กระดานธรรม ๓ หัวข้อ ๒๘

 เหตุที่ทำให้เกิดทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน

  คลิกขวาเมนู  

กาลเมื่อ ๒๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา   ณ.ชมพูทวีป
มหาชนและคนทั้งหลาย  ผู้อาศัยอยู่ในโลกใบนี้
ต่างคนต่างก็มีความ
ปริวิตก  หวาดกลัวต่อความทุกข์ยากเดือดร้อนจากภัย
ที่จักเป็นอันตรายต่อตน และคน ทั้งทรัพย์สินในครอบครัว
ด้วยอาศัยอำนาจแห่งความกลัวนี้
(อันเป็นธรรมชาติที่ย่อมแฝงอยู่ในทุกสรรพสัตว์ และย่อมต้องประกอบด้วยอวิชชาอยู่)
ชนทั้งหลายได้พากันขวนขวายแสวงหาที่พึ่งพาอาศัย
ที่ตนเชื่อว่าประเสริฐ
และทรงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ เพื่อจักได้คุ้มครองปกปักรักษาชีวิตและทรัพย์สินของตนๆ
ให้อยู่รอดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงที่จักอุบัติขึ้น
(ก็ด้วยเหตุเพราะความกลัวดังกล่าวเป็นปัจจัย)
บางขณะก็ใช้ที่พึ่งนั้น ให้ช่วยปัดเป่า รักษาอาการเจ็บไข้และโรคร้ายทั้งปวง
บางทีก็ใช้ที่พึ่งนั้นดลบันดาลให้พืชผลทางเกษตรของตนเจริญงอกงาม
หรือไม่ก็ใช้ที่พึ่งนั้นช่วยปกป้องภัยพิบัติอันจักพึงมีแก่พืชผลทางเกษตรทรัพย์สินและชีวิตตน
ซึ่งบางครั้งก็
ดูเหมือนว่าที่พึ่งเหล่านั้นได้ดลบันดาลให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ขอได้จริง

ความเชื่อของมนุษย์สมัยโบราณ นับถือเทพเจ้า และสัตว์ต่างๆ

ความเชื่อเรื่องบูชายัญ

การแห่นางแมวขอฝน

     

ความเชื่อเรื่องน้ำศักสิทธิ์

ขอหวยที่ต้นไม้

รักษาโรคด้วยหมอผี

แต่ก็บ่อยครั้งหรือหลายครั้งที่ที่พึ่งเหล่านั้นมิได้ช่วยให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ขอได้เลย
แถมยังเป็นตัวทำลายชีวิตทรัพย์สินของผู้เคารพยอมรับบูชาเสียอีก
และชนิดของที่พึ่งเหล่านั้นก็มีมากมายหลายชนิดหลายประเภท
มีชีวิตบ้าง ไม่มีชีวิตบ้าง ตัวอย่างเช่น
ผู้คนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่น้ำลำคลองก็พากันเคารพบูชา
แม่พระคงคา บูชาเจ้าสมุทร บูชาผีน้ำ พรายภูติน้ำ  หรือที่สุดก็บูชาสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำนั้น
พวกที่อยู่ในป่าเขาต่างก็พากันบูชาเจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวดา นางไม้ เจ้าที่ จอมปลวก
แม้ในที่สุด ก็เคารพบูชาสัตว์น้อยใหญ่ที่อิงอาศัยอยู่ในป่านั้น ว่าเป็นที่พึ่งอันศักดิ์สิทธิ์ประเสริฐ
พวกที่อาศัยอยู่ในเมืองก็พากันเคารพบูชาดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ ดวงดาว ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
บางพวกก็บูชาลม ฝน ไฟ   
บางพวกก็บูชาทาง ๓ แพร่งและทางแยกต่างๆ
บางพวกก็บูชาสัตว์เลี้ยงในบ้าน และนอกบ้าน ได้แก่ วัว งู นก ไก่ ปลา
และบางพวกก็บูชามนุษย์ที่ประพฤติพรต บำเพ็ญตบะ

เมื่อมหาชนและผู้คนทั้งหลายพากันบูชาสิ่งเคารพของตนๆ ดังได้กล่าวมาแล้ว
ต่างก็พากันบูชาด้วยของบูชาอันเลิศ  พร้อมกระนั้นก็ขอความคุ้มครองรักษา
บำบัดปัดเป่าขจัดทุกข์ภัยจากสิ่งเคารพของตน  ซึ่งผลที่ตอบรับบางทีก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง
จนทำให้เป็นที่โจษจัน เคลือบแคลงระแวงสงสัยแก่มหาชนคนทั้งหลายว่า
สิ่งเคารพอันใดกันแน่ ที่จัดว่าเป็นสิ่งเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ดีมีมงคล
มหาชนทั้งหลายต่างฝ่ายต่างพากันถกเถียงกันอยู่เกลื่อนกล่นอลหม่าน
ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้ ว่าอะไรคือสิ่งเคารพที่เป็นมงคลสูงสุด

ขอขอบคุณข้อมูลข้างต้นจาก ส่วนหนึ่งของมงคล ๓๘ ประการ จาก http://www.buddharam.se/thai/text/tree/tree5.htm

ภาพจิตรกรรมข้างต้นโดย กาพย์แก้ว สุวรรณกูฏ และทีมงาน

         เหตุการณ์หรือเหตุปัจจัยดังแสดงข้างต้นเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดทิฏฐุปาทานและสีลัพพตุปาทานในอุปาทาน ๔  เพราะการสืบทอด อีกทั้งเป็นตำนานเล่าขานกันต่อๆมาอย่างช้านาน จนปลูกฝังลงสู่รากลึกของจิตใจตั้งแต่รู้ความของปุถุชนทั้งหลายโดยไม่รู้ตัว,  เหมือนดั่งการเกิดขึ้นแห่งอัตตวาทุปาทาน ที่เกิดขึ้นจากการที่เป็นเพียงแต่คำพูดคำจาเพื่อใช้ในการสื่อสารสัมพันธ์กัน เพื่อการเข้าใจกันและกัน ในการอยู่ร่วมกันในหมู่คณะว่า เป็นเรา,เป็นของเรา แต่เกิดการซึมซ่านไปย้อมจิตเสียจนยึดมั่นด้วยกิเลสคืออุปาทานไปว่า เป็นเรา,เป็นของเรา อย่างจริงจังโดยไม่รู้ตัว,  และทั้งยังให้เกิดทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตปาทานอันเป็นสังโยชน์สิ่งที่ร้อยรัดสรรพสัตว์หรือผูกติดมัดสัตว์ไว้ติดกับความทุกข์  เป็นผลตามมาอีกด้วย  

         การปล่อยวางในสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริงนั้น พึงต้องเกิดแต่ปัญญา ดังเช่นว่า เข้าใจหลักอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบันธรรมคือความมีเหตุปัจจัยกัน จึงเกิดขึ้น ฯ.

        จนบังเกิดมีพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง  มหาบุรุษผู้ค้นพบกฏแห่งธรรมชาติ  ที่ไม่เคยมีใคร มองเห็นมาก่อน   เป็นการค้นพบสัจจธรรมความจริงของชีวิต  ที่ไม่ประกอบด้วยทิฏฐุปาทานและสีลัพพตุปาทาน  จึงมิต้องร้องขอบนบานต่อเทพเจ้าทั้งหลายอีกต่อไป.

เขมาเขมสรณทีปิกคาถา

พาหุง เว สะระนัง ยันติ  ปัพพะตานิ วะนานิ จะ

มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดภัยคุกคามแล้ว, ก็ถือเอาภูเขาบ้าง

อารามะทุกรุกขะเจต์ยานิ  มะนุสสา ภะยะตัชชิตา,

ป่าไม้บ้าง, อาราม และรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ;

เนตัง โข สะระณัง เขมัง  เนตัง สะระณะมุตตะมัง,

นั่นไม่ใช่สรณะอันเกษมเลย, นั่น มิใช่สรณะอันสูงสุด;

เนตัง สะระณะมาคัมมะ  สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.

เขาอาศัยสรณะ นั่นแล้ว  ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระนัง คะโต,

ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว;

จัตตาริ อะริยะสัจจาริ  สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ,

เห็นอริยสัจจ์ ความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ;

ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง  ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง

คือเห็นความทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์, ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้,

อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง  ทุกขูปะสะมะคามินัง

และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์;

เอตัง โข สะระณัง เขมัง  เอตัง สะระณะมุตตะมัง

นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม, นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด

เอตัง สะระณะมาคัมมะ  สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ.

เขาอาศัยสรณะ นั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

        พระสูตรชื่อ อัคคัญญสูตร ได้ทรงแสดงความเป็นมาของสังคมมนุษย์เป็นลำดับ  โดยเริ่มแต่เกิดมีสัตว์ขึ้นในโลกแล้วเปลี่ยนแปลงตามลำดับ ตามวิวัฒนาการ  จนเกิดมีมนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นพวกพ้วง  จึงเกิดความจำเป็นต้องมีการปกครอง   และต้องมีการประกอบอาชีพ การงานต่างๆกัน  วรรณะทั้งสี่ก็เกิดจากความเปลี่ยนแปลง  ทรงแสดงว่าสิ่งเหล่านี้ มิใช่เป็นเรื่องของพรหมสร้างสรรค์  แต่ทรงแสดงว่าเกิดจากธรรม (ธรรมดา, กฎธรรมชาติ)หรือเป็นไปตามกฏปฏิจจสมุปบันธรรม  ทุกวรรณะประพฤติชั่วก็ไปอบายได้  ปฏิบัติธรรมก็บรรลุนิพพานได้.

อัคคัญญสูตร

 

 พระองค์ท่าน  เปรียบเหมือนผู้หงายของที่คว่ำปิดอยู่,  เปิดของที่ปิด,  บอกทางแก่คนหลงทาง,

 หรือตามประทีปในที่มืด  ด้วยประสงค์ว่าผู้มีจักษุคือปัญญาจักขุจักเห็นรูปหรือเข้าใจได้นั่นเอง

 

 

 

 

 

 

กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ