เหตุที่ทำให้เกิดทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน |
|
กาลเมื่อ
๒๕๐๐ กว่าปีที่ผ่านมา ณ.ชมพูทวีป
มหาชนและคนทั้งหลาย ผู้อาศัยอยู่ในโลกใบนี้
ต่างคนต่างก็มีความปริวิตก
หวาดกลัวต่อความทุกข์ยากเดือดร้อนจากภัย
ที่จักเป็นอันตรายต่อตน และคน
ทั้งทรัพย์สินในครอบครัว
ด้วยอาศัยอำนาจแห่งความกลัวนี้
(อันเป็นธรรมชาติที่ย่อมแฝงอยู่ในทุกสรรพสัตว์
และย่อมต้องประกอบด้วยอวิชชาอยู่)
ชนทั้งหลายได้พากันขวนขวายแสวงหาที่พึ่งพาอาศัย
ที่ตนเชื่อว่าประเสริฐ
และทรงอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์
เพื่อจักได้คุ้มครองปกปักรักษาชีวิตและทรัพย์สินของตนๆ
ให้อยู่รอดปลอดภัยจากอันตรายทั้งปวงที่จักอุบัติขึ้น
(ก็ด้วยเหตุเพราะความกลัวดังกล่าวเป็นปัจจัย)
บางขณะก็ใช้ที่พึ่งนั้น
ให้ช่วยปัดเป่า รักษาอาการเจ็บไข้และโรคร้ายทั้งปวง
บางทีก็ใช้ที่พึ่งนั้นดลบันดาลให้พืชผลทางเกษตรของตนเจริญงอกงาม
หรือไม่ก็ใช้ที่พึ่งนั้นช่วยปกป้องภัยพิบัติอันจักพึงมีแก่พืชผลทางเกษตรทรัพย์สินและชีวิตตน
ซึ่งบางครั้งก็ดูเหมือนว่าที่พึ่งเหล่านั้นได้ดลบันดาลให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ขอได้จริง
ความเชื่อของมนุษย์สมัยโบราณ นับถือเทพเจ้า และสัตว์ต่างๆ |
ความเชื่อเรื่องบูชายัญ |
การแห่นางแมวขอฝน |
ความเชื่อเรื่องน้ำศักสิทธิ์ |
ขอหวยที่ต้นไม้ |
รักษาโรคด้วยหมอผี |
แต่ก็บ่อยครั้งหรือหลายครั้งที่ที่พึ่งเหล่านั้นมิได้ช่วยให้สำเร็จประโยชน์ตามที่ขอได้เลย
แถมยังเป็นตัวทำลายชีวิตทรัพย์สินของผู้เคารพยอมรับบูชาเสียอีก
และชนิดของที่พึ่งเหล่านั้นก็มีมากมายหลายชนิดหลายประเภท
มีชีวิตบ้าง ไม่มีชีวิตบ้าง ตัวอย่างเช่น
ผู้คนที่ตั้งบ้านเรือนอยู่ใกล้แม่น้ำลำคลองก็พากันเคารพบูชา
แม่พระคงคา
บูชาเจ้าสมุทร บูชาผีน้ำ พรายภูติน้ำ หรือที่สุดก็บูชาสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในน้ำนั้น
พวกที่อยู่ในป่าเขาต่างก็พากันบูชาเจ้าป่า เจ้าเขา รุกขเทวดา นางไม้ เจ้าที่
จอมปลวก
แม้ในที่สุด ก็เคารพบูชาสัตว์น้อยใหญ่ที่อิงอาศัยอยู่ในป่านั้น ว่าเป็นที่พึ่งอันศักดิ์สิทธิ์ประเสริฐ
พวกที่อาศัยอยู่ในเมืองก็พากันเคารพบูชาดวงอาทิตย์
ดวงจันทร์ ดวงดาว ฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า
บางพวกก็บูชาลม ฝน ไฟ
บางพวกก็บูชาทาง
๓ แพร่งและทางแยกต่างๆ
บางพวกก็บูชาสัตว์เลี้ยงในบ้าน และนอกบ้าน ได้แก่ วัว
งู นก ไก่ ปลา
และบางพวกก็บูชามนุษย์ที่ประพฤติพรต บำเพ็ญตบะ
เมื่อมหาชนและผู้คนทั้งหลายพากันบูชาสิ่งเคารพของตนๆ
ดังได้กล่าวมาแล้ว
ต่างก็พากันบูชาด้วยของบูชาอันเลิศ พร้อมกระนั้นก็ขอความคุ้มครองรักษา
บำบัดปัดเป่าขจัดทุกข์ภัยจากสิ่งเคารพของตน
ซึ่งผลที่ตอบรับบางทีก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง
จนทำให้เป็นที่โจษจัน เคลือบแคลงระแวงสงสัยแก่มหาชนคนทั้งหลายว่า
สิ่งเคารพอันใดกันแน่
ที่จัดว่าเป็นสิ่งเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ดีมีมงคล
มหาชนทั้งหลายต่างฝ่ายต่างพากันถกเถียงกันอยู่เกลื่อนกล่นอลหม่าน
ก็ยังหาข้อยุติไม่ได้
ว่าอะไรคือสิ่งเคารพที่เป็นมงคลสูงสุด
ขอขอบคุณข้อมูลข้างต้นจาก ส่วนหนึ่งของมงคล ๓๘ ประการ จาก http://www.buddharam.se/thai/text/tree/tree5.htm
ภาพจิตรกรรมข้างต้นโดย
กาพย์แก้ว สุวรรณกูฏ และทีมงาน
เหตุการณ์หรือเหตุปัจจัยดังแสดงข้างต้นเหล่านี้นี่เอง ที่เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดทิฏฐุปาทานและสีลัพพตุปาทานในอุปาทาน ๔ เพราะการสืบทอด อีกทั้งเป็นตำนานเล่าขานกันต่อๆมาอย่างช้านาน จนปลูกฝังลงสู่รากลึกของจิตใจตั้งแต่รู้ความของปุถุชนทั้งหลายโดยไม่รู้ตัว, เหมือนดั่งการเกิดขึ้นแห่งอัตตวาทุปาทาน ที่เกิดขึ้นจากการที่เป็นเพียงแต่คำพูดคำจาเพื่อใช้ในการสื่อสารสัมพันธ์กัน เพื่อการเข้าใจกันและกัน ในการอยู่ร่วมกันในหมู่คณะว่า เป็นเรา,เป็นของเรา แต่เกิดการซึมซ่านไปย้อมจิตเสียจนยึดมั่นด้วยกิเลสคืออุปาทานไปว่า เป็นเรา,เป็นของเรา อย่างจริงจังโดยไม่รู้ตัว, และทั้งยังให้เกิดทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตปาทานอันเป็นสังโยชน์สิ่งที่ร้อยรัดสรรพสัตว์หรือผูกติดมัดสัตว์ไว้ติดกับความทุกข์ เป็นผลตามมาอีกด้วย
การปล่อยวางในสิ่งเหล่านี้อย่างแท้จริงนั้น พึงต้องเกิดแต่ปัญญา ดังเช่นว่า เข้าใจหลักอิทัปปัจจยตา หรือปฏิจจสมุปบันธรรมคือความมีเหตุปัจจัยกัน จึงเกิดขึ้น ฯ.
จนบังเกิดมีพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง มหาบุรุษผู้ค้นพบกฏแห่งธรรมชาติ ที่ไม่เคยมีใคร มองเห็นมาก่อน เป็นการค้นพบสัจจธรรมความจริงของชีวิต ที่ไม่ประกอบด้วยทิฏฐุปาทานและสีลัพพตุปาทาน จึงมิต้องร้องขอบนบานต่อเทพเจ้าทั้งหลายอีกต่อไป.
เขมาเขมสรณทีปิกคาถา
พาหุง เว สะระนัง ยันติ ปัพพะตานิ วะนานิ จะ |
มนุษย์เป็นอันมาก เมื่อเกิดภัยคุกคามแล้ว, ก็ถือเอาภูเขาบ้าง |
อารามะทุกรุกขะเจต์ยานิ มะนุสสา ภะยะตัชชิตา, |
ป่าไม้บ้าง, อาราม และรุกขเจดีย์บ้าง เป็นสรณะ; |
เนตัง โข สะระณัง เขมัง เนตัง สะระณะมุตตะมัง, |
นั่นไม่ใช่สรณะอันเกษมเลย, นั่น มิใช่สรณะอันสูงสุด; |
เนตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ. |
เขาอาศัยสรณะ นั่นแล้ว ย่อมไม่พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ |
โย จะ พุทธัญจะ ธัมมัญจะ สังฆัญจะ สะระนัง คะโต, |
ส่วนผู้ใดถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะแล้ว; |
จัตตาริ อะริยะสัจจาริ สัมมัปปัญญายะ ปัสสะติ, |
เห็นอริยสัจจ์ ความจริงอันประเสริฐสี่ ด้วยปัญญาอันชอบ; |
ทุกขัง ทุกขะสะมุปปาทัง ทุกขัสสะ จะ อะติกกะมัง |
คือเห็นความทุกข์, เหตุให้เกิดทุกข์, ความก้าวล่วงทุกข์เสียได้, |
อะริยัญจัฏฐังคิกัง มัคคัง ทุกขูปะสะมะคามินัง |
และหนทางมีองค์แปดอันประเสริฐ เครื่องถึงความระงับทุกข์; |
เอตัง โข สะระณัง เขมัง เอตัง สะระณะมุตตะมัง |
นั่นแหละเป็นสรณะอันเกษม, นั่นเป็นสรณะอันสูงสุด |
เอตัง สะระณะมาคัมมะ สัพพะทุกขา ปะมุจจะติ. |
เขาอาศัยสรณะ นั่นแล้ว ย่อมพ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ |
พระสูตรชื่อ อัคคัญญสูตร ได้ทรงแสดงความเป็นมาของสังคมมนุษย์เป็นลำดับ โดยเริ่มแต่เกิดมีสัตว์ขึ้นในโลกแล้วเปลี่ยนแปลงตามลำดับ ตามวิวัฒนาการ จนเกิดมีมนุษย์ที่อยู่รวมกันเป็นหมู่เป็นพวกพ้วง จึงเกิดความจำเป็นต้องมีการปกครอง และต้องมีการประกอบอาชีพ การงานต่างๆกัน วรรณะทั้งสี่ก็เกิดจากความเปลี่ยนแปลง ทรงแสดงว่าสิ่งเหล่านี้ มิใช่เป็นเรื่องของพรหมสร้างสรรค์ แต่ทรงแสดงว่าเกิดจากธรรม (ธรรมดา, กฎธรรมชาติ)หรือเป็นไปตามกฏปฏิจจสมุปบันธรรม ทุกวรรณะประพฤติชั่วก็ไปอบายได้ ปฏิบัติธรรมก็บรรลุนิพพานได้.
พระองค์ท่าน เปรียบเหมือนผู้หงายของที่คว่ำปิดอยู่, เปิดของที่ปิด, บอกทางแก่คนหลงทาง,
หรือตามประทีปในที่มืด ด้วยประสงค์ว่าผู้มีจักษุคือปัญญาจักขุจักเห็นรูปหรือเข้าใจได้นั่นเอง