สารบัญ

ข้อผิดพลาดในการปฏิบัติ

คลิกขวาเมนู

        ในการปฏิบัติธรรมนั้น  นักปฏิบัติมักลืมกฏอันสำคัญยิ่งที่มีอยู่ในธรรมชาติ  ที่พระองค์ทรงแสดงด้วยพระองค์เองไว้ว่า  ไม่ว่าเราตถาคตจะบังเกิดขึ้นหรือไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม  ธรรมหรือธรรมชาติหรือธาตุ ก็ยังคงเป็นเช่นนี้เอง  ดังที่แสดงไว้ใน"อุปปาทสูตร"ดังนี้

อุปปาทสูตร

 พุทธพจน์ และ พระสูตร ๕๑.

พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๒๐

        [๕๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม  ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม

ธาตุ นั้นคือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา   ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง

ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตุนั้นว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง

ครั้นแล้ว จึงบอก  แสดง  บัญญัติ  แต่งตั้ง  เปิดเผย  จำแนก

ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม

ธาตุ นั้นคือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา   ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง

ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตนั้นว่า สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์

ครั้นแล้ว จึงบอก  แสดง  บัญญัติ  แต่งตั้ง  เปิดเผย  จำแนก

ทำให้เข้าใจง่ายว่า สังขาร ทั้งปวงเป็นทุกข์

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม

ธาตุ นั้นคือ ความตั้งอยู่ตามธรรมดา ความเป็นไปตามธรรมดา   ก็คงตั้งอยู่อย่างนั้นเอง

ตถาคตตรัสรู้ บรรลุธาตนั้นว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

ครั้นแล้ว จึงบอก  แสดง  บัญญัติ  แต่งตั้ง  เปิดเผย  จำแนก

ทำให้เข้าใจง่ายว่า ธรรม ทั้งปวงเป็นอนัตตา ฯ

(พระไตรปิฏก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๒๐ , ข้อที่ ๕๗๖)

        นี้คือพระสูตรที่ตรัสยืนยันด้วยพระองค์เอง ที่ได้ตรัสแสดงไว้ดังนั้น  ซึ่งเป็นการกล่าวถึงธรรมนิยามหรือธรรมชาติของสิ่งทั้งปวง หรือที่เรียกกันอีกอย่างหนึ่งว่า"พระไตรลักษณ์" ที่มักกล่าวกันโดยย่อว่า

        สังขารทั้งปวง  ไม่เที่ยง (อนิจจัง)

        สังขารทั้งปวง  เป็นทุกข์ (ทุกขัง)

        ธรรมทั้งปวง  ไม่มีตัวตน (อนัตตา)

        ธรรม นั้นมีความหมายกว้างขวางกว่าสังขาร มีความหมายถึง สิ่งทั้งปวง ทั้งสิ้น โดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆ จึงครอบคลุมทั้งฝ่ายสังขารคือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นหรือสังขตธรรม  และอสังขตธรรมสิ่งที่ไม่ได้ถูกปรุงแต่งขึ้น เป็นสภาวธรรม หรือธรรมชาติทั้งหลายนั่นเอง  จึงไม่มีตัวตนชั่วคราวใดๆเหมือนดั่งสังขารเป็นเพียงสภาวะ

        ธรรมหรือธรรมชาติ นั้นย่อมบอกถึงสภาพความยิ่งใหญ่ที่สุดของตัวมันเองอยู่แล้ว คือสภาพที่เป็นอยู่อย่างนี้เองตามวิสัยของโลก คือธรรมชาติของโลกนั่นเอง  ที่คงเป็นอย่างนี้ตลอดกาลนานหรืออกาลิโกนั่นเอง  ดังพระดำรัสข้างต้นที่ตรัสว่า ธรรมหรือธรรมชาติทั้งปวงเป็นอนัตตา คือ การกล่าวว่าสิ่งทั้งปวงคือธรรมนั้นล้วนไม่มีตัวตน ที่หมายถึง ตัวตนที่เป็นของตัวมันเองจริงๆ  ตัวตนที่เห็นหรือผัสสะหรือเข้าใจว่า เป็นตัวตนนั้น เป็นเพียงกลุ่มก้อนมายาขององค์ประกอบย่อยๆต่างๆ ที่มาประชุมปรุงแต่งกันขึ้นในขณะหนึ่งๆเท่านั้น  หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า ตัวตนนั้นเกิดแต่เหตุต่างๆ มาประชุมเป็นปัจจัยกันชั่วคราวให้เกิดขึ้น  ดังนั้นจึงย่อมพิจารณาเห็นได้ง่ายว่า เมื่อเกิดแต่เหตุต่างๆ ธรรมหรือตัวตนเหล่านั้น จึงย่อมขึ้นอยู่กับคืออยู่ใต้อำนาจของเหตุต่างๆที่มาเป็นองค์ประกอบกันขึ้น คือเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตา หรือ "ธรรมใดย่อมเกิดแต่เหตุ"  จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครๆ จึงไม่สามารถเป็นไปได้ตามใจปรารถนาของใครๆ หรือแม้แต่เรา  เมื่อพิจารณาเห็นได้ดังนี้แล้ว ย่อมเล็งเห็นได้ว่า ขันธ์ทั้ง ๕ นั้นที่ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยจึงย่อมเป็นอนัตตาย่อมบังคับควบคุมบังคับเขาไม่ได้ ด้วยเป็นไปตามเหตุปัจจัยดังกล่าว ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราหรือใครๆทั้งสิ้น  ความสำคัญของอนัตตาก็คือสิ่งนี้นั่นเอง คือ เราควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจปรารถนาของใครๆหรือแม้เราเองไม่ได้  เพราะไม่มีตัวตนจริงๆให้เข้าไปครอบครองได้ เป็นไปเพียงตามเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งเท่านั้น

         ข้อผิดพลาดในการปฏิบัติจึงเกิดขึ้น  ด้วยเมื่อปฏิบัติแล้ว นักปฏิบัติมักเข้าใจว่า หรืออยากไปว่า ให้บรรดา ทุกข์ โศก โรค ภัย เสนียดจัญไร ฯ. ทั้งหลายไม่เกิดขึ้น ไม่กล้ำกราย หรือเบาลง หรือดับลงไป หรือเมื่อมันเกิดขึ้น ก็ยังมีความสงบเย็นใจอยู่ ไม่เร่าร้อน ไม่เป็นทุกข์ จึงพากันดิ้นรนขวยขวายไปบนบาน กราบไหว้ บูชา หาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆประดามีที่ยึดมั่นเชื่อถือด้วยทิฏฐุปาทานหรือสีลัพพตปาทานใดๆก็ตามที เพื่อขอให้ช่วยเหลือเกื้อหนุนให้พ้นไปจากทุกข์โศกโรคภัยที่เบียดเบียน  ซึ่งบางครั้งบางทีก็บังเอิญไปตรงกับใจปรารถนาเข้า จึงยิ่งเกิดการยึดถือยึดมั่นด้วยทิฏฐุปาทานยิ่งขึ้นไปอีก แต่แท้จริงแล้วมันไม่เป็นไปตามใจปรารถนาจริงๆดังนั้นได้เลย ได้แต่เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจชั่วขณะๆเป็นครั้งเป็นคราวได้เท่านั้น  บางท่านก็ไปหลบทุกข์ภัยชั่วคราวในฌานสมาธิบ้างก็มี  เมื่อปฏิบัติดังนี้ย่อมไม่ได้ผลแท้จริงไม่ว่าจะเนิ่นนานไปกี่ภพกี่ชาติก็ตามที  ได้แต่เพียงกดข่มชั่วคราว หรือยึดเหนี่ยวเป็นกำลังใจไว้ได้อย่างเป็นครั้งเป็นคราวไป  โดยอาศัยสิ่งต่างๆเป็นที่พึ่งพายึดถือ ก็ด้วยอวิชชายังมีอยู่  จึงไม่รู้ความจริงที่ว่า ทุกข์ทั้งหลายเกิดจากขันธ์ทั้ง ๕ เป็นเหตุปัจจัยกันให้เกิดขึ้น แล้วย่อมต้องเป็นไปตามธรรมคือตามเหตุปัจจัยเท่านั้นเอง  และขันธ์ทั้ง ๕ ล้วนเป็นอนัตตา จึงไปบังคับบัญชาให้เป็นไปตามใจปรารถนาไม่ได้เลย  ผู้ไม่รู้ก็พากันดิ้นรนทุรนทุรายหาวิธีการต่างๆนาๆดังที่กล่าว  ซึ่งย่อมไม่ได้ผล ด้วยเป็นอนัตตาจึงบังคับบัญชาขันธ์ทั้ง ๕ ให้เป็นไปตามใจปรารถนาไม่ได้เลย  ด้วยขันธ์ทั้ง ๕ เพียงทำงานตามหน้าที่ดั่งสรีระยนต์เท่านั้น ด้วย

     รูปขันธ์ หรือส่วนร่างกาย  ล้วนเป็นอนัตตา เกิดแต่เหตุปัจจัย-จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ตามหลักอิทัปปัจจยตา   จึงไม่เป็นไปตามความปรารถนา หรือการบังคับบัญชาของเราหรือใครๆได้  ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันต่างล้วนเป็นประตูทวารของกายไว้ติดต่อกับโลกภายนอกคืออายะตนะภายนอกทั้ง ๖ ก็เช่นกัน

     เวทนาขันธ์ ส่วนเสวยอารมณ์ คือความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการผัสสะ ที่ย่อมรู้ในรสของสิ่งที่เสพเสวยเหมือนดั่งการกินอาหาร  ล้วนเป็นอนัตตา เกิดแต่เหตุปัจจัย-จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ตามหลักอิทัปปัขจจยตา  จึงไม่เป็นไปตามความปรารถนา หรือการบังคับบัญชาของเราหรือใครๆได้ (จึงยังคงเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง จึงต้องไม่ไปยึดมั่นด้วยตัณหา หรือทิฏฐิ - เวทนานุปัสสนา)

     สัญญาขันธ์  ส่วนความจำ คิดอ่านหมายรู้  ล้วนเป็นอนัตตา เกิดแต่เหตุปัจจัย-จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ตามหลักอิทัปปัขจจยตา  จึงไม่เป็นไปตามความปรารถนา หรือการบังคับบัญชาของเราหรือใครๆได้

     สังขารขันธ์  สิ่งปรุงแต่งของจิต หรืออารมณ์ต่างๆทางโลก หรืออาการต่างๆของจิต  ล้วนเป็นอนัตตา เกิดแต่เหตุปัจจัย-จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ตามหลักอิทัปปัขจจยตา  จึงไม่เป็นไปตามความปรารถนา หรือการบังคับบัญชาของเราหรือใครๆได้ (จึงยังคงเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเช่นนั้นเอง จึงต้องไม่ไปยึดมั่นด้วยตัณหา หรือทิฏฐิ - จิตตานุปัสสนา)

     วิญญาณขันธ์ ส่วนรู้แจ้งอารมณ์คือรู้ในสิ่งที่มากระทบกับอายตนะภายในนั้นๆ  ล้วนเป็นอนัตตา เกิดแต่เหตุปัจจัย-จึงเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น ตามหลักอิทัปปัขจจยตา  จึงไม่เป็นไปตามความปรารถนา หรือการบังคับบัญชาของเราหรือใครๆได้

         ด้วยเหตุดังนี้นี่เอง จึงต้องมีสติระลึกรู้เท่าทันว่าเกิดเวทนาหรือจิตอย่างไร อะไรเป็นเหตุปัจจัย  แล้วพึงเข้าใจดีอีกด้วยปัญญาว่า มันล้วนเป็นอนัตตา มันเป็นเช่นนี้เอง จึงไปบังคับบัญชาเขาไม่ได้ให้เป็นอย่างใจตนปรารถนา   แต่ถึงแม้มันเกิดขึ้นมาแล้ว เราทำได้โดยอาศัยธรรมของพระองค์ท่าน ด้วยปัญญาโดยการไม่ยึดมั่นถือมั่นด้วยตัณหาหรือทิฏฐิ  แล้วมันก็จะดับไปเองด้วยอำนาจของธรรมนิยามเช่นเดียวกัน คือขาดการเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดการเนื่องกันต่อไปนั่นเอง มันจึงต้องดับไปด้วยอำนาจทุกขังการคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้นั่นเอง  จึงเป็นสิ่งที่ถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด  ซึ่งบางทีบางท่านบางครูบาอาจารย์ท่านก็เรียกลักษณาการการปฏิบัติดังนี้ว่า การไม่เอา การไม่ยึดถือ การไม่เข้าไปพัวพัน การไม่เข้าไปปรุงแต่ง หรือการอุเบกขาสัมโพชฌงค์เสียนั่นเอง  ก็ล้วนแล้วแต่มีความหมายหรือนัยยะเดียวกันทั้งสิ้น ซึ่งก็คือหลักการปฏิบัติอันสำคัญยิ่งในสติปัฏฐาน ๔ ที่พระองค์ตรัสว่าเป็นทางสายเอกในการปฏิบัติเพื่อการดับกิเลส(เอกายนมรรค) คือ เวทนานุปัสสนา และจิตตานุปัสสนานั่นเอง  การแตกต่างกันนั้นก็เป็นเพียงแค่วิธีการจำแนกแตกธรรมต่างๆของผู้สอนนั่นเอง

  กลับหน้าเดิม

 

 หัวข้อต่อไป anired06_next.gif

 

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ

 

 

Google


ทั่วโลก  ค้นหาเฉพาะใน"ปฏิจจสมุปบาท"