๕. สฬายตนะ เป็นเหตุปัจจัย จึงมี ผัสสะ |
|
เมื่อมีสฬายตนะ ทวารหรืออวัยวะที่ใช้ในการสื่อสารรรับรู้การสัมผัสของกายตน ได้ทํางานตามหน้าที่อย่างสมบูรณ์ จึงย่อมต้องมีการผัสสะ คือการประจวบกันกับสังขารที่สั่งสมแล้วผุดขึ้นมานั้นอันพร้อมด้วยวิญญาณที่รับรู้เกิดขึ้น กล่าวคือเกิดการประจวบครบองค์ธรรมทั้ง ๓ อันกล่าวได้ว่า เป็นการเกิดกระบวนธรรมของการกระทบสัมผัสตามธรรมชาติอย่างสมบูณ์และถูกต้องและเป็นธรรมดา ดังพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ดังนี้
บุคคลอาศัยจักษุ(อายตนะภายใน)และรูป(อายตนะภายนอก) (ย่อมต้อง)เกิดจักษุวิญญาณ ความประจวบกันของธรรมทั้ง ๓ เป็นผัสสะ
(กล่าวเหมือนกันในอายตนะหรือทวารทั้ง ๖)
(ม.อุ.๑๔/๘๒๓/๔๙๓)
หรือเขียนเป็นกระบวนธรรม เพื่อให้ง่ายต่อการจำแนกแตกธรรมในการพิจารณาได้ดังนี้
อายตนะภายนอก
สฬายตนะ(อายตนะภายใน)
(เกิด)วิญญาณ
พระองค์ท่านเรียกว่าผัสสะ
หรือเกิดการกระทบสัมผัสกัน
ดังตัวอย่าง
คิด,นึก(อันคือธรรมารมณ์)
ใจหรือจิต
(เกิด)มโนวิญญาณ
เกิดการกระทบกันหรือผัสสะ
ตา รูป
(จักษุ)วิญญาณ(ตา)
ผัสสะ
หู
เสียง
(โสต)วิญญาณ(หู)
ผัสสะ
บางครั้งการอธิบายในที่นี้
อาจมีการเขียนสลับตําแหน่งกันบ้าง ก็เพื่อให้พิจารณาเห็นได้ชัดเจนขึ้นในแต่ละเรื่อง
อันเป็นไปตามธรรม, แต่ล้วนมีความหมายเหมือนกัน คือเกิดแต่เหตุปัจจัยทั้ง
๓ เช่นกันอันมี อายตนะภายนอก(อันหมายรวมถึงสังขารต่างๆเช่นความคิดตามที่สั่งสมไว้ในวงจรปฏิจจสมุปบาทด้วย)
สฬายตนะ(อายตนะภายใน)
วิญญาณ ทั้ง ๓ องค์ธรรมมาประจวบเป็นเหตุปัจจัยกัน ท่านเรียกว่าเกิดผัสสะ
อันเป็นกระบวนธรรมของผู้มีชีวิตเป็นธรรมดา
ดังนั้นการเกิดขึ้นแห่งผัสสะในวงจรปฏิจจสมุปบาท จึงเกิดจากสฬายตนะ ที่มีทางเข้า หรือเหตุใหญ่ๆได้ ๒ ทาง (ดูรูปประกอบ) คือ
๑. ดําเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทตามปกติ คือ เกิดจากองค์ธรรมสังขาร(องค์ธรรมที่ ๒) ในวงจรปฏิจจสมุปบาท อันเกิดขึ้นมาแต่อาสวะกิเลสหรือสัญญาหรือธรรมารมณ์ชนิดหนึ่ง แต่แอบแฝงกิเลสที่นอนเนื่องที่เจตนาขึ้นมาหรือผุดขึ้นมาเอง ดังกระบวนธรรมที่แสดงนี้
สังขาร(องค์ธรรมที่
๒) วิญญาณ(องค์ที่
๓)
สฬายตนะ(องค์ธรรมที่
๕)
ครบองค์ทั้ง ๓ เกิดการกระทบ หรือ ผัสสะ (เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเป็นองค์ธรรมที่
๖ นั่นเอง)
ดูวงจรประกอบการพิจารณา
ได้ที่ คลิกขวาเมนู
๒. และเกิดจากอายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อันมีอยู่ในสภาวธรรมชาติธรรมดาๆ อันอาจจรมาร่วมกระทบกับองค์ธรรมสฬายตนะ(องค์ธรรมที่ ๕)โดยตรงในการดําเนินชีวิต อันเป็นอีกเหตุปัจจัยหนึ่งอันสําคัญยิ่งที่ก่อให้เกิดการกระทบกันโดยตรง อันเมื่อเกิดการกระทบสัมผัสแล้วย่อมต้องเกิดวิญญาณการรับรู้ในสิ่งที่มากระทบเกิดขึ้นด้วยเป็นธรรมดาของผู้มีชีวิต ไม่เกิดก็ไม่ได้ ดังกระบวนธรรมนี้
อายตนะภายนอกอันมีรูป
เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ จากภายนอก(กองธรรมที่๑๖)จรมากระทบโดยตรงกับ สฬายตนะ(กองธรรมที่
๕)
วิญญาณอันย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดาของผู้มีชีวิต(กองธรรมที่๑๕)
ผัสสะ(องค์ธรรมที่ ๖)
โยนิโสมนสิการโดยละเอียดและแยบคาย จะเห็นความเป็นกระบวนการธรรม ตามธรรมชาติ ธรรมดาๆ ที่เมื่อ ตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส กายกระทบสัมผัส ความคิดกระทบใจ ย่อมเกิดวิญญาณการรับรู้(ระบบประสาทรับรู้)ในสิ่งที่สัมผัสหรือกระทบนั้นๆเป็นอาการธรรมดาหรือเป็นสภาวธรรมที่มันเป็นเช่นนั้นเอง อันเรียกว่าผัสสะ เป็นการทํางานของระบบร่างกายตามปกติธรรมชาติที่สมบูรณ์ถูกต้องด้วยประการทั้งปวงนั่นเอง! แต่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นได้เนื่องจากความไม่รู้ในเรื่องทุกข์และการดับทุกข์ หรืออวิชชานั่นเอง !
ข้อควรพิจารณา ที่องค์ธรรมผัสสะนี้ เหตุที่ทําให้เกิดนอกจากสังขารแล้ว ยังมีอายตนะภายนอกคือ รูป,เสียง,กลิ่น,รส,สัมผัส,ธรรมารมณ์สามารถที่จะจรมากระทบโดยตรงผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ทั้ง๖ (สฬายตนะ) ซึ่งล้วนมีอาสวะกิเลสที่นอนเนื่องและอวิชชาแฝงอยู่ในทีอยู่แล้ว ดังนั้นในชีวิตประจําวัน การงาน ขับรถ การสังสรรค์....ฯลฯ จึงควรมีความสํารวม สังวร ระวัง ไม่ประมาท เพราะเมื่อกระทบกันเมื่อใดย่อมต้องมีผัสสะเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นกระบวนการธรรมชาติหรือสภาวธรรมแท้ๆ, อย่างในการออกบวชเป็นบรรพชิตจะมีพระวินัย กฏข้อบังคับคือศีลต่างๆ การปลีกวิเวก การออกธุดงค์ ฯ. เหล่านี้เป็นเครื่องสํารวม สังวร ระวัง อันเพื่อสำรวมในสฬายตนะหรือทวารทั้ง ๖ ทั้งหลายนั่นเอง เพื่อเป็นเครื่องป้องกันในขั้นต้น เพื่อให้ถึงที่สุดแห่งการดับทุกข์อย่างรวดเร็ว, ดังนั้นในปุถุชนนักปฏิบัติเพื่อดับทุกข์หรือจางคลายจากทุกข์ จึงยิ่งต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เนื่องจากย่อมมีการกระทบผัสสะอันเกิดแต่สฬายตนะนี้โดยตรงๆอันเกิดจากกิจต่างๆในชีวิตประจําวันอันมากมายและยุ่งเหยิงในทางโลกๆนั่นเองและไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้เพราะหน้าที่ โดยเฉพาะในยุคปัจจุบัน จึงยิ่งต้องมีสติรู้เท่าทัน, เพราะเป็นสภาวธรรมที่ต้องมี ต้องเกิด อันไม่สามารถห้ามการผัสสะได้โดยตรง อันสามารถยังให้เกิดทุกข์ขึ้นได้ทุกขณะที่กระทบถ้าไม่มีสติรู้เท่าทันและเข้าใจ(ปัญญา)อย่างถ่องแท้
ตัวอย่างของขันธ์๕ หรือปฏิจจสมุปบาท ที่เกิดในชีวิตทุกๆขณะจิต เช่น
ตา
รูป
จักขุ(ตา)วิญญาณ การประจวบกันเรียกว่า ผัสสะ
หู
เสียง
โสต(หู)วิญญาณ การประจวบกันเรียกว่า ผัสสะ
ใจ
คิด
มโน(ใจ)วิญญาณ การประจวบกันเรียกว่า ผัสสะ
ท่านจึงกล่าวไว้ว่า สฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ กล่าวคือเมื่อมีวิญญาณเกิดขึ้นแล้วย่อมยังให้ครบองค์ของการผัสสะ และย่อมเป็นการผัสสะชนิดอวิชชาผัสสะ คือผัสสะที่มีอวิชชาแฝงอยู่ในที คือหมายถึงเกิดการผัสสะที่ยังไม่มีวิชชาในเรื่องทุกข์และวิธีการดับทุกข์ จึงไม่รู้(ปัญญา)และไม่มีสติรู้เท่าทันว่า มีสัญญาความจําอันแฝงไว้ด้วยกิเลสหรืออาสวะกิเลสนั่นเอง แอบแฝงมาด้วยเป็นธรรมดา จึงเป็นการยอมอยู่ในทีให้อาสวะกิเลสหรือกิเลส และอวิชชานั้นแฝงติดไปกับการกระทบผัสสะนั้น จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดเวทนามีอามิส(เวทนาที่เจือด้วยกิเลส) จึงพรั่งพร้อมไปในทางที่ก่อให้เกิดอุปาทานทุกข์ขึ้น
๖. เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา