|
ทำไมปุถุชนจึงไปยึดติดว่า ชีวิตเป็นตัวตน เป็นของตน |
|
ชีวิต ประกอบด้วย ขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์ คือเป็นองค์ประกอบย่อยๆ มาประกอบประชุมรวมกัน เป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกันขึ้น เป็นกลุ่มก้อนหรือสิ่งที่เราเรียกกันทั่วไปว่า ชีวิต, ก็อุปมาได้ดั่งรถยนต์ ที่มีองค์ประกอบย่อยๆ ดังเช่น ตัวถังโครงสร้าง เครื่องยนตร์ ระบบเบรค ระบบขับเคลื่อน และระบบไฟฟ้า ทั้ง ๕ ที่นำมาประกอบประชุมรวมกันเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกัน ก็เป็นสิ่งที่เราเรียกกันทั่วไปว่า รถ, ทั้งชีวิตและรถโดยทั่วไปนั้นก็ย่อมอยู่นิ่งๆเฉยๆ แต่เมื่อมีสัญเจตนาคือเจตนาตั้งใจกระทำ ก็จะทำให้เกิดกรรมคือการกระทำต่างๆขึ้น คือทำให้มีการเคลื่อนที่เคลื่อนไหวต่างๆนาๆขึ้นตามสังขารปรุงแต่งได้เจตนาหรือสัญเจตนาขึ้น เช่น ให้ยืน นอน เดิน นั่ง วิ่ง กิน ทำการงาน ฯลฯ. ได้ตามใจปรารถนา, หรือถ้าเป็นรถ ก็คือรถที่มีคนขับรถ จะบังคับให้รถทำงานได้ตามใจตน เช่น ให้แล่น ให้หยุด เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา เดินหน้า ถอยหลัง ฯ. ต่างๆก็ได้สมดังใจปรารถนา, จึงเกิดการเข้าไปยึดติดยึดหลงด้วยโมหะว่า ทั้งชีวิตหรือรถนั้น อยู่ในบังคับบัญชาของเรา จึงเกิดการเข้าใจผิดจนไปยึดติดไปเสียว่า ย่อมต้องเป็นของเรา เราจึงบังคับบัญชาเขาได้ จึงเชื่อว่า "เป็นของเรา" ไปโดยไม่รู้ตัว โดยไม่เข้าใจว่าเป็นเพียงกริยาอาการการกระทำต่างๆเท่านั้น ที่เป็นผลมาจากการเป็นเหตุปัจจัยกันของขันธ์ทั้ง ๕ หรือเกิดจากเหตุปัจจัยประกอบกันขึ้นของรถเท่านั้น แต่ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเราอย่างแท้จริง จึงสั่งให้ไม่ เกิด ไม่แก่เจ็บ ไม่ตาย ไม่ได้, ส่วนในรถนั้นก็ไปสั่งให้ไม่ให้ผุพัง ไม่ให้รวน ไม่ให้เสีย ไม่ให้ตาย ย่อมไม่ได้
ดังนั้นเมื่อพิจารณาโดยแยบคายแล้ว ปุถุชนมักเกิดความเข้าใจผิดชนิดซึมซ่านย้อมจิตไปโดยไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลาว่า ชีวิต แม้ร่างกาย และยังพลอบเข้าใจไปในสิ่งต่างๆอีกด้วยว่า ล้วนเป็นตัวตนหรือของตัวตนได้ ก็ด้วยเกิดจากกรรมคือการกระทำ หรือกริยาการกระทำต่างๆได้ทั้งทางกาย วาจา แม้ใจ ที่ทำให้เกิดขึ้นได้ต่างๆนาๆนี่เอง เป็นประการหนึ่ง
อีกประการหนึ่งคือ อายตนะภายใน & ภายนอกทั้ง ๑๒ ก็เป็นตัวสำคัญที่ทำให้เกิดความรู้สึก หรือเข้าใจไปผิดๆว่า ร่างกายเรานี้ เป็นตัวตน จึงเป็นของตน คือเป็นบ่อเกิดของสังโยชน์ ๑๐ ดังเช่น สักกายทิฏฐิ ความคิดเห็นว่ากายเป็นตัวตน เป็นของตน ก็เพราะล้วนสัมผัสคือผัสสะได้ด้วยอายตนะต่างๆ คือแตะ ต้อง ลูบ คลำ เห็น ได้ยิน ลิ้มรส ดมกลิ่น สัมผัส กระทั้งความนึกคิดต่างๆ ได้โดยตนเองหรือแม้ผู้อื่น ก็ด้วยอายตนะต่างๆ นี้นี่เอง อีกทั้งจากกรรม(การกระทำ)ต่างๆดังข้างต้น ยิ่งส่งเสริม จึงยิ่งย่ามใจ เชื่อใจ คือมั่นใจ จนไปยึดถือยึดมั่น(อุปาทาน) เป็นความเชื่อที่เกิดขึ้นแลัวเป็นไปโดยไม่รู้ตัว ซึมซ่านย้อมจิตอยู่ตลอดเวลาที่ดำรงอยู่ด้วยอวิชชาว่า เป็น"ตัวตน"อีกทั้งจึงย่อม"เป็นของตน" เมื่อตนเป็นเจ้าของ จึงยิ่งเกิดความหวงแหน โดยลืมตัวไปว่าจริงๆแล้วเป็น"อนัตตา" ควบคุมบังคับไม่ได้ดังใจปรารถนาจริง
ขันธ์ทั้ง ๕ อันมี
รูปขันธ์ ส่วนของร่างกายอีกทั้งทวารทั้ง ๖ เป็นอนัตตา เกิดแต่เหตุปัจจัย-จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ตามหลักอิทัปปัขจจยตา หรือเป็นไปตามหลักเหตุและผล หรือธรรมใดล้วนเกิดแต่เหตุ จึงขึ้นอยู่กับเหตุ จึงไม่เป็นไปตามความปรารถนา หรือการบังคับบัญชาของเราหรือใครๆได้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันต่างล้วนเป็นประตูทวารของกายไว้ติดต่อกับโลกภายนอกคืออายตนะภายนอกทั้ง ๖ ก็เช่นกัน ส่วนการที่สั่งให้ กิน นอน เดิน นั่ง คิด พูดจา ฯลฯ. นั้น แม้แลดูเหมือนเราบังคับบัญชาเขาได้ แต่แท้จริงแล้วเป็นเพียงกรรม(การกระทำ) อันเป็นผลจากจากการทำงานประสานสัมพันธ์กันของขันธ์ทั้ง ๕ เท่านั้นเอง ที่ทำให้เกิดกรรมการกระทำต่างๆผ่านทางรูปขันธ์เท่านั้นเอง
เวทนาขันธ์ ความรู้สึกจากการเสวยอารมณ์ เป็นอนัตตา เกิดแต่เหตุปัจจัย-จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ตามหลักอิทัปปัขจจยตา จึงไม่เป็นไปตามความปรารถนา หรือการบังคับบัญชาของเราหรือใครๆได้ (จึงยังคงเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง จึงต้องไม่ไปยึดมั่นด้วยตัณหา หรือทิฏฐิ - เวทนานุปัสสนา)
สัญญาขันธ์ ความจำได้ อีกทั้งคิดอ่านปรุงจิต เป็นอนัตตา เกิดแต่เหตุปัจจัย-จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ตามหลักอิทัปปัขจจยตา จึงไม่เป็นไปตามความปรารถนา หรือการบังคับบัญชาของเราหรือใครๆได้
สังขารขันธ์ สิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้น เป็นอนัตตา เกิดแต่เหตุปัจจัย-จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ตามหลักอิทัปปัขจจยตา จึงไม่เป็นไปตามความปรารถนา หรือการบังคับบัญชาของเราหรือใครๆได้ (จึงยังคงเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง จึงต้องไม่ไปยึดมั่นด้วยตัณหา หรือทิฏฐิ - จิตตานุปัสสนา)
วิญญาณขันธ์ การรู้แจ้งในอารมณ์หรือสิ่งที่กระทบกับอายตนะ เป็นอนัตตา เกิดแต่เหตุปัจจัย-จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ตามหลักอิทัปปัขจจยตา จึงไม่เป็นไปตามความปรารถนา หรือการบังคับบัญชาของเราหรือใครๆได้
นอกจากบางครั้งบังเอิญเป็นไปตามปรารถนา ก็มักถึงซึ่งความหลงคือโมหะหรืออวิชชา คือ ไปหลงยึดถือเอาเสียว่า เป็นจริงเป็นจัง เป็นเรา เป็นของเรา จนฝังใจแม้ในสิ่งอื่นๆ
ด้วยเหตุนี้พระองค์ท่านจึงได้สอนไว้ว่า เธอจึงเป็นผู้ที่ตัณหาและทิฏฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว จึงไม่ยึดมั่นถือมั่นอะไรๆในโลกนี้ (แสดงในมหาสติปัฏฐานสูตร) จึงไม่ไปอยากหรือไปไปยึด ด้วยต้องผิดหวังในที่สุดด้วยทุกขัง เพื่อไม่ให้เป็นทุกข์อันเกิดร่วมกับอุปาทาน หรือเกิด"อุปาทานขันธ์ ๕"อันเป็นทุกข์นั่นเอง
จงทำญาณให้เห็นจิต ให้เหมือนดั่งตาเห็นรูป