนาคือ การใช้สติที่แน่วแน่ สงบ สบายอันเนื่องจากนิวรณ์ทั้ง ๕ ระงับหรือเบาบางลงไปชั่วคราวเพราะอำนาจของสมาธินั้น ไปใช้ในการพิจารณาหรือโยนิโสมนสิการในธรรมนั้นๆที่ท่านได้เตรียมตัวไว้ดีงามพอควรแล้วจากการศึกษาด้วยการอ่านการฟังหรือสนทนาก็ตามที  ต้องใช้การพิจารณาอย่างเป็นเหตุเป็นผล  อันเป็นไปตามหลักศาสนาพุทธที่ตั้งอยู่บนหลักเหตุผลอย่างแท้จริงหรือความจริงอย่างยิ่งตามหลักอิทัปปัจจยตา   คำสอนหรือธรรมของพระองค์ท่านแท้ๆนั้นมีความความทันสมัยในทุกกาล(อกาลิโก)  เพราะมีความเที่ยง คงทนต่อทุกกาลสมัยจริงๆ   เพียงแต่ภาษาที่ใช้ในการสื่อการสอนหรือจารึกต่างๆที่ถ่ายทอดกันมาอันเป็นเพียงสังขารอย่างหนึ่งเท่านั้น จึงย่อมมีความไม่เที่ยงมีการแปรปรวนหรือผิดเพี้ยนไปบ้างตามยุคตามสมัยด้วยอำนาจพระไตรลักษณ์    แต่แก่นหรือแกนแห่งธรรม อันล้วนเป็นสภาวธรรม หรือธรรมชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งธรรมในเรื่องทุกข์เพื่อการดับไปแห่งทุกข์ของพระองค์ท่านนั้นเป็นจริงอย่างยิ่ง  เที่ยงอย่างยิ่ง  คงทนอยู่เยี่ยงนี้อย่างยิ่ง  ทนทานต่อการพิสูจน์อย่างยิ่ง  เพราะล้วนเป็นปรมัตถ์ตามความเป็นจริงอย่างยิ่ง  จึงกล้ายืนยันอย่างยิ่งว่า อีกสักกี่หมื่นกี่ล้านปีจนโลกนี้แตกดับย่อยยับไป  ก็ยังคงเที่ยงแท้คงทนอย่างนี้เป็นอย่างยิ่ง  ไม่อาจแปรผันไปได้เลย  เพราะล้วนตั้งอยู่บนหลักเหตุผล  เพราะเป็นไปอย่างถึงแก่นของธรรมชาติจึงต้องเป็นไปเช่นนี้เองเป็นธรรมดา  จึงไม่มีสิ่งใดหรือผู้ใดมาหักล้างได้อย่างจริงจังตลอดกาลนานจริงๆ   นอกจากการบิดเบือนไปเพราะอวิชชาของแต่ละบุคคล,แต่ละพวกเท่านั้นเอง  เพราะสภาวธรรมหรือธรรมชาติของการเกิดทุกข์และการดับทุกข์ที่พระองค์ท่านได้สั่งสอนนั้น ยังคงเกิดขึ้นและเป็นไปเช่นนั้นเองตลอดกาลนาน

         ดังนั้นเมื่อปฏิบัติพระกรรมฐาน หรือสมถวิปัสสนาทุกครั้ง จึงต้องประกอบทั้งสมาธิและการเจริญวิปัสสนาต่อเนื่องกันไปทุกครั้ง จึงจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง  การปฏิบัติสมถวิปัสสนานั้น  มี ๒ แนวทางที่ใช้ปฏิบัติกัน  กล่าวคือ

         ปฏิบัติสมาธิเริ่มต้นก่อนตามที่ฝึกปรือหรือสั่งสมมา  จนเป็นขณิกสมาธิ หรือสมาธิชั่วขณะก็พอเพียงแล้ว  เป็นสมาธิขั้นต้น ที่คนทั่วไปใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติหน้าที่การงานในชีวิตประจำวันได้ผลดี  ใช้ขณิกสมาธินั้นเป็นจุดตั้งต้นในการเจริญวิปัสสนาได้เลย  กล่าวคือ เมื่อจิตเป็นขณิกสมาธิแล้ว จิตขณะนั้นย่อมลดการซัดส่าย สอดแส่ ส่งออกไปภายนอกไปในเรื่องต่างๆน้อยลง ถึงจะส่งส่ายออกไปบ้างเป็นธรรมดาก็ตามที  กล่าวคือไม่ส่งจิตออกไปปรุงแต่งจึงกระทบผัสสะกับสิ่งต่างๆรวมทั้งความคิดต่างๆให้เป็นทุกข์  จิตจึงมีภาวะสงบสบายพอสมควร  ไม่กวัดแกว่งส่งส่ายไปก่อเหตุให้เกิดทุกข์   เมื่อจิตอยู่ในภาวะขณิกสมาธิดังนี้แล้ว ก็ให้เริ่มการเจริญวิปัสสนาได้เลย คือ ยกข้อธรรมที่ได้เตรียมหรือสนใจหรือศึกษาหรือสงสัยขึ้นมาพิจารณาอย่างหาเหตุผล  อย่างละเอียด  อย่างแยบคาย  ทำไมอย่างนี้จึงเป็นอย่างนั้น  ทำไมอย่างนั้นจึงเป็นอย่างนี้   ทำไม  เพราะเหตุใด ฯลฯ. พิจารณาเยี่ยงอย่างนี้ในธรรมนั้นๆ  พยายามประคองจิตอย่าให้ส่งส่ายไปในเรื่องอื่นๆ   การคิดการพิจารณาอย่างนี้ในธรรมไม่ใช่การฟุ้งซ่าน  ไม่ใช่การปรุงแต่ง  หรือไม่ใช่เป็นการไม่เชื่อดูหมิ่นดูแคลนในธรรมของพระองค์ท่าน   แต่เป็นการพิจารณาธรรมหรือธัมมวิจยะหรือโยนิโสมนสิการอันถูกต้องดีงาม  และเป็นการปฏิบัติบูชาอันมีอานิสงส์ยิ่ง  และเป็นไปตามหลักกาลามสูตร

         การปฏิบัติแบบแรกนี้  ที่เมื่อจิตเป็นขณิกสมาธิแล้ว ก็เริ่มดำเนินหรือเจริญวิปัสสนาไปเลยนั้น   อันถ้าปฏิบัติแบบมีแบบแผน  เมื่อจิตอันมีสติอยู่กับการพิจารณาธรรมได้อย่างแนบแน่นดีงามแล้วย่อมสนับสนุนให้เกิดปัญญาได้ง่าย  และเป็นการเจริญฌานสมาธิให้ประณีตขึ้นไปได้อีกด้วยโดยไม่รู้ตัว  เพราะเมื่อจิตแนบแน่นอยู่กับการพิจารณาธรรม(ไม่ได้หมายถึงการท่องบ่นข้อธรรมหรือคำบริกรรมใดๆ)  เท่ากับจิตยกเอาการพิจารณาธรรมนั้นมาเป็นอารมณ์หรือเป็นวิตก คือเป็นเครื่องกำหนดหรือเครื่องอยู่ของจิต  และทำการวิจาร คือเคล้าจิตด้วยความยินดี ไปอย่างแนบแน่นไปกับการพิจารณาธรรมนั้นๆ   จิตจึงกำลังดำเนินไปในสมาธิหรือฌานโดยธรรมชาติ หรือโดยสภาวธรรมเอง เรียกการปฏิบัติสมถวิปัสสนาในลักษณะนี้ว่า วิปัสสนาสมาธิ  และอาจมีบางครั้งบางที(เท่านั้น)ที่จิตอาจหยุดพักการพิจารณาลงชั่วขณะ  แล้วไหลเลื่อนไปเป็นสมาธิหรือฌานในระดับที่ประณีตสูงขึ้นไปเป็นลำดับเองถึงฌาน ๒,๓,๔ ได้  จึงเป็นการได้ฌานสมาธิระดับประณีตอย่างถูกต้องดีงามเสียด้วย  คือเกิดขึ้นโดยธรรมชาติไม่ได้เกิดแต่ความอยาก(ตัณหา)หรือติดเพลิน เพลิดเพลินในความสุข ความสงบ ความสบายที่เกิดแต่อำนาจของฌานสมาธินั้นๆ   เมื่อถอนออกมาแล้วจากความสงบสบายหรือฌานสมาธิอันประณีตระดับสูงแล้ว อันย่อมพร้อมด้วยกำลังของจิตอันดีเลิศ ก็ควรทำการพิจารณาหรือโยนิโสมนสิการในธรรมนั้นอีกครั้งหนึ่ง

         การปฎิบัติดังข้างต้นจึงยังสามารถไปใช้ในชีวิตประจำวันได้อีกด้วย  ไม่จำเป็นต้องนั่งปฏิบัติในรูปแบบแผนใดๆ  เมื่อว่างจากงานอันควร  จิตปลอดโปร่ง  ก็ลืมตา นั่ง เดิน  พิจารณาไปก็ได้ ก็ยังให้เกิดปัญญาเช่นกัน   แต่พึงระวังสังวรด้วยว่าไม่ควรหลับตาหรือปฏิบัติแบบเต็มรูปแบบเพราะง่ายต่อการเลื่อนไหลไปสู่ฌานสมาธิที่ประณีตละเอียดขึ้นได้ อันเป็นอันตรายในบางภาวะในการทำงานจึงอาจไม่เหมาะในขณะที่เราประกอบอาชีพการงาน  กล่าวคือเวลาและสถานที่ยังไม่เป็นสัปปายะนั่นเอง  คือเอาแต่วิปัสสนาหรือปัญญาล้วนๆนั่นเอง เรียกว่าเอาธรรมเป็นเครื่องอยู่

         วิธีแรกนี้เป็นที่ถกเถียงกันมากในหมู่ผู้สอนและนักปฏิบัติ  เพราะผู้ไม่รู้ก็ตีความว่าไม่ต้องใช้สมาธิ  บางท่านก็กล่าวว่ากำลังไม่พอ  เพราะแค่ขณิกสมาธิที่แลดูว่าทำง่ายๆจึงแลว่าไม่สำคัญจึงปรามาสสบประมาท จนไม่คิดไม่นึกว่าเป็นสมาธิที่จะนำมาใช้ประโยชน์ในการวิปัสสนาได้  คิดแต่ว่าไม่มีกำลังพอที่จะทะลุทะลวงธรรมให้เกิดปัญญาได้   โดยไม่รู้ตามความเป็นจริงว่า เมื่อวิตก วิจาร อยู่ในธรรมของการปฏิบัติสมาธิ คือ การเอาธรรมเป็นเครื่องกำหนดในการปฏิบัติสมาธิ  เป็นเพียงขณะเริ่มต้นปฏิบัติเท่านั้น  แล้วจิตก็จะดำเนินไปตามแนวทางของฌาน,สมาธิโดยธรรมชาติ พร้อมการวิปัสสนา อันไปเป็นกำลังของการปฏิบัติวิปัสสนาโดยตรงๆ แท้ๆ   จึงไม่แวะเวียนไปหลงติดเพลินติดพันหรือยึดติดยึดถือในความสุขสงบสบายต่างๆที่แลดูเผินๆว่าดี  แต่เป็นขวากหนามสำคัญทีเดียวในการเจริญวิปัสสนา

         ส่วนการปฏิบัติสมถวิปัสสนาอีกแบบหนึ่ง ที่ทำกันโดยทั่วๆไป คือ เจริญสมาธิหรือฌาน จนถึงอัปปนาสมาธิ หรือฌาน ๔  หรือเจริญตามกำลังของตนที่ปฏิบัติได้นั้น  แล้วเมื่อจิตเมื่อถอนออกมาอันย่อมพร้อมด้วยกำลังของจิตอันดีเลิศ  ก็ให้พิจารณาเจริญวิปัสสนาหรือพิจารณาธรรมนั้นที่ใคร่ครวญพิจารณาเพื่อให้เกิดปัญญา กล่าวคือ เมื่อถอนออกฌานสมาธิระดับต่างๆแล้ว อันย่อมกลับมาพร้อมด้วยความสงบความสบายและพร้อมด้วยสติอีกครั้งอันเป็นกำลังของจิตอย่างดียิ่ง ก็กลับมาพิจารณาที่ขณิกสมาธิ หรือก็ประมาณว่าขณิกสมาธิกับอุปจารสมาธิที่เรียกว่าวิปัสสนาสมาธิ หรือที่ฌานก็ที่ระดับปฐมฌาน คือ นำเอาการพิจารณาธรรมนั้นเป็นอารมณ์ หรือการเป็นวิตก และวิจารเคล้าพิจารณาในธรรมต่างๆนั้นอีกครั้ง  เพราะที่ขณิกสมาธิหรือปฐมฌาน สติยังคงบริบูรณ์อยู่ในอารมณ์ หรือการการวิตกวิจารได้

         การปฏิบัติแบบที่ ๒ นี้  จึงเหมาะแก่ผู้มีความชำนาญหรือเป็นวสีเท่านั้น  ผ่านการปฏิบัติในแบบแรกมาแล้ว ไม่เช่นนั้นมักเจอปัญหาในการปฏิบัติ   นักปฏิบัติใหม่จึงมีข้อควรพึงระวังอย่างยิ่ง   ตลอดจนนักปฏิบัติที่เริ่มปฏิบัติมาแต่แบบที่ ๒ เลยโดยไม่ได้เตรียมศึกษาธรรมหรือการปฏิบัติสมาธิไว้บ้างเลย ที่มุ่งเน้นแต่สมาธิแต่ฝ่ายเดียวก่อนเป็นสำคัญ จึงมักเกิดอุปสรรคขึ้นในภายหลัง   ตลอดจนบางสถานที่ และ บางท่านที่ไปปฏิบัติกันนั้น ก็นั่งปฏิบัติสมาธิเอาดื้อๆเลยจนเป็นก็มี  หรือฝึกหัดเอาเองดื้อๆโดยไม่ศึกษาแม้สักนิดหนึ่งก็มี  เหตุที่ควรระวังก็เพราะว่า

         เมื่อได้ฌานสมาธิระดับประณีตแล้ว  มักเกิดความสงบความสบายต่างๆอันเกิดจากภาวะไร้นิวรณ์ชั่วขณะ อันเป็นผลที่เกิดขึ้นจากอำนาจของฌานสมาธิระดับสูง  อันพึงให้นักปฏิบัติเกิดความเกียจคร้านไม่สนใจการเจริญวิปัสสนา  หรือสุขสบายไหลเลื่อนจนสติขาด จึงไม่ได้เจริญวิปัสสนา กล่าวคือ ไม่ได้ใช้กำลังจิตที่เกิดขึ้นไปในทางที่ถูกที่ควรให้เกิดปัญญา   และเพราะขาดปัญญานี้เองในภายหลังจึงเกิดการติดขัด หรือติดสุข ติดความสงบ ติดความสบาย อันพึงเกิดขึ้นจากการปฏิบัติ จึงเกิดการติดขัดหรือวิปัสสนูปกิเลสขึ้น   ลองพิจารณาดูโดยแยบคายดังนี้ก็ได้   พิจารณาสภาวธรรมนี้  มีมนุษย์หรือปุถุชนคนใดหรือไม่ในโลกนี้  ที่เมื่อเกิดความสุข ความสบาย ความสงบ แล้วจะไม่ชอบ ไม่โอบกอดรัดไว้ เป็นธรรมดาหรือตถตา นี้คือสภาวธรรมหรือธรรมชาติของสัตว์  และเมื่อไม่ชอบใจก็ผลักไสไปโดยธรรมหรือธรรมชาติ   การติดขัดทั้งติดเพลินหรือติดใจอยากในการปฏิบัติสมถะจึงเกิดขึ้นโดยสภาวธรรมเช่นนี้นั่นเอง   ผู้ปฏิเสธหรือไม่เห็นด้วยในข้อธรรมดังที่กล่าวนี้  พึงพิจารณาต่อไปดังนี้    หนึ่ง-ท่านไม่ยอมรับความจริงด้วยอวิชชาความไม่รู้    สอง-ไม่ได้พิจารณาสภาวธรรมหรือธรรมชาติ แต่กำลังหลงพิจารณาในการปฏิบัติของตัวเองอยู่  และเห็นว่าไม่ได้ไปติดเพลินหรือติดใจชอบ  ก็แสดงว่า ยังไม่บรรลุถึงฌานสมาธิในระดับประณีตอย่างจริงๆเท่านั้นเอง  อันพึงเป็นไปได้ใน ๒ ประการนี้เท่านั้น  ไม่เป็นอื่นไปได้

         หรือในขณะเริ่มปฏิบัตินั้น  บางท่านหรือบางที่ มีจุดประสงค์เพื่อบรรลุถึงฌานสมาธิแต่อย่างเดียวล้วนๆก่อน ตามความเชื่อ  ก็มีขวากหนามอันสำคัญยิ่งด้วยอวิชชา เช่น นิมิต ภวังค์ต่างๆเกิดขึ้น  ตลอดจนเพราะอวิชชาความไม่รู้จึงเกิดการติดเพลิน(นันทิ)หรือยึดติดในความสุขสงบสบายหรือองค์ฌานต่างๆที่เกิดขึ้น จึงยังให้เกิดวิปัสสนูปกิเลสตามมาเพราะได้ทำเหตุไปแม้โดยไม่รู้ตัวก็ตามที   เพราะการพยายามอย่างยิ่งในฌานสมาธิให้บรรลุฌานสมาธิสูงๆเสียแต่ฝ่ายเดียวก่อน  ด้วยคิดเข้าใจว่า ได้แล้วจะทำให้การเจริญวิปัสสนาเป็นไปได้อย่างรวดเร็วเพราะมีกำลัง  หรือผู้เขียนเองที่คิดว่า ปัญญาจะเกิดผุดขึ้น   อันล้วนเป็นความเข้าใจที่ผิด เพราะวิปัสสนาญาณนั้นเกิดขึ้นได้ด้วยการพิจารณาในระดับขณิกสมาธิหรือปฐมฌานเท่านั้น   ฌานสมาธิที่สูงประณีตเกินไปนั้น  สติจะจางคลายลงไปไม่สามารถดำเนินไปในการพิจารณาธรรมอันละเอียดอ่อนลึกซึ้งได้  จึงได้แต่กำลังของจิตอันเกิดแต่ภาวะระงับนิวรณ์ และความสดชื่นเท่านั้นเอง  แต่ก็ยังผลให้เกิดการติดเพลิน(นันทิ)อันให้โทษต่อร่างกายและจิตอย่างรุนแรงในภายหลังโดยไม่รู้ตัวถ้าไม่ปฏิบัติวิปัสสนา  แก้ไขได้ยาก  เพราะกลับกลายเป็นกิเลสชนิดรูปราคะหรืออรูปราคะอันเป็นสังโยชน์ขั้นละเอียด   ดังที่กล่าวเรื่องโทษของการติดเพลินจนเป็นอาสวะกิเลสสั่งสมไว้จึงยังให้เกิดสังขารตามที่สั่งสมที่กระทำเองอยู่เสมอโดยขาดสติโดยไม่รู้ตัวอยู่เสมอๆใน ปุจฉา - วิสัชนา เรื่อง สมาธิ  หรือในเรื่อง ฌาน, สมาธิ หรือ ติดสุขในฌาน

         ในฝ่ายฆราวาสนั้น ในการปฏิบัติแบบที่ ๒ ต้องใช้เวลายาวนาน เพราะต้องบรรลุถึงฌานสมาธิเสียก่อน  บางครั้งก็ใช้เวลานาน  เป็นอุปสรรคทั้งต่อการดำรงชีพและการปฏิบัติ  บางครั้งบางวันก็มีการกระทบผัสสะทางโลกสูงตามหน้าที่ หรือเป็นไปตามกิเลสก็ตาม  ดังนั้นการปฏิบัติให้ได้ฌานสมาธิที่ประณีตสูงแล้วจึงเจริญวิปัสสนานั้นจึงเป็นเรื่องที่ลำบากทีเดียว  ดังนั้นจึงข้ามขั้นตอนการวิปัสสนากันไปส่วนใหญ่ในภายหลังโดยไม่รู้ตัว จึงยังให้เกิดโทษได้เช่นกัน  เพราะทำไปทำมาก็วนเวียนอยู่แต่ในสมาธิเสียแล้วโดยไม่รู้ตัว   จึงไม่ได้ใช้สมาธินั้นไปอย่างรู้คุณค่าต่อการวิปัสสนาว่า จะยังให้เกิดปัญญาญาณหรือสัมมาญาณอย่างแจ่มแจ้งที่จะดับทุกข์อย่างแท้จริง ยังให้เกิดสัมมาวิมุตติสุขสงบบริสุทธ์อันเกิดจากการหลุดพ้นไปจากทุกข์   อันจะเกิดขึ้นและเป็นไปดังพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ใน สัมมัตตะ ๑๐

อนึ่งพึงระลึกอยู่เสมอว่า

มิจฉาสมาธิ  ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีมิจฉาสติ

สัมมาสมาธิ  ย่อมบังเกิดแก่ผู้มีสัมมาสติ

มิจฺฉาสติสฺส  มิจฺฉาสมาธิ ปโหติ

สมฺมาสติสฺส  สมฺมาสมาธิ  ปโหติ

(อวิชชาสูตร ๑๙/๑)

          ดังนั้นเมื่อฝึกสติใดๆก็ตาม แม้แต่สติปัฏฐาน๔ ต้องเป็นไปอย่างถูกต้องดีงามด้วยเช่นกัน

-------------------

สรุปหลักพื้นฐานในการเริ่มปฏิบัติ

          เลือกเฟ้นธรรมที่ถูกจริตแห่งตน  แล้วศึกษาหาความรู้ในธรรมนั้นพอควร ดังเช่น พระไตรลักษณ์  อริยสัจ  ปฏิจจสมุปบาท  อิทัปปัจจยตา  สติปัฏฐาน๔ ฯลฯ. ไม่จำเป็นต้องศึกษาจนเข้าใจอย่างกระจ่างแจ้งแล้วจึงเริ่มปฏิบัติ  เพียงเพื่อเป็นบาทฐานในการดำเนินการวิปัสสนา กล่าวคือเพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานในการดำเนินการพิจารณาธรรม หรือโยนิโสมนสิการ เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งถูกต้องตามความเป็นจริงระดับธรรมสามัคคี หรือจนถึงขั้นมรรคสามัคคีจนเกิดสัมมาญาณ  อันจักเกิดขึ้นได้จากการวิปัสสนาเท่านั้น   เพราะการที่ไม่ศึกษาธรรมะไว้บ้าง  เมื่อปฏิบัติสมาธิแล้ว  ก็ไม่รู้จะพิจารณาอะไร  จึงย่อมจมแช่แน่นิ่งอยู่แต่ในสมาธิอันสงบสบายแต่ฝ่ายเดียวอย่างแน่นอน  อันย่อมกลายเป็นมิจฉาสมาธิไปในที่สุด

          เมื่อศึกษาธรรมพอควรแล้ว ก็เริ่มฝึกหัดสมาธิ  ในขั้นแรกย่อมเป็นสมถสมาธิ ที่กอบด้วยความมีสติที่มีสมาธิตั้งมั่นหรือแน่วแน่  เพื่อให้ใจกายสงบ ไม่ซัดส่ายออกไปปรุงแต่งให้เกิดทุกข์ จึงย่อมเป็นกำลังสำคัญของจิต  ดังนั้นทุกครั้งทุกทีที่มีความสงบ ความสบายเกิดขึ้นจากการปฏิบัติสมถสมาธิแล้ว  ให้ดำเนินการพิจารณาหรือวิปัสสนาด้วยทุกครั้งไปจึงยังให้เกิดอานิสงส์สูงสุดขึ้นได้   การสวดมนต์ก็เป็นอุบายวิธีหนึ่งที่ก่อให้เกิดสติและสมาธิ  ดังนั้นเมื่อสวดมนต์แล้วใจคอสงบสบายอิ่มเอิบได้ก็ควรดำเนินการพิจารณาธรรมคือเจริญวิปัสสนาควบคู่กำกับไปด้วย จึงจักยังประโยชน์ได้สูงสุดเช่นกัน   ส่วนการจะเลือกสิ่งที่เป็นอารมณ์(เครื่องกำหนด)ในการปฏิบัติสมถสมาธินั้นก็แล้วแต่จริตของนักปฏิบัติเป็นสำคัญ  โดยทั่วไปแล้ว ก็นิยมใช้ลมหายใจ  บริกรรมพุทโธ  สัมมาอรหัง การสวดมนต์ ฯลฯ. ดังที่ได้กล่าวไว้มากมายในเรื่องฌานสมาธิ  หรือที่พระองค์ท่านแสดงไว้ในกรรมฐาน ๔๐

           ส่วนการที่จะปฏิบัติสมถสมาธิจนถึงระดับสงบประณีตหรือเป็นฌาน หรือใช้ขณิกสมาธิในการเริ่มวิปัสสนานั้น ก็แล้วแต่จริต,ความเชื่อ,ความเข้าใจของนักปฏิบัติเองเป็นสำคัญ  ดังข้อมูลที่ผู้เขียนได้กล่าวไว้แล้วข้างต้น

          ในนักปฏิบัติที่ชำนาญสมถสมาธิแล้วนั้น  เมื่อจะปฏิบัติก็สามารถเอาธรรมมาเป็นวิตก(เครื่องกำหนด,เป็นอารมณ์) วิจาร ได้เลย   หรือจะปฏิบัติสมถสมาธิจนจิตสงบสบายแล้วถอนออกมาดำเนินวิปัสสนา  อันแล้วแต่จริตของนักปฏิบัติเป็นสำคัญ  ดังที่กล่าวไว้เบื้องต้นแล้ว

           เมื่อพิจารณาหรือวิปัสสนาแล้ว ต้องน้อมนำไปในทางให้เกิดนิพพิทาความหน่าย  เพื่อการปล่อยวาง  สละคืน  สำรอกในกิเลส  หรือเพื่อนิพพานอันบรมสุข

การปฏิบัติธรรม

        เรื่องหนึ่งที่ควรกล่าวถึงไว้ด้วย  คือ  ปัญหาที่เกี่ยวกับการใช้ถ้อยคำซึ่งมีความหมายคลาดเคลื่อน  เลื่อนลอย  แปลกไปตามกาลสมัย  ตัวอย่างสำคัญคือ  คำว่า  "ปฏิบัติธรรม"  ซึ่งมีความหมายที่แท้ควรได้แก่  การนำเอาธรรมไปใช้ในการดำเนินชีวิต  หรือการดำเนินชีวิตตามธรรม   แต่ปัจจุบันมักเข้าใจคำนี้ในความหมายว่า  เป็นการอบรมทางจิตปัญญาขั้นหนึ่งระดับหนึ่งโดยเฉพาะ  ซึ่งมีลักษณะเป็นรูปแบบ  และทำไปตามแบบแผนที่กำหนดวางไว้ (Webmaster - เช่นหมายถึง การปฏิบัติแต่สมาธิ แม้จะเปป็นแบบเป็นแผน แต่เอาแต่ความสงบ แต่ถ้าขาดเสียซึ่งการเจริญปัญญาหรือวิปัสสนา และขาดการนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน ก็เรียกกันทั่วไปว่า การปฏิบัติธรรม ซึ่งถือว่ายังคลาดเคลื่อนอยู่)...............(พุทธธรรม หน้า ๙๓๒)

พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต)

ข้อคิด แนวทางปฏิบัติ

หลักปฏิบัติ สมถะหรือสมาธิ(สมถกรรมฐาน)

- ให้หยุดคิดหยุดนึกทั้งปวง  มีแต่สติหรือจิตตั้งมั่นอยู่แต่ในอารมณ์ อันมีกำลังยิ่ง

หลักปฏิบัติ วิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน)

- ให้หยุดแต่การคิดนึกปรุงแต่ง  มีแต่สติหรือจิตอยู่กับการคิดพิจารณา(ใช้ปัญญา)ในเหล่าธรรมอันเป็นกุศล อันเป็นปัญญายิ่ง

ส่วนหลักปฎิบัติ สมถวิปัสสนา

- เมื่อปฏิบัติสมถสมาธิ(สมถกรรมฐาน)เป็นกำลังอันยิ่ง แล้วเจริญวิปัสสนา(วิปัสสนากรรมฐาน) จึงยังทั้งกำลังและปัญญายิ่งๆขึ้นไป

พนมพร

 

 

 

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ