ปฏิจจสมุปบาท

ย้อนกลับ

๓. วิญญาณ เป็นเหตุปัจจัย จึงมี นาม-รูป

คลิกขวาเมนู

กล่าวโดยย่อ

เมื่อเกิดวิญญาณ การรับรู้ในสังขารที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติแล้ว

ย่อมทำให้นาม-รูปครบองค์คือพร้อมทำหน้าที่ กล่าวคือ ครบองค์ของขันธ์ ๕ สมบูรณ์ จึงยังให้ดำเนินกระบวนการของชีวิตสืบเนื่องไป

ขยายความ

        วิญญาณนั้น ความจริงแล้วเป็นส่วนหนึ่งของนามอยู่แล้ว (นาม หรือ จิต เกิดแต่เหตุปัจจัยของขันธ์ทั้ง ๔ คือประกอบด้วย เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์) ดังนั้นเมื่อวิญญาณเกิดขึ้นมาแล้วจึงมีขันธ์อื่นๆเป็นปัจจัยร่วมเกิดขึ้นด้วย(ที่หมายถึงเกิดร่วมทำงาน)ด้วยเป็นธรรมดา คือเหล่า เวทนา สัญญา และสังขาร นั่นเอง   เพราะวิญญาณหรือระบบประสาทต่างๆจักอยู่ หรือทำงานแต่โดยโดดเดี่ยวย่อมไม่ได้   ดังนั้นนามส่วนอื่นๆที่เหลืออันนอนเนื่องอยู่เช่นกัน ดุจเดียวกันกับวิญญาณหรืออาสวะกิเลส   จึงเกิด  การทํางานขึ้น  จึงครบองค์ประกอบของชีวิตฝ่ายจิตเช่นเดียวกันกับการเกิดขึ้นของวิญญาณ,   และเมื่อมีนาม(จิต)ก็ต้องมีรูปหรือกายร่วมเกิด การทํางานประสานกัน เพื่อเป็นที่อาศัยและใช้ทํางานของฝ่ายนามด้วย   จึงเกิดครบองค์ของชีวิตหรือรูปนาม,  นาม-รูปในปฏิจจสมุปบาท จึงหมายถึง การตื่นตัวของฝ่ายนามและรูป หรือชีวิตขึ้น พร้อมทำงานตามหน้าที่ในสังขารที่เกิดขึ้นมาก่อนนั้น  ไม่ใช่นอนเนื่องเนือยๆเป็นแมวนอนหวดอย่างเดิมอีกแล้ว  แต่เป็นแมวที่เห็นหนู จึงตื่นตัวพร้อมทำงานตามหน้าที่ตน, จึงเป็นเอกเสสนัย ที่หมายถึงการทำงานต่างๆของรูปนามหรือชีวิตด้วย  เพราะรูปนามหรือชีวิตหรือขันธ์ทั้ง ๕ นั้น ก็เกิดแต่เหตุปัจจัยต่างๆมาประชุมกัน ของรูป(ธาตุ๔) และนามทั้ง ๔   และมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ที่ต้องทํางานประสานกันอย่างสอดคล้องเนื่องสัมพันธ์กันอีกด้วย,   ด้วยเหตุดังนี้ท่านจึงตรัสว่า วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม-รูป

         ถ้ามองในแง่ปรมัตถธรรม คือ ตามความเป็นจริงสูงสุดแล้ว  สำหรับผู้ที่เข้าใจกระบวนธรรมหรือกระบวนการทํางานที่เนื่องสัมพันธ์กันของขันธ์ทั้ง ๕  โดยปกตินาม-รูป หรือรูปนามนั้นมีอยู่แล้วครบองค์ของชีวิตในทุกผู้คนที่ยังดํารงชีวิตอยู่  เพียงแต่ตามปกตินั้นนอนเนื่องเฉกเช่นอาสวะกิเลสเช่นกัน  นอนเนื่องเป็นแมวนอนหวด ที่ยังไม่ทํางานหรือยังไม่ทําหน้าที่เมื่อยังไม่เจอหนู  ซึ่งชอบเรียกกันทั่วไปว่า "ดับ"  จึงทําให้เกิดความสับสนกันโดยภาษาสมมุติว่า ไม่มีรูปนาม  ดับๆเกิดๆ  เดี๋ยวเกิด แล้วก็ดับแบบสูญ  เพราะเป็นอนัตตาไม่มีตัวไม่มีตน,   จริงๆแล้วโดยสมมติสัจจะมีรูปนาม มีตัวมีตน  มิฉนั้นท่านจะมาอ่านและฉงนอยู่ได้หรือ  แต่ว่าเป็นอนัตตาที่หมายความว่าไม่มีตัวตนที่เป็น "แก่นสาร","คงทนอยู่ไม่ได้","ควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ ที่หมายถึงแม้ควบคุมได้บ้างแต่เป็นไปอย่างไม่จริงแท้  ไม่ถาวร"  จึงไม่มีสาระให้ไปยึดมั่นถือมั่น,   จึงมักเข้าใจตีความกันผิดๆตามตัวอักษร เป็นไม่มีตัวไม่มีตน   จึงพยายามกําจัดตัวกําจัดตนชนิดนอกลู่ผิดทางต่างๆนาๆตามความเข้าใจผิดๆนั้น(อวิชชา)  และเป็นที่ถกเถียงกันมาโดยตลอดทุกยุคทุกสมัยด้วยอวิชชา

        อนัตตา จึงกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า มีตัวตน แต่ไม่แท้จริง ไม่เป็นแก่นแกนถาวร เพราะคงทนและควบคุมบังคับให้เป็นไปตามความปรารถนาไม่ได้ตลอดไป  พระองค์ท่านจึงถือว่าไร้สาระไร้คุณค่าให้ไปอยากหรือไปยึดไว้  เพราะเป็นเพียงสภาวะของการประชุมกันชั่วขณะหรือระยะหนึ่งของเหตุปัจจัยตามสภาวธรรม(ธรรมชาติ)  จึงไม่มีแก่นแกนหรือแก่นสารให้ไปยึดมั่นถือมั่น  เหตุเพราะเมื่อเหตุปัจจัยเหล่านั้นตัวใดตัวหนึ่งมีอาการแปรปรวนหรือดับไป  ตัวตนหรือธรรม(สิ่งต่างๆ)ที่ประกอบมาแต่เหตุปัจจัยเหล่านั้น ก็ย่อมต้องแปรปรวนและดับไปตามสภาวะของเหตุปัจจัยนั้น  จึงไม่สามารถคงอยู่ได้อย่างถาวรตลอดไป  จึงจักก่อให้เกิดทุกข์ถ้าไปอยากหรือยึดไว้ เพราะความที่ต้องแปรปรวนและแตกดับไปเป็นที่สุดเป็นธรรมดา,   ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า ไม่มีตัวตนที่แท้จริง หรือมีตัวตนแต่ไม่เป็นแก่นแกนแท้จริงก็ได้ขึ้นอยู่กับมุมมองในสภาวะขณะใด  แต่ที่เป็นแก่นแท้คือไม่ถาวร, คงทนอยู่ไม่ได้, ควบคุมบังคับบัญชาตลอดไปไม่ได้อย่างแท้จริง,  ในกรณีของนาม-รูปในที่นี้ของวงจรปฏิจจสมุปบาทจึงเป็นเพียงนามธรรม การเกิดจึงหมายถึงการเกิดขึ้นทำหน้าที่หรือทำงานของขันธ์ทั้ง ๕ หรือชีวิต   ส่วนคำว่าดับนั้น เป็นภาษาธรรมเช่นเดียวกัน ที่หมายความว่า ขณะจิตนั้น นาม-รูปยังไม่ทํางานหรือยังไม่ทําหน้าที่โดยสมบูรณ์   แต่เมื่อใดที่นาม-รูปทํางานหรือทํากิจตามหน้าที่ครบองค์ก็เรียกว่า "เกิด"   ดังนั้นเมื่อมีเหตุปัจจัยคือวิญญาณที่เกิดขึ้นมารับรู้สังขาร(ที่เกิดหรือผุดขึ้นมา หรือเจตนาขึ้นมาก็ตามที) ก็จักทําให้นาม-รูปครบองค์ประกอบของเหตุปัจจัย  จึงเรียกว่าเกิดรูป-นาม คือ หรือมีนาม-รูปขึ้น

          ถ้าจะเปรียบเทียบนามธรรมสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยใจนี้  อันรู้เห็นได้ยากให้เป็นรูปธรรม เพื่อให้พิจารณาได้ง่ายและแจ่มแจ้งขึ้น  ก็เปรียบเสมือนได้ดั่ง รถยนต์ที่ครบบริบูรณ์ทั้งคัน(เปรียบเสมือนดั่งนาม-รูป) ปกตินั้นย่อมจอดอยู่กับที่ แต่ล้วนมีอุปกรณ์อย่างครบถ้วน ไม่ได้ตายไม่ได้พังดับสูญไปไหน  เพียงยังไม่ทําหน้าที่ คือออกไปโลดแล่น  เหตุเพราะพลขับ(วิญญาณ)ยังหลับไหลอยู่  อันเสมือนหนึ่งนาม-รูปที่ยังไม่มีวิญญาณเกิดขึ้น จึงยังไม่ตื่นตัวทำงานนั่นเอง   อันอุปมาได้ดังที่กล่าวคือ พลขับหรือวิญญาณยังนั่งหลับไหลหรือนอนเนื่องอยู่ในรถ  แต่เมื่อใดที่พลขับอันเปรียบเสมือนวิญญาณ ได้ถูกกระตุ้นให้เกิดตื่นขึ้นมาทําหน้าที่แห่งตนคือสื่อสาร อีกทั้งเป็นตัวประสานสื่อสารกับทุกๆระบบ ทั้งระบบเบรค ระบบเครื่องยนต์ ระบบไฟ ฯลฯ.,  รถยนต์คันนั้นจึงครบองค์ประกอบสมบูรณ์พร้อมในการเกิดขึ้นทํางานตามหน้าที่  คือครบองค์ธรรมของยานพาหนะ  ที่มีจริงๆเพื่อไว้ใช้ในการขับเคลื่อนขนส่งไปสู่จุดหมายต่างๆ  อันเป็นการทําหน้าที่โดยบริบูรณ์ ตามฐานะของตน คือ รถที่ทำหน้าที่เป็นยานพาหนะขนส่ง ไม่ใช่รถที่มีไว้จอดแช่นิ่ง ที่นอนเนื่อง  เช่นเดียวกับรูป-นามที่ปราศจากการตื่นตัวทำงานของวิญญาณก็เหมือนรถที่จอดไว้  แต่เมื่อมีวิญญาณเกิดมาทำหน้าที่แล้ว ก็ย่อมครบองค์ของเหตุปัจจัยในการทำงานของชีวิต  จึงเปรียนเสมือนรถยนต์ที่ขับออกไปโลดแล่นตามกิจที่ตั้งใจได้นั่นเอง

         ดังนั้นอย่าได้พยายามหาทางดับ รูป-นาม โดยความเข้าใจทางรูปธรรมหรือภาษาสมมุติ  ซึ่งเป็นการเข้าใจกันผิดๆเพราะสมมุติทางภาษาที่นอนเนื่องแอบแฝงอยู่ในจิตว่า ดับคือไม่มี, ดับสูญ, สูญสิ้น   อันเกิดขึ้นเพราะความไม่เข้าใจในอนัตตาโดยถ่องแท้

            ดับ ในที่นี้จึงเป็นภาษาธรรม ที่หมายถึง ไม่ได้ทําหน้าที่ หรือยังไม่ได้ทํากิจตามหน้าที่ตน กล่าวคือ นอนเนื่องอยู่นั่นเอง ไม่ได้ดับชนิดขาดสูญสิ้นหรือสูญหายตายจากไปไหนอย่างแท้จริง

            เกิด ในที่นี้จึงเป็นภาษาธรรมเช่นเดียว ที่หมายถึง เริ่มการทําหน้าที่หรือทํางานตามหน้าที่, ทํางานตามกิจอันควรของตน

       องค์ธรรมต่างๆในปฏิจจสมุปบาท ตลอดจนขันธ์ ๕ ก็ล้วนมีสภาวะของการเกิดดับๆ เป็นไปในลักษณาการเช่นเดียวกัน  ดังเช่น อาสวะกิเลส ซึ่งอาจผุดขึ้นมาเอง๑  หรือเจตนาขึ้น๑  หรือเกิดการกระตุ้นเร้าจากการกระทบผัสสะขึ้นมาก็ตามที๑  ก็เรียกว่า "เกิด" ขึ้น   เมื่อลืมไป(เพราะเป็นสัญญาความจำอย่างหนึ่ง)ก็คือนอนเนื่องตกตะกอนอยู่ก็เรียกว่า "ดับ" ไป   ซึ่งก็ไม่ได้ดับสูญหายไปไหน  ยังคงนอนเนื่องอยู่ในจิตอย่างนั้นนั่นเองเพียงแต่ยังไม่"เกิด"ทำงาน  ไม่ได้ดับสูญหายแตกดับไปอย่างแท้จริง,   องค์ธรรมสังขารกิเลสก็เช่นกัน  เมื่อยังไม่ถูกกระตุ้นเร่งเร้าทั้งด้วยอาสวะกิเลสและอวิชชาก็เรียกว่าดับไป  เมื่อมีเหตุปัจจัยครบองค์ก็ทำงานขึ้นก็เรียกว่าเกิดขึ้น,  วิญญาณก็เฉกเช่นกัน เป็นไปในลักษณาการเดียวกัน  เมื่อมีสังขารเกิดขึ้น ก็เกิดวิญญาณของอายตนะนั้นๆ  แล้วก็ดับไป  แล้วก็เกิดแล้วก็ดับ เกิดดับๆ...อยู่อย่างนี้  ไม่ได้ดับชนิดสูญหายขาดสิ้นอย่างแท้จริงไปไหนเช่นกัน  ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย ซึ่งเมื่อครบองค์ของเหตุปัจจัยก็เกิดการทำงานขึ้น

        นาม - รูป ก็เป็นไปในลักษณาการเดียวกัน คือ อยู่ในสภาวะเกิดดับๆ...ที่หมายถึง ทําๆ หยุดๆ นั่นเอง ดับจึงไม่ใช่หมายถึงตายหรือการดับอย่างดับสูญ หรืออย่างความหมายว่าไม่มีตัวไม่มีตนชนิดรูปธรรมตามที่ตีความหรือเข้าใจกันทั่วๆไป  อันจักยังให้ไม่สามารถเข้าใจในปฏิจจสมุปบาทธรรมได้  ตลอดจนทําให้หลงไปปฏิบัติแบบผิดๆนอกลู่ผิดทางเสียอีกด้วย  เช่น พยายามปฏิบัติไปในแนวทางดับรูปดับนามแบบผิดๆ แบบให้ขาดสูญ  หรือไปตีความไปในรูปแบบข้ามภพข้ามชาติเสียแต่ฝ่ายเดียวอีกด้วย

        ดังนั้นปฏิจจสมุปบาทจึงกล่าวดังนี้ก็ได้ว่า  "เพราะอวิชชาเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับอาสวะกิเลสที่นอนเนื่องอยู่ จึงเป็นเหตุปัจจัย ให้เกิดของสังขารกิเลสขึ้น  เพราะสังขารเป็นเหตุปัจจัย จึงเกิดการทำงานของวิญญาณขึ้น  เพราะวิญญาณเป็นเหตุปัจจัย จึงเกิดการทำงานของนาม-รูปขึ้น  เพราะนาม-รูปเป็นปัจจัย จึงเกิดการทำงานของสฬายตนะขึ้น....ฯ."

(อ่านพระไตรลักษณ์ ในบทที่ ๑๒ ประกอบการพิจารณา  เพื่อความเข้าใจเรื่องการเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงมีการเกิดดับเกิดขึ้น)

        จากขันธ์ ๕ ที่จะกล่าวถึงในบทขันธ์ ๕  ขอให้ท่านสังเกตุเพื่อที่จะเห็นได้ว่าวิญญาณมีหน้าที่สื่อสาร  แลกเปลี่ยน  รับรู้ข้อมูลต่างๆอันทํางานดั่งระบบประสาท ให้ชัดเจนเพราะจักช่วยให้เข้าใจจำแนกแตกธรรมได้อย่างถูกต้อง

        พระองค์ท่านทรงแสดงว่าวิญญาณนั้นเป็นวิญญาณาหาร ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนหล่อเลี้ยงให้เกิดนาม-รูป  ดังนั้นเมื่อวิญญาณทํางานตามหน้าที่ต่อสังขารที่เกิดนั้นๆ  นาม-รูปจึงครบองค์ประกอบของการทําหน้าที่แห่งตนเช่นกัน  หรือเกิดการทํางานของนาม-รูปหรือชีวิตเต็มตัว พระองค์ท่านจึงตรัสแสดงไว้ว่า วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนาม-รูป  หรือทําให้นาม-รูปครบองค์ชีวิตหรือครบองค์ของการทํางานได้ตามหน้าที่หรือกิจแห่งชีวิตตนนั่นเอง

 

anired06_next.gif ย้อนกลับวงจรปฏิจจสมุปบาท

๔. เพราะนาม-รูปเป็นปัจจัย  จึงมีสฬายตนะ

 

กลับสารบัญหน้า ปฏิจจสมุปบาท