|
|
เป็นสมุทัย เหตุแห่งทุกข์ |
||
เป็นอุปาทานขันธ์๕ อันเป็นทุกข์ |
||
สติเห็นกาย,เวทนา,จิตหรือธรรมเป็นเหตุ |
เป็นมรรค ปฏิบัติ |
|
ผลของสติเห็นกาย,เวทนา,จิต,ธรรม |
เป็นนิโรธ อันพ้นทุกข์ |
พนมพร คูภิรมย์
อริยสัจ ๔ ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ
กิจจญาณ กิจอันพึงควรกระทำด้วยปัญญายิ่งในอริยสัจทั้ง ๔
ทุกข์ |
๑. ทุกข์คือดังนี้ |
๒. ทุกข์นี้ควรกําหนดรู้ |
๓. ทุกข์นี้ได้กําหนดรู้แล้ว |
สมุทัย |
๔. สมุทัยคือดังนี้ |
๕. สมุทัยนี้ควรละ |
๖. สมุทัยนี้ได้ละแล้ว |
นิโรธ |
๗. นิโรธคือดังนี้ |
๘. นิโรธนี้ควรทําให้แจ้ง |
๙. นิโรธนี้ได้แจ้งแล้ว |
มรรค |
๑๐. มรรคคือดังนี้ |
๑๑. มรรคนี้ควรปฏิบัติ |
๑๒. มรรคนี้ได้ปฏิบัติแล้ว |
เหล่านี้คือ "กิจจญาณ" กิจอันพึงกระทํายิ่ง ๓ ประการ ในแต่ละอริยสัจ
จึงรวมเป็น ๑๒ ญาณทัสสนะ หรือ ๑๒ กิจอันพึงควรปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง
ความจริงอันประเสริฐ ๔ ประการ
อริยสัจ,
อริยสัจจ์ - อริยะ-ความประเสริฐ,
สัจ,สัจจ์-ความจริง, จึงหมายถึงความจริงอันประเสริฐ, ความจริงของพระอริยะ, ความจริงที่ทำคนให้เป็นพระอริยะ
มี ๔ อย่าง คือ
ทุกข์
(หรือ ทุกขสัจจะ)
สมุทัย
(หรือ สมุทัยสัจจะ)
นิโรธ
(หรือ นิโรธสัจจะ)
มรรค
(หรือ มัคคสัจจะ)
เรียกเต็มว่า
ทุกขอริยสัจจ์, ทุกขสมุทัยอริยสัจจ์, ทุกขนิโรธอริยสัจจ์, และทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจจ์
เป็นลำดับ
ทุกข์
ญานทัสสนะที่๑ (กิจอันควรรู้และปฏิบัติ ข้อที่๑) : ทุกข์คือสภาพหรือสภาวะที่เกิดขึ้นแล้วทนอยู่ด้วยได้ยาก,ลำบาก สภาพทุกข์นั้น เกิดขึ้นมาจากเหล่าทุกขเวทนาอันเป็นสภาวธรรมของชีวิตในการต้องรับรู้จากการผัสสะกับสิ่งต่างๆ(อายตนะภายนอก) และทุกข์จากอารมณ์ต่างๆทางโลกหรือสังขารขันธ์นั่นเอง และเกิดขึ้นมาจากเหล่าทุกขอริยสัจที่เมื่อเกิดขึ้นแล้ว ย่อมยังให้เกิดการผัสสะเกิดทั้งทุกขเวทนาและสังขารขันธ์ทุกข์ขึ้นด้วยนั่นเอง จึงล้วนเป็นทุกข์ธรรมชาติอย่างหนึ่งที่ต้องเกิด,ต้องมี,ต้องเป็นเป็นธรรมดา ทุกขอริยสัจจึงเป็นทุกข์ชนิดที่ต้องเกิดขึ้นอย่างจริงแท้เป็นที่สุดเป็นธรรมดาแก่ทุกรูปนาม ไม่ละเว้นอะไรๆแก่ใครๆทั้งสิ้น อันมี "ความเกิด๑ ความแก่๑ ความเจ็บ๑ ความตาย๑ ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ในสิ่งนั้น๑ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก๑ การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก๑ เหล่านี้เป็นทุกข์ โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์" เหล่านี้คือทุกขอริยสัจที่พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้เนืองๆเป็นอเนก ถ้าโยนิโสมนสิการจะเห็นได้ว่าความทุกข์ทั้ง ๗ นี้ อันมี
๑. ความเกิด ทุกข์อันมีมาแต่การเกิดเช่น การเกิดอันเป็นทุกข์ นอนคุดคู้อยู่ในครรภ์ถึง ๙ เดือน, สัญชาตญาณ(ญาณ-ความรู้ความเข้าใจที่มีมาแต่การเกิด)ต่างๆเช่นการรับรู้ในสัมผัส-รับรู้ความหิว, รับรู้ความเจ็บปวด ฯ ตลอดจนเมื่อมีความเกิดขึ้นมาแล้วจึงยังให้มีทุกข์และโทษที่เกิดแก่สังขารกายโดยธรรมหรือธรรมชาติ(อาทีนวะ) ทุกข์ที่ต้องดูแลรักษาเกิดตามมาอีกด้วย ถึงเวลาหิวกระหายก็ต้องขวยขวายหาให้กินให้ดื่ม ถึงเวลาก็ต้องให้เขาขับถ่าย ร่างกายก็ต้องดูแลชำระรักษา ฟันก็ต้องดูแลรักษาไม่ให้เหม็นเน่าผุพัง ฯลฯ. มีทั้งอาชีวทุกข์ที่ตามมา อีกทั้งทุกขอริยสัจทั้ง ๖ ที่เหลืออยู่ก็พึงต้องเกิดตามมาเป็นธรรมดาโดยธรรม(ธรรมชาติ) ท่านจึงกล่าวว่า ความเกิดก็เป็นทุกข์แล้ว อันพึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
๒. ความแก่ ความทุกข์อันเกิดแต่ความแก่ ความเฒ่า ความชรา ความถดถอย ความวิตกกังวลอันเกิดแต่ในความชรา อันพึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
๓. ความเจ็บ ความทุกข์อันเกิดแต่ความเจ็บป่วย เจ็บไข้ ความเจ็บปวดอันเกิดแต่การกระทบผัสสะต่างๆทางโลก ความวิตกกังวลวุ่นวายใจในความเจ็บป่วยไข้ไปต่างๆนาๆ อันพึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นทุกข์และโทษของสังขารกายที่เกิดขึ้นโดยธรรมหรือธรรมชาติ(อาทีนวะ)
๔. ความตาย ความทุกข์อันเกี่ยวกับความตาย ความกังวลในความตาย ความกลัวตาย ความวิตกกังวลในภพภูมิภายหลังความตาย อันพึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
๕. ความปรารถนาสิ่งใด ไม่ได้ในสิ่งนั้น ความทุกข์อันเกิดแต่ความไม่สมหวัง ความไม่ได้ตามปรารถนา แม้จะมีความสมหวังสมปรารถนาบ้างเป็นธรรมดา แต่ที่สุด ความไม่สมหวัง ความไม่ได้ตามปรารถนา ย่อมต้องเกิดขึ้น อันพึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เพราะทุกขังคือคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ อันนับได้ว่าเป็นทุกข์ที่พบพานมากเป็นที่สุดทีเดียว
๖. การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก ความทุกข์อันเกิดแต่การประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ สิ่งที่ไม่พึงปรารถนา อันย่อมเกิดขึ้นในการดำรงชีวิต แม้จะประสบกับสิ่งที่ชอบถูกใจบ้างเป็นธรรมดา แต่ที่สุด การประสบกับสิ่งที่ไม่ชอบ ไม่ถูกใจ สิ่งที่ไม่พึงต้องการ ย่อมต้องเกิดขึ้น เพราะทุกขัง อันพึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
๗. การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความทุกข์อันเกิดจากการพลัดพราก จากการเสื่อม แปรปรวน หรือการดับไป จึงเกิดการสูญเสียสิ่งต่างๆอันเป็นที่รักทั้งในบุคคล ตลอดจนวัตถุสิ่งของ อันเป็นที่รัก,ที่ชอบ,ที่หวงแหน เพราะทุกขัง อันพึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
อีกทั้งปฏิจจสมุปบาทท่านก็เพิ่ม โสกะ ปริเทวะ ทุกข์กาย โทมนัส และอุปายาส อันคืออาสวะกิเลสนั่นเอง เรียกว่าทุกขสัจจ์ หรือทุกข์ธรรมชาติ จึงมี ๑๑ เป็น ๑.การเกิด ๒.การแก่,เจ็บ ๓.ตาย ๔.พลัดพรากจากสื่งที่รักที่ชอบ ๕.ประสบสิ่งที่ไม่รักไม่ชอบ ๖.ปรารถนาในสิ่งใดไม่ได้ในสิ่งนั้น ๗.โสกะ ๘.ปริเทวะ ๙.ทุกข์กาย ๑๐.โทมนัส และ๑๑.อุปายาส และเนื่องจากเป็นทุกขสัจจ์จึงยังคงเกิดขึ้นและเป็นไปอย่างนี้เป็นธรรมดา แต่ต้องปฏิบัติอย่างไร จึงอย่าทำให้ทุกขสัจจ์เหล่านีัไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอุปาทาน เป็นอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ที่เร่าร้อนด้วยไฟของความยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสตน หรือความพึงพอใจของตัวตน
โยนิโสมนสิการโดยแยบคายจะพบว่า ทุกข์ทั้ง ๗ หรือทั้ง ๑๑ นี้แท้จริงแล้วครอบคลุมสรรพทุกข์ทุกอย่างประดามีในโลกนี้โดยบริบูรณ์ ครบถ้วนไม่บกพร่องแม้แต่น้อยหนึ่ง และไม่มีใครสามารถหลบหนีได้ตลอดไป แต่ทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงคือทั้งทุกขเวทนาจากทุกขอริยสัจทั้ง ๗ นี้เป็นเหตุปัจจัยอันเป็นจริงและสำคัญยิ่ง และไม่สามารถหลบหนีได้ก็จริงอยู่ เพราะเป็นทุกข์โดยธรรมหรือธรรมชาติ หรือจะเรียกว่าทุกข์ธรรมชาติก็ได้ จึงเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่ยังคงต้องเกิด ต้องมี ต้องเป็นเช่นนั้นเอง ดังเช่น กายกระทบโผฏฐัพพะอย่างแรงย่อมเกิดทุกขเวทนาเป็นธรรมดาโดยธรรมหรือธรรมชาติแก่ทุกรูปนาม และเช่นกันเมื่ออายตนะคือจิตกระทบกับธรรมารมณ์ชนิดเป็นทุกข์ย่อมก่อให้เกิดทุกขเวทนาเป็นธรรมดา อีกทั้งเกิดสังขารขันธ์ความทุกข์ใจตามมาได้อีกด้วย, ส่วนทุกขอริยสัจนั้นทุกชีวิตย่อมต้องประสบพบกับทุกข์ทั้ง ๗ นี้ทุกบุคคล เขา เราเช่นกัน เมื่อโยนิโสมนสิการโดยแยบคายก็จะพบกับความเป็นจริงดังที่กล่าวมาทุกประการว่าเป็นสภาวธรรมหรือสภาวะทุกข์โดยธรรมหรือธรรมชาติ อันย่อมไม่มีผู้หนึ่งผู้ใดหลีกหนีพ้น แม้แต่พระบรมศาสดาและพระอริยะทุกท่านทุกพระองค์ก็จริงอยู่ และท้ายสุดพระองค์ท่านได้กล่าวสรุปลงเป็นหนึ่งเดียวเท่านั้นที่ครอบคลุมความทุกข์ทั้งปวงว่า โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ อุปาทานขันธ์ ๕ ที่หมายความว่า ทุกข์ที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้จริง จึงไปยึดครองขันธ์ ๕ (รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์) ที่เกิดขึ้นจากบรรดาทุกข์ธรรมชาติทั้งหลาย(เกิด,แก่เจ็บ,ตาย ฯ.)นั้นว่า มีตัวมีตนเป็นแก่นแกนสาระจริงๆ และเป็นเราหรือของเราจริงๆ (ไม่ว่าจะเกิดอุปาทานไปยึดมั่นถือมั่นกับขันธ์ใดขันธ์หนึ่งที่เกิดขึ้นก็ตาม เช่นจาก รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เพราะย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เนื่องสัมพันธ์กันจนเป็นอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม), เพราะธรรมชาติเดิมๆแท้ๆของทุกข์ทั้ง ๗ แม้มันจะเป็นทุกข์จริงๆอย่างหนึ่งโดยธรรมชาติเอง แต่ไม่เผาลนเร่าร้อนดังไฟนรกที่เผาอยู่ในหัวจิตหัวใจอย่างยาวนาน ทุกข์ทั้ง ๗ เหล่านี้ยังต้องมีเหตุปัจจัยอื่นๆมาร่วมด้วยจึงจะยังให้เกิดอุปาทานทุกข์อันแสนเผาลนเร่าร้อนดังกล่าวขึ้นได้ และความทุกข์ที่พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนให้ดับไปนั้นก็คือ อุปาทานทุกข์ เหล่านี้นั่นเอง จึงไม่ใช่การปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ชนิดทุกขเวทนาหรือสังขารขันธ์ทุกข์อันเป็นทุกข์ธรรมขาติของชีวิตจากการกระทบ(ผัสสะ)ในสิ่งต่างๆของชีวิตแต่อย่างใด ส่วนอุปาทานทุกข์อันแสนเร่าร้อนเผาลนนั้น ก็จำต้องมีเหตุปัจจัยอื่นร่วมอีกด้วย จึงจะเกิดขึ้นได้ อันเป็นไปตามวงจรของการเกิดขึ้นแห่งทุกข์ปฏิจจสมุปบาท อันคือ ตัณหา, อุปาทาน.....นั่นเอง จึงยังผลให้เกิดอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ขึ้นได้ กล่าวคือ ความทุกข์ดังกล่าวที่เผาลนต้องประกอบด้วย ตัณหา ---> อุปาทาน จึงจะบังเกิดแก่จิตหรือใจจนเร่าร้อนเผาลน และอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์เหล่านี้สามารถดับหรือจางคลายลงไปได้ด้วยธรรมอันวิเศษของพระองค์ท่าน, จึงควรศึกษาพิจารณาขันธ์ ๕ โดยเฉพาะเวทนา และตัณหา,อุปาทาน ตลอดจนอุปาทานทุกข์อันเกิดขึ้นและเป็นไปในชรา ให้เข้าใจจากกระบวนธรรมในวงจรปฏิจจสมุปบาท มิฉนั้นจักสับสนระหว่างทุกขเวทนาอันเป็นธรรมขาติ กับเวทนูปาทานขันธ์(เวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน)อันเป็นอุปาทานทุกข์ในชรา เมื่อสับสนแล้วทําให้ไม่ก้าวหน้าในธรรม เพราะมัวแต่สาระวนวนเวียนเพียรพยายามดับขันธ์ ๕ บ้าง ดับทุกขเวทนาบ้าง หรือพยายามแม้ดับสังขารความคิดอันดีงามบ้าง หรือแม้แต่การปฏิบัติสมาธิอย่างเดียว อันย่อมให้ผลเสมือนหนึ่งการพยายามไล่จับเงาตนเอง ซึ่งย่อมไม่มีทางประสบผลสําเร็จ
กล่าวสรุปคือ ทุกข์มี ๒ ชนิด คือ ๑. ทุกข์ธรรมชาติหรือทุกขสัจจ์ ที่ยังคงต้องเกิดและมีเป็นธรรมดาของชีวิตตามเหตุปัจจัย, ๒.ส่วนอีกทุกข์หนึ่งนั้นที่เร่าร้อนและสามารถดับลงไปได้ด้วยธรรมของพระองค์ท่าน คือทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทาน หรือทุกข์อุปาทาน หรือขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วยอุปาทานนั่นเอง คือทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทานที่ไปปรุงจิตให้เห็นเป็นไปตามกิเลสตน
ญานทัสสนะที่๒ : ทุกข์นี้ควรกําหนดรู้ รู้เท่าทัน และรู้ชัดตามความเป็นจริง, รู้แจ้ง เห็นจริง, ปริญญา-การกำหนดรู้ เป็นกิจในทุกข์ ตามหลักว่า ทุกฺขํ อริยสจฺจํ ปริญฺเญยฺยํ ทุกข์ควรกำหนดรู้ คือ ควรศึกษาให้รู้จักให้เข้าใจชัดตามสภาพที่เป็นจริง ได้แก่ การทำความเข้าใจและกำหนดขอบเขตของปัญหา กล่าวโดยย่อคือ ทั้งรู้เข้าใจ(อุปาทานทุกข์) และรู้เท่าทัน และรู้แจ้งเห็นจริง
พอที่จะแยกออกได้เป็น ๒ ว่า
๑.ทุกขอริยสัจที่ดับไม่ได้ อันมี"ความเกิด๑ แก่๑ เจ็บ๑ ตาย๑ ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น๑ การประจวบกับสิ่งอันไม่เป็นที่รัก๑ การพลัดพรากจากสิ่งที่เป็นที่รัก๑" อันล้วนเมื่อเกิดหรือประสบเข้าแล้ว ย่อมยังให้เกิดทุกข์ธรรมชาติขึ้นจากการผัสสะขึ้นเป็นธรรมดาอีกด้วย กล่าวคือทุกขเวทนาที่เป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติของชีวิต อีกทั้งสังขารขันธ์ทุกข์ต่างๆที่เกิดขึ้นตามมา(เช่น โทสะ โมหะ โลภะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯ.) กล่าวคือ เป็นทุกข์โดยธรรมชาติ ที่แม้เป็นทุกข์อย่างหนึ่งก็จริงอยู่และหลีกหนีไม่ได้ แต่สภาวะเดิมๆของทุกข์เหล่านี้ ไม่เร่าร้อนไม่เผาลน เหล่านี้คือทุกข์อริยสัจชนิดที่เป็นทุกข์ประจำชีวิตที่ยังคงต้องเกิด,ต้องมี,ต้องเป็นเช่นนั้น เป็นกระแสสภาวธรรม จึงควรกำหนดรู้ และทำความเข้าใจอย่างถูกต้อง
สิ่งต่างๆเหล่านี้หรือทุกขอริยสัจ ซึ่งย่อมล้วนยังให้เกิดทุกข์ธรรมชาติอีกอย่างหนึ่งขึ้นร่วมด้วย กล่าวคือเวทนาหรือทุกขเวทนานั่นเอง อันเป็นทุกข์ที่บังเกิดขึ้นโดยธรรมหรือธรรมชาติของชีวิต จึงยังคงต้องเกิดต้องมีต้องเป็นโดยธรรมชาติ อันเกิดแต่การที่เกิดทุกขอริยสัจดังกล่าวขึ้นมาจึงเกิดการผัสสะหรือกระทบสัมผัสที่ย่อมยังให้เกิดเวทนาเป็นสุข,เป็นทุกข์หรือเฉย อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นเป็นธรรมดา แต่สามารถปฏิบัติทำให้ปราศจากกิเลสมาร้อยรัดได้ จนขาดการเผาลนเร่าร้อน เป็นเพียงแต่ทุกขเวทนาตามธรรมหรือธรรมชาติเท่านั้น
๒.ทุกข์ ชนิดที่ดับได้คือ โดยย่ออุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ นี้คือความทุกข์ที่เกิดจากทุกขอริยสัจดังข้างต้นเช่นกัน แต่มีกิเลส,ตัณหา,อุปาทาน อันยังให้เกิดอุปาทานทุกข์ที่เร่าร้อนเผาลนที่ควรดับให้สนิท จึงควรกําหนดรู้ และเข้าใจ นี่แหละคือทุกข์ ชนิดอุปาทานทุกข์ที่พระพุทธองค์ทรงเพียรพยายามสั่งสอนให้ดับสนิทไม่เหลือ ที่ทุกขเวทนาที่เกิดขึ้นล้วนเป็นเวทนูปาทาน และสังขารขันธ์ทุกข์ต่างๆล้วนแปรเป็นสังขารูปาทานขันธ์ อันล้วนเร่าร้อนเผาลน
ทั้ง ๒ เป็นทุกข์ ที่ควรกำหนดรู้ คือทั้ง รู้เท่าทัน และ รู้แจ้งอย่างเข้าใจ
"ภิกษุทั้งหลาย. ในกาลก่อนก็ตาม ในบัดนี้ก็ตาม เราบัญญัติขึ้นสอนแต่เรื่องความทุกข์และความดับสนิทไม่เหลือของทุกข์ เท่านั้น"
โยนิโสมนสิการให้เข้าใจและยอมรับในสภาวธรรม(ธรรมชาติ) ว่า"เหตุแห่งทุกข์นั้นยังคงมีอยู่ แต่ไม่มีผู้รับผลทุกข์นั้น" หรือเหตุแห่งทุกข์อันเป็นสภาวะธรรมชาติเช่นกันนั้นก็ยังคงมีอยู่ไม่มีผู้ใดไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้อย่างจริงๆโดยเด็ดขาด แต่เมื่อเหตุแห่งทุกข์นี้ที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงหลบพ้นได้มากระทบกับเราแล้วไม่สามารถทําอะไรใจเราได้ อันคือไม่เป็นอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนเผาลนกระวนกระวายที่เกิดแก่ใจนั่นเอง ท่านจึงกล่าวไว้ว่าเราปฏิบัติเพื่อให้เกิดสภาวะ "ไม่มีผู้รับผลทุกข์นั้น" หรือ "เหนือกรรม"
โยนิโสมนสิการแยกแยะ อุปาทานทุกข์หรืออุปาทานขันธ์ ๕ ให้ออกจากเวทนา(ทุกขเวทนา หรือทุกข์เทียม หรือทุกข์ธรรมชาติ แม้เป็นทุกข์ชนิดหนึ่งก็จริงอยู่ แต่ก็ไม่ใช่ทุกข์จริงๆ เป็นแค่กระบวนธรรมของทุกชีวิตในการรับรู้ความรู้สึกต่างๆอันเกิดแต่การกระทบสัมผัสกับเหล่าอายตนะภายนอก อันเป็นไปโดยธรรมหรือธรรมชาติที่ย่อมเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบหรือผัสสะ แต่เพราะอวิชชาความไม่รู้จึงกลายไปเป็นทุกข์จริงๆคือทุกข์อุปาทานได้) เมื่อแยกแยะได้ชัดเจนจะเป็นปัจจัยให้เข้าใจในทุกข์ได้อย่างลึกซึ้งถูกต้อง กล่าวคือทุกขเวทนาเป็นทุกข์ธรรมขาติที่เกิดแก่ทุกรูปทุกนาม ไม่สามารถหลีกหนีได้, ส่วนอุปาทานทุกข์นั้นยังให้เกิดเวทนูปาทาน คือเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทาน จึงเป็นเวทนาความรู้สึกที่เร่าร้อนเผาลนไม่ว่าจะเป็นสุขเวทนาหรือทุกขเวทนาก็ตามที ด้วยไฟของกิเลสอันคือ เหล่าราคะ โทสะ โมหะ ฯ.
ญานทัสสนะที่๓ : ทุกข์นี้ได้กําหนดรู้แล้วหรือ? ระลึกรู้เท่าทัน และได้ปฏิบัติพิจารณาจนเข้าใจหรือยังว่าความทุกข์ที่ปุถุชนทั้งหลายประสบกันอยู่ทุกขณะนั้นคือทุกข์อุปาทานอันเกิดแต่ "อุปาทานขันธ์ ๕"หรือขันธ์๕ที่มีความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจหรือสุขของตัวตนเองเป็นหลักสําคัญ หรือก็คือ ขันธ์ ๕ ที่เกิดในชาติ, ชรา-มรณะ อันมีอุปาทานความพึงพอใจหรือความเป็นตัวของกู ของของกู ร่วมด้วยแล้วนั่นเอง (ตามหลักปฏิจจสมุปบาท) นอกจากต้องรู้ว่าทุกข์ทั้งมวลคือทุกข์อุปาทานขันธ์๕แล้ว ยังต้องมีสติรู้เท่าทันทุกข์อุปาทานต่างๆที่เกิดขึ้นด้วย สรุปรวมเป็น๒คือ
๑.รู้เข้าใจอุปาทานทุกข์อันบังเกิดแก่ใจ หรือเวทนูปาทานขันธ์ที่เกิดขึ้นนั่นเอง คือความทุกข์ที่เราต้องปฏิบัติเพื่อการดับไป
๒.รู้เท่าทันอุปาทานทุกข์ที่เกิด
หรือดังมีคําที่ชอบกล่าวกันอยู่เสมอๆ "เห็นทุกข์ จึงเห็นธรรม" อันมิได้หมายถึงต้องมีความทุกข์เกิดขึ้นแล้วจึงจะเห็นธรรมเท่านั้น คือมาตั้งใจปฏิบัติธรรมแต่เพียงอย่างเดียว, ดังนั้นหลายๆท่านเพราะยังไม่มีทุกข์(แต่จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป?)จึงยังไม่ปฏิบัติธรรม, แต่ยังหมายถึงรู้เข้าใจว่าทุกข์นั้นคือทุกข์อุปาทาน อันบังเกิดขึ้นแก่จิต จึงจักเข้าใจในธรรมได้ และต้องมีสติรู้เท่าทันทุกข์อุปาทานที่เกิดแก่ใจนั้นด้วย
สมุทัย
ญานทัสสนะที่๔ : สมุทัยนี้ คือ เหตุปัจจัยที่ทำให้เกิดแห่งทุกข์ คือ ตัณหา ซึ่งมีความหมายครอบคลุมถึงความปรารถนาในอกุศลสังขารขันธ์หรืออารมณ์อกุศลต่างๆด้วย เช่น โทสะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่านคือคิดนึกปรุงแต่ง ฯ. ที่ล้วนทําให้เกิดภพใหม่ ชาติใหม่ อันคือ ความอยาก, ความติดเพลิน(นันทิ), ความติดใจอยาก, ความติดใจชอบ,ความยินดียินร้าย ฯ. หรือการติดใจในรสอร่อยของโลก อันคือเหล่าอกุศลสังขารขันธ์หรืออารมณ์อกุศลทั้งหลาย อีกทั้งตัณหา ๓ อันมี กามตัณหา (ความอยากหรือไม่อยากใน รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส), ภวตัณหา(ความอยากทางจิต) , วิภวตัณหา (ความไม่อยากทางจิต, ความอยากดับสูญ, หรือความอยากในความไม่อยากให้เกิด,ให้มี,ให้เป็น) อันเป็นมูลเหตุปัจจัยโดยตรงให้เกิดอุปาทาน(ที่ไปปรุงจิตให้เป็นไปตามกิเลสของตัวตน) อันยังให้เกิดอุปาทานขันธ์๕ อันเป็นอุปาทานทุกข์อันเร่าร้อนเผาลนในองค์ธรรมชรา
ญานทัสสนะที่๕ : สมุทัยนี้ควร ละ ปหานะ-การละ เป็นกิจในสมุทัย ตามหลักที่ว่า ทุกฺขสมุทโย อริยสจฺจํ ปหาตพฺพํ สมุทัยควรละ คือ กำจัด ทำให้หมดสิ้นไป ได้แก่การแก้ไขกำจัดต้นตอของปัญหาละเหตุแห่งทุกข์ อันคือตัณหา๓นั่นเอง โดยการนําออกและละเสียซึ่งตัณหา โดยการปฏิบัติ และโดยปัญญา ดังเช่นเข้าใจในปฏิจจสมุปบาทแล้วว่าตัณหาเกิดแต่เหตุปัจจัยใด เราก็ปฏิบัติตามความเข้าใจนั้น
น่าสังเกตุ วิภวตัณหาความไม่อยาก ไม่อยากให้มีทุกข์ ไม่อยากให้เกิด ไม่อยากให้มี ไม่อยากให้เป็น ทําให้เกิดการผลักไส ต่อต้าน เป็นตัณหาตัวสําคัญที่ผู้ปฏิบัติมักจะลืม หรือนึกไม่ถึง เพราะคิดว่าไม่เป็นตัณหา บางท่านนึกว่าเป็นสิ่งที่ดีเสียอีก ตลอดจนภวตัณหา(ความอยาก)ในการปฏิบัติธรรมจนเกินพอดีก็เป็นสิ่งที่ผิด
ถ้าพูดอย่างง่ายๆให้ครอบคลุมความหมาย "สมุทัยนี้ควรละ" โดยปริยายคือลดละความอยาก และ ไม่อยาก อันเป็นเหตุ ให้ไวที่สุดทันทีที่สติรู้เท่าทันนั่นเอง อย่าปล่อยอ้อยอิ่งอย่างเด็ดขาด เพราะตัณหามักแฝงมากับความคิดนึกปรุงแต่งอันมักไม่รู้ตัวในตอนแรกๆ อันเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา..อันเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา ตามหลักธรรมปฏิจจสมุปบาท, อย่าปล่อยให้จิตมีโอกาสหลอกล่อปรุงแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไปอันต้องเกิดเวทนา..จึงเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหามีโอกาสแทรกเข้ามา อย่าใส่ใจ อย่าวิพากษ์วิจารณ์ พอรู้แค่เวทนาหรือการรับรู้อารมณ์(อันคือ รูป เสียง กลิ่น ฯ.)ที่กระทบแล้วแล้วให้หยุดเพียงเท่านี้เอง
การละมักมีผู้เข้าใจผิดอยู่เสมอๆ ขอให้จําให้แม่นว่า "ละเหตุ" ไม่ใช่พยายามไปละผลคือความทุกข์หรือละทุกขเวทนาที่เกิด, เรื่องที่เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นนั้นเป็นผลแล้ว ไม่ใช่เหตุ การพยายามดับเรื่องที่ทุกข์ที่ผลจักเป็นการกดข่ม ต้องดับที่เหตุอันคือตัณหา หรือดับที่เหตุที่ทำให้เกิดตัณหา อันคือเวทนา(ดับ ที่หมายถึง ยังคงเกิดขึ้นและเป็นไปอยู่ แต่เพราะปัญญาที่รู้และเข้าใจแจ่มแจ้ง จึงไม่เกิดผลให้เป็นทุกข์ ไม่ใช่การดับเวทนาลงไปจริงๆ ที่หมายถึงดับสูญลงไปอันมีบางท่านพยายามด้วยอวิชชาความไม่รู้ จึงปฏิบัติอยู่ อันเป็นไปไม่ได้โดยเด็ดขาดไม่ว่าจักปฏิบัติกี่ภพกี่ชาติก็ตามที), จึงไม่ใช่การดับที่ผลอันคือเรื่องที่เป็นทุกข์อันเป็นสิ่งที่ควรรู้เท่านั้น ดังอริยสัจข้อทุกข์อันมีกิจอันควรกระทําคือ "กำหนดรู้ อันครอบคลุมถึงความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งด้วย" เท่านั้น, และดังคํากล่าวที่ว่า"ทุกข์ใดเกิดแต่เหตุ เมื่อเหตุดับทุกข์นั้นก็ดับ"
อริยสัจ อันแสดงว่าสมุทัยคือเหตุแห่งทุกข์คือตัณหา และจากหลักปฏิจจสมุปบาทก็แสดงให้เห็นเช่นเดียวกันว่าตัณหาที่ครอบคลุมอกุศลสังขารขันธ์ต่างๆ เช่น โทสะ โมหะ หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯ.)เป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน อันยังให้เกิดทุกข์อุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ จึงเหมือนกันในแก่นความของแก่นธรรมทั้งสอง
ญานทัสสนะที่๖ : สมุทัยนี้ควร ละ สมุทัยนี้ละได้บางส่วนแล้วหรือ?
นิโรธ
ญานทัสสนะที่๗ : นิโรธคือ ผลของการดับทุกข์ ภาวะหมดปัญหา ผลของการดับกิเลส, ตัณหา และอุปาทาน(อันล้วนเนื่องสัมพันธ์กันตามวงจรแห่งจิต)ทําให้เกิดความสุขสงบ บริสุทธิ์ ผ่องใส เบิกบาน เบากาย เบาใจ เนื่องจากขาดไฟของกิเลส ตัณหา อุปาทาน อันเผาลนให้ร้อนลุ่มนั่นเอง
ญานทัสสนะที่๘ : นิโรธนี้ ควรทําให้แจ้ง สัจฉิกิริยา-การทำให้แจ้ง เป็นกิจในนิโรธ ตามหลักว่า ทุกฺขนิโรโธ อริยสจฺจํ สจฺฉิกาตพฺพํ นิโรธควรทำให้แจ้ง คือ เข้าถึง หรือบรรลุ ได้แก่การเข้าถึงสภาวะที่ปราศจากปัญหา บรรลุจุดหมายที่ต้องการ ควรทําให้แจ้งประจักษ์แก่ตนเอง เป็นภาวะที่เกิดจากการปฏิบัติที่ถูกต้อง จึงทำให้ผู้ปฏิบัติไม่เผาลนเร่าร้อนด้วยอำนาจของกิเลสตัณหาอุปาทานจึงเป็นการถูกต้อง เกิดตทังคนิพพาน อันมักเข้าใจผิดไปยึดเอาสภาวะของฌานสมาธิหรือองค์ฌานต่างๆที่เกิดขึ้น อันมีภาวะอิ่มเอิบ อิ่มเย็น เป็นสุข เป็นสงบ ว่าเป็นสภาวะของนิโรธ แต่ความจริงแล้วกลับไม่ใช่ จึงเป็นสภาวะที่ไม่ใช่ด้วยการคิดหรือฟังแต่เพียงอย่างเดียว เพราะมักเป็นสภาวะปรุงแต่งตามที่เขากล่าวว่าหรือตามความเข้าใจของเราอย่างผิดๆเท่านั้น อย่างน้อยให้สัมผัสได้หรือเข้าใจในสุขทางธรรมหรือนิโรธนี้อย่างถูกต้องบางส่วนก่อน เพราะนิโรธนั้นแตกต่างจากสุขทางโลกอย่างสิ้นเชิง สุขทางโลกนั้นต้องมีภาวะก่อทุกข์ขึ้นมาก่อน คือสร้างตัณหาหรือความอยากขึ้นมาก่อน ถ้าสามารถสนองตัณหานั้นได้ก็เรียกว่าดับทุกข์นั้นได้แล้วจึงเรียกกันโดยภาษาโลกสมมุติว่าความสุข, เมื่อเข้าใจจะได้เป็นขวัญกําลังใจให้ปฏิบัติด้วยความมั่นใจในการปฏิบัติต่อๆไปจนเป็นนิโรธในที่สุด และเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดวิปัสสนูปกิเลส มีความเข้าใจผิดๆในนิโรธ เช่น การไปเข้าใจหรือยึดเอาภาวะของรูปฌาน หรืออรูปฌาน หรือสมาธิอันสุขสบายก็จริงอยู่แต่ก็ไม่เที่ยงว่าเป็นภาวะของนิโรธหรือสภาวะพ้นทุกข์แล้ว เป็นต้น
ญานทัสสนะที่๙ : นิโรธนี้ทำได้แจ้งถูกต้องแล้วหรือ นิโรธนี้ได้แจ้งแล้วบางส่วนถูกต้องแล้วหรือไม่? ใช่สภาวะณานหรืออรูปณานอันเป็นสุขไม่เที่ยงหรือเปล่า?
ญานทัสสนะที่๑๐ : มรรค คือ ทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ หรือทางปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ หรือดับกิเลส,ตัณหา,อุปาทาน อันยังให้เกิดอุปาทานทุกข์
ญานทัสสนะที่๑๑ : มรรคนี้ ควรเจริญ หรือควรปฏิบัติ ภาวนา-การเจริญ เป็นกิจในมรรค ตามหลักที่ว่า ทุกฺขนิโรธคามินี ปฏิปทา อริยสจฺจํ ภาเวตพฺพํ มรรคควรเจริญ คือ ควรฝึกอบรม ลงมือปฏิบัติ กระทำตามวิธีการที่จะนำไปสู่จุดหมาย ได้แก่การลงมือแก้ไขปัญหา โดยข้อปฏิบัติเพื่อให้ถึงการดับทุกข์ คือ มรรค ๘ ที่เป็นมัชฌิมาปฏิปทา(ทางสายกลาง) หรือ สัมโพชฌงค์ ๗ (ธรรมที่เป็นองค์แห่งการตรัสรู้ อันมี ๗) มรรคแบ่งคร่าวๆเป็น
๑. ขั้นศีล(เพื่อความสงบกายใจ)เพื่อเป็นบาทฐานให้เกิดขั้นสมาธิ เพื่อยังความแน่วแน่, จิตใจไม่ซัดส่าย ไม่วอกแวก มีสติ เป็นกําลังของจิตในการปฏิบัติวิปัสสนาให้เกิดความเข้าใจในธรรม
๒. ขั้นสมาธิ เพื่อเป็นบาทฐานให้เกิดขั้นปัญญา รู้เห็นตามความเป็นจริงในการดับทุกข์ (ปฏิบัติสมาธิเพื่อเป็นกําลังเป็นฐานในการก้าวหรือปฏิบัติต่อไปเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิบัติแต่สมาธิแล้วจะก้าวขึ้นไปเองเป็นขั้นปัญญา อันเป็นการเข้าใจผิดๆ)
๓. ขั้นปัญญา อันเป็นบาทฐานให้เกิดผลคือ วิมุตติ(สุขจากการหลุดพ้น)
หรือแยกเป็น มรรค ๘ ทางปฏิบัติให้พ้นทุกข์ อันมีดั่งนี้
๑.สัมมาทิฏฐิ (เห็นชอบ) มีความเห็นหรือความเชื่อที่ถูกต้อง:- ความรู้ในทุกข์ ความรู้ในเหตุให้เกิดทุกข์ ความรู้ในความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ ความรู้ในหนทางเป็นเครื่องให้ถึงความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ อันใด, นี้เราเรียกว่า ความเห็นชอบ ความเข้าใจชอบ, ชอบ ที่หมายถึง ชอบธรรม หรือโดยถูกต้อง, โดยถูกต้องตามความเป็นจริง, เห็นชอบหรือรู้ชอบ จึงหมายถึง ปัญญาที่เข้าใจถูกต้องตามที่เป็นจริง เห็นทุกข์ มีความเห็นที่จะออกจากทุกข์, มีความเห็นชอบถูกต้องเกี่ยวกับทุกข์, ความเชื่อหรือเห็นชอบในการปฏิบัติให้พ้นทุกข์อย่างถูกต้อง เห็น(เข้าใจ)ใน"อริยสัจ" อันมี ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ว่าเป็นทางดับทุกข์, เห็น(เข้าใจ)ปฏิจจสมุปบาทซึ่งเป็นกระบวนการเกิดขึ้นและดับไปแห่งทุกข์, เห็น(เข้าใจ)พระไตรลักษณ์ - อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา กล่าวคือ ปัญญาอันเห็นชอบ คือ เห็นอริยสัจจ์ ๔, เห็นชอบตามคลองธรรมว่า ทำดีมีผลดี ทำชั่วมีผลชั่ว มารดาบิดามี (คือมีคุณความดีควรแก่ฐานะหนึ่งที่เรียกว่ามารดาบิดา) ฯลฯ, เห็นถูกต้องตามที่เป็นจริงว่า ขันธ์ ๕ ไม่เที่ยงเป็นต้น (ขั้นปัญญา)
๒.สัมมาสังกัปปะ (ดำริชอบ - คิดชอบ) ดำริในการออกจากกาม ความดำริในการไม่พยาบาท ความดำริในการไม่เบียดเบียน, นี้เราเรียกว่า ความดําริชอบ คิด ค้นคว้า ศึกษาหาทาง ดําริตริตรอง กล่าวคือ ดำริหรือคิดตริตรองเพื่อออกจากกาม ไม่พยาบาท ไม่เบียดเบียน คิดหาทางให้พ้นไปจากทุกข์ เช่น คิด อ่าน ศึกษา ธรรมวิจยะ-การเฟ้นเลือกธรรมที่ถูกต้อง การวิจัยพิจารณาในธรรมคําสั่งสอน, ค้นคว้าธรรม, สนทนาธรรม (ขั้นปัญญา)
๓.สัมมาวาจา (วาจาชอบ) การเว้นจากการ พูดเท็จ การเว้นจากการพูดยุยงให้แตกกัน การเว้นจากการพูดหยาบ การเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ, นี้เรียกว่า วาจาชอบ, เมื่อไม่ประพฤติผิดทางวาจา ทําให้ใจกายสบาย ไม่มีศตรู ใจกายก็ผ่องใสโดยปริยาย อันเป็นบาทฐานในการปฏิบัติขั้นสมาธิในที่สุด (ขั้นศีล)
๔.สัมมากัมมันตะ (ทําการชอบ - การงานชอบ) การเว้นจาก การฆ่าสัตว์ การเว้นจากการ ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ได้ให้ การเว้นจากการประพฤติผิดในกามทั้งหลาย ๑ นี้เราเรียกว่า การงานชอบ หรือกระทำชอบ, ไม่ประพฤติผิดทางกายกรรม ทําให้ใจกายสบาย ไม่มีศตรู ใจและกายผ่องใส อันเป็นบาทฐานในการปฏิบัติขั้นสมาธิในที่สุด (ขั้นศีล)
๕.สัมมาอาชีวะ (เลี้ยงชีพชอบ) อริยสาวก ในศาสนานี้ ละมิจฉาชีพ เสีย สำเร็จความเป็นอยู่ด้วยสัมมาชีพ, นี้เราเรียกว่า อาชีวะชอบ, เมื่อไม่ประกอบอาชีพทุจริต ทําให้ใจกายสบายไม่ต้องคอยหลบๆซ่อนๆ ทั้งจากศตรูคู่อริและบ้านเมือง ใจกายก็ผ่องใส อันเป็นบาทฐานให้ขั้นสมาธินั่นเอง (ขั้นศีล)
๖.สัมมาวายามะ (เพียรชอบ) ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิตย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความไม่บังเกิดขึ้นแห่งอกุศลธรรม อันลามกที่ยังไม่ได้บังเกิด; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการละเสียซึ่งอกุศลธรรม อันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อการบังเกิดขึ้นแห่งกุศลธรรม ที่ยังไม่ได้บังเกิดขึ้น; ย่อมปลูกความพอใจ ย่อมพยายาม ย่อมปรารภความเพียร ย่อมประคองจิต ย่อมตั้งจิตไว้ เพื่อความยั่งยืน ความไม่เลอะเลือน ความงอกงามยิ่งขึ้น ความไพบูลย์ ความเจริญ ความเต็มรอบ แห่งกุศลธรรม ที่บังเกิดขึ้นแล้ว นี้เราเรียกว่าความเพียรชอบ, มีความเพียรในการปฏิบัติ แก้ไขข้อผิดพลาด และขอเน้นโดยเฉพาะการเพียรยกจิตไม่ให้ตกตํ่า หดหู่อันได้ทรงตรัสไว้ในมหาสติปัฏฐาน๔ (ขั้นสมาธิ)
๗.สัมมาสติ (ระลึกชอบ) เป็นผู้มีปรกติพิจารณา เห็นกายในกาย อยู่. มีความเพียรเผาบาป มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; เป็นผู้มีปรกติพิจารณา เห็นเวทนาในเวทนา อยู่ มีความเพียรเผาบาป มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; เป็นผู้มีปรกติพิจารณา เห็นจิตในจิต อยู่. มีความเพียรเผาบาป มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; เป็นผู้มีปรกติพิจารณา เห็นธรรมในธรรม อยู่ มีความเพียรเผาบาป มีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม มีสติ นำความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ; นี้เราเรียกว่า สัมมาสติ, มีสติรู้เท่าทันและเข้าใจทุกข์อุปาทานที่เกิด, ระลึกถึงการดับทุกข์ อันคือสติรู้เท่าทันเวทนา(เวทนานุปัสสนา) และความคิด(จิตตานุปัสสนา)อยู่เนืองๆ หรือใช้สติปัฏฐาน๔เป็นการฝึกโดยตรง อันคือมีสติรู้ในกาย เวทนา จิต และธรรมว่า กายนั้นก็ไม่เที่ยง, มีสติรู้ในเวทนาและจิตสังขาร คือรู้เท่าทันในเวทนาและความคิด, ตลอดจนระลึกรู้พิจารณาในธรรม อันเป็นธรรมวิจยะในสัมโพชฌงค์ ด้วยการพิจารณาธรรมโดยการโยนิโสมนสิการ เพื่อเป็นเครื่องรู้เครื่องระลึก เครื่องเตือนสติ ซึ่งเป็นองค์สําคัญในการตรัสรู้ (ขั้นสมาธิ)
๘.สัมมาสมาธิ (ตั้งจิตมั่นชอบ) ยังเป็นเพียงสมาธิภาวนาประเภทเพื่อความอยู่สุขสบายในปัจจุบัน ตามวินัยหรือตามอัตตภาพ ยังพึงต้องนำสมาธิในขั้นนี้ ที่มีจิตที่สงบ มีกำลัง ไม่ซัดส่าย ไม่ฟุ้งซ่าน นำไปใช้ในการปฏิบัติวิปัสสนาหรือการเจริญปัญญาให้เกิดสัมมาญาณนั่นเอง จึงจักถูกต้องบริบูรณ์ กล่าวคือ ปฏิบัติในมรรคทั้ง ๘ เพื่อให้เป็นปัจจัยเกื้อหนุนกันจนเกิดมรรคสมังคี จึงเป็นปัจจัยให้เกิดมรรคองค์ที่ ๙ อันเป็นการปฏิบัติในขั้นสัมมาญาณ(ขั้นปัญญาที่ใช้ในการดับทุกข์) จึงเป็นปัจจัยให้เกิดมรรคองค์ที่ ๑๐ หรือสัมมาวิมุตติ หรือสุขจากการหลุดพ้นขึ้นได้ จึงเป็นที่สุดของการปฏิบัติ มรรคองค์ที่ ๘ หรือสมาธิจึงต้องดำเนินการปฏิบัติต่อไป ไม่ใช่ติดอยู่ในสมาธิชนิดนั่งสงบ, นั่งแข็งทื่อ, นั่งกดจิตให้นิ่งสนิท ขาดการพิจารณาในธรรม(วิปัสสนา)ที่เรียกว่าสมาธิหัวตอ หรือไปติดเพลินแช่นิ่งอยู่ในความสงบอุเบกขาของสมาธิ หรือสมาธิที่ติดจมแช่อยู่แต่ใน ปีติ สุข ที่เรียกว่าติดปีติ, ติดสุข ถ้าเยี่ยงนั้นจัดเป็นวิปัสสนูปกิเลสทั้งสิ้น ซึ่งไม่อาจยังให้เกิดมรรคองค์ที่ ๙ หรือสัมมาญาณได้ จึงย่อมไม่อาจเกิดสัมมาวิมุตติขึ้นได้เลย
เราจําเป็นต้องปฏิบัติมรรคมีองค์ ๘ นี้ ก็เพื่อยังให้เกิดภาวะที่ถูกต้องคือมรรคมีองค์ ๑๐ ของเหล่าพระอริยเจ้า
แสดงขั้นตอนสัมพันธ์การทํางานของมรรค ๘ อันจักก่อให้เกิดสัมมาญาณและสัมมาวิมุตติ อันเป็นมรรคองค์ที่ ๙ และ ๑๐ ที่เกิดแก่พระอริยะเจ้าเท่านั้น
อันเป็นการดำเนินไปตามหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง จึงดำเนินไปเป็นเหตุเป็นผลกันดังนี้
ปัญญา(อันมี สัมมาทิฏฐิ,สัมมาดําริ) อันมีสัมมาทิฏฐิ-ความเห็นชอบเป็นตัวนํา เป็นปัจจัยทําให้เกิดศีล,
ศีล(อันมี สัมมาวาจา,สัมมากัมมันตะ,สัมมาอาชีวะ)เป็นปัจจัยทําให้เกิดสมาธิ,
สมาธิ(อันมี สัมมาวายามะ,สัมมาสติ,สัมมาสมาธิ)เป็นปัจจัยทําให้เกิดสัมมาญาณ(สัมมาปัญญา),
สัมมาญาณเป็นปัจจัยทําให้เกิดสัมมาวิมุตติ(สุขจากการหลุดพ้น)
จากมรรค มีองค์ ๘ เป็นมรรคมีองค์ ๑๐ ของเหล่าพระอรหันต์เจ้า
ดังมีพุทธพจน์ที่ตรัสไว้เกี่ยวกับสัมมาทิฏฐิ และมรรคองค์ ๑๐ หรือสัมมัตตะ ๑๐ ไว้ดังนี้
"ภิกษุทั้งหลาย บรรดาองค์มรรคเหล่านั้น
สัมมาทิฎฐิเป็นตัวนํา, สัมมาทิฎฐิ เป็นตัวนําอย่างไร ?
ด้วยสัมมาทิฎฐิ จึงรู้จัก มิจฉาทิฎฐิ ว่าเป็น มิจฉาทิฎฐิ, รู้จักสัมมาทิฎฐิ ว่าเป็น สัมมาทิฎฐิ,
รู้จักมิจฉาสังกัปปะ ว่าเป็น มิจฉาสังกัปปะ, รู้จัก สัมมาสังกัปปะ ว่าเป็น สัมมาสังกัปปะ,
รู้จักมิจฉาวาจา ว่าเป็น มิจฉาวาจา, รู้จักสัมมาวาจา ว่าเป็น สัมมาวาจา,
รู้จัก................................................ฯลฯ"
(สํ. ม. ๑๙/๑๗๒๐/๕๕๒)
"ภิกษุทั้งหลาย สัมมาทิฎฐิเป็นหัวหน้าอย่างไร?
เมื่อมีสัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะจึงพอเหมาะได้ (จึงพอเหมาะได้=ใช้งานได้ดี),
เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจาจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณจึงพอเหมาะได้,
เมื่อมีสัมมาญาณ สัมมาวิมุตติจึงพอเหมาะได้
โดยนัยดังนี้แล พระเสขะ(อริยะผู้ยังไม่บรรลุอรหันต์)ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘
จึงกลายเป็นพระอรหันต์ผู้ประกอบด้วยองค์ ๑๐"
(พระไตรปิฏก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๑๔ ข้อที่ ๒๗๙)
อันแสดงอย่างย่อๆได้ดังนี้
ปัญญา
ศีล
สมาธิ
สัมมาญาณ(สัมมาปัญญา)มรรคองค์ที่
๙
สัมมาวิมุตติ หรือมรรคองค์ที่ ๑๐
เมื่อมรรคทั้ง๘ นี้ประสานทํางานร่วมกันมิใช่องค์ใดองค์หนึ่ง เมื่อเหตุเป็นปัจจัยกันคือ มรรคทั้ง ๘ พร้อมทุกองค์ เช่น เกิดจาการพิจารณาจนแจ่มแจ้ง ก็เพราะเกิดจากการที่เรียกว่ามรรคสมังคีหรือธรรมสามัคคี(ความพร้อมเพรียงขององค์ธรรม, องค์ธรรมทั้งหลายที่เกี่ยวข้องทุกอย่างทำกิจหน้าที่ของแต่ละอย่าง ๆ พร้อมเพรียงและประสานสอดคล้องกัน ให้สำเร็จผลที่เป็นจุดหมาย เช่น ในการบรรลุมรรคผล เป็นต้น) อุปมาได้ดั่งการเล่นกีฬา เช่น ฟุตบอลโดยสมมติ ย่อมต้องมีความเห็นความชอบ และรักที่จะเล่นก่อน และมีประโยชน์ เช่น ออกกำลัง (อุปมาดั่งขั้นปัญญาขั้นต้นคือ สัมมาทิฏฐิ)
ต้องหมั่นออกกําลังให้ร่างกายแข็งแรง ฝึกซ้อม รู้จักการทํางานร่วมกับทีม (อุปมาดั่งขั้นศีล หรือข้อบังคับ หรือดั่งสัมมาดำริชอบ สัมมาวาจาชอบ สัมมากระทำชอบ ฯ.)
ต้องหมั่นฝึกซ้อมด้วยความอดทน, การเลี้ยงลูก, ส่งลูก, ยิงประตูและแทคติคต่างๆให้เชี่ยวชาญ(อุปมาดั่งความเพียร สติ สมาธิ)
เมื่อทุกสิ่งชํานาญชํ่าชองก็ได้เป็นนักฟุตบอลลงแข่งขันจริงในสนาม เมื่อโอกาสอํานวย(เปรียบดั่งเหตุปัจจัยทั้ง ๘ คือมรรคท้ง ๘ พร้อมลงตัว) ก็ยิงลูกเข้าประตูได้(อุปมาดั่งเกิดสัมมาญาณ)
จึงเกิดความสุขจากการทำประตูได้(อุปมาดั่งสัมมาวิมุตติ)
จักเห็นได้ว่าการยิงลูกนั้นเข้าเป็นการประสานการทํางานกันของทุกสิ่ง ตั้งแต่ความเห็นชอบที่จะเล่น ความตั้งใจ การออกกําลัง การฝึกซ้อม ทักษะ จังหวะ โอกาส ฯ. ขาดตัวใดตัวหนึ่งมิได้ แต่เป็นการประสานการทํางานของทุกๆอย่างที่ได้ฝึกสั่งสมอบรมไว้มาตลอด จนในชั่วขณะจิตที่ยิงประตูลูกนั้น มิได้เกิดแต่มรรคตัวใดตัวหนึ่ง ล้วนแต่เป็นบาทฐานอันเกิดจากประชุมกันเป็นปัจจัยแก่กันและกันลงตัวในที่สุด
ญานทัสสนะที่๑๒ : มรรค ๘ นี้ควรปฏิบัติ มรรค ๘ นี้ได้ปฏิบัติแล้วหรือ ? เพื่อยังให้เกิดมรรคองค์ที่ ๙ และ ๑๐ คือ สัมมาปัญญา และสัมมาวิมุตติขึ้น
ข้อคิด
ทุกข์ให้รู้ สมุทัยให้ละ ในการยังชีวิตประจําวัน สมุทัยให้ "ละ" ให้ละอย่างรวดเร็วและฉับไวที่สุดเท่าที่สติรู้แจ้งเห็นจริงและเท่าทันทันที จึงนับว่าไม่พัวพัน ไม่พิรี้พิไร การปฏิบัติดังนี้ไม่ใช่การหนี แต่เป็นเพราะรู้ด้วยปัญญาและรู้เท่าทันว่า สิ่งเหล่านี้เป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์นั่นเอง เป็นการสู้ด้วยปัญญาและสติ ไม่ต้องทดสอบว่าเราจะทน, จะสู้(แบบทางโลก)ได้หรือเปล่า จะเกิดตัณหาซ้อนตัณหา นอกจากว่าเราต้องการพิจารณาให้เห็นจิตอย่างแจ่มแจ้ง, ลองพิจารณาดูจากปฏิจจสมุปบาท หรือจากตัวอย่างนี้เพื่อใช้เปรียบเทียบหรือเพื่อการโยนิโสมนสิการกับสภาวธรรมอื่นๆที่อาจบังเกิดขึ้นต่อไปในภายภาคหน้า
มีอาหารของโปรดอันโอชะมาวางตรงหน้า เกิดเหตุปัจจัยอันมีอาหารนั้น เกิดอวิชชาสัมผัส อันเนื่องมาจากตา, จมูก และใจ ที่ไปสัมผัสรู้, เกิดเวทนาความรู้สึกรับรู้ในอาหารนั้นพร้อมความจําได้อันยังให้เกิดตัณหาความอยากในอาหารนั้น ถ้าเราไม่รีบ"ละ"โดยเบี่ยงเบนหรือโดยจิต อย่างฉับไวเช่น ลุกเดินออกไป หรือเบี่ยงเบนไปในสิ่งอื่น แต่กลับนั่งดู, นั่งจ้อง, นั่งพิจารณา เพื่อต่อสู้กับตัณหาความอยากในทางโลกๆนั้นอย่างตรงๆเป็นการผิด เพราะจักต้องก่อตัณหาอีกตัวหนึ่งเป็นตัณหาในทางธรรมคือความไม่อยากในความอยากทานอาหารนั้น เป็นตัณหาซ้อนตัณหา ซึ่งเราในที่สุดเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอย่างแน่นอน ถ้าตัณหาแรกคือความอยากในอาหารชนะลงมือกิน เราก็แพ้แก่ตัณหาความอยากอาหารนั้นในที่สุด ถ้าตัณหาในธรรมคือความไม่อยากเป็นฝ่ายชนะ ไม่กินอาหารนั้น เราก็พ่ายแพ้แก่ตัณหาในทางธรรม(ใจ)นั้นเช่นกัน เราจึงเป็นฝ่ายพ่ายแพ้แน่นอนแก่ตัณหาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เมื่อตัณหาเกิด อุปาทานทุกข์ย่อมบังเกิดอย่างแน่นอน ดังนั้นจึงต้องรู้ตามความเป็นจริง และให้ "ละ"หรือก็คืออุเบกขาโดยเร็วเท่าที่สติรู้เท่าทัน อย่าไปคิดสู้รบปรบมืออันคือการปรุงแต่ง ไม่ว่ากับตัณหาฝ่ายใด กล่าวคือไม่ยึดทั้งดีไม่ยึดทั้งชั่ว ไม่ยึดทั้งถูก ไม่ยึดทั้งผิดนั่นเอง ให้ "นําออก"และ "ละ" เสียโดยเร็วโดยการอุเบกขาเสียนั่นเอง ตลอดจนให้มีสติระมัดระวัง "ตัณหาในทางธรรม " หรือ "กุศลตัณหา"ที่จักบังเกิดขึ้น ในทุกกรณี อาการตัณหาซ้อนตัณหานี้ก่อให้เกิดภพ "โมหะหรือความหลง" นั่นเอง เกิดขึ้นเพราะอวิชชาความไม่รู้ตามความเป็นจริงในสภาวธรรมนั้นๆ นี้เป็นตัวอย่างเพียงเพื่อให้เห็น เป็นการเปรียบเทียบเท่านั้น เพื่อใช้พิจารณาในชีวิตจริง
อันตรงกับหลักธรรมคําสอนที่ตรัสไว้ว่า
เมื่อเกิดทุกขเวทนา ก็ไม่ครํ่าครวญ พิรี้พิไร รําพัน
นัตถิ ปัญญาสมา อาภา |
แสงสว่างเสมอด้วยปัญญาไม่มี |
ทุกข์อันเกิดแต่ขันธ์ ๕ ทั้งทางใจและกายนั้น(เวทนาอันเกิดแต่ทุกข์อริยสัจ) มีเป็นปกติอันเป็นสภาวะธรรมชาติ แต่ไม่มีอุปาทานทุกข์
|