ปฐมบทแห่งโลกและธรรม |
|
เหตุปัจจัย กล่าวได้ว่า เป็นปฐมบทแห่งโลกและธรรม เป็นเหตุเบื้องต้น คือต้นกำเนิดทั้งของทั้งทางโลกและทางธรรมทั้งปวง จึงเป็นสิ่งจำเป็นยิ่งที่พึงต้องทำความเข้าใจกันเป็นเบื้องต้น เพื่อความก้าวหน้าในการเจริญวิปัสสนาในธรรม ซึ่งเมื่อมีความเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว พระอรรถกถาจารย์ท่านจัดว่าเป็น"จูฬโสดาบัน" หรือ"พระโสดาบันน้อย"ทีเดียว ด้วยถือว่าเป็นผู้ที่มีคติคือมีความก้าวหน้าอย่างแน่นอนในพระศาสนา ด้วยเพราะเป็นผู้เห็นได้ด้วยปัญญาแล้วว่า "สังขารทั้งปวง สักว่าเกิดแต่เหตุปัจจัย" กล่าวคือ ได้เกิด"ปัจจัยปริคคหญาณ" คือมีญาณหรือปัญญาในการเห็นเหตุปัจจัยได้ด้วยตนเองแล้ว (รายละเอียดอยู่ใน ญาณ ๑๖)
เหตุ หมายถึง สิ่ง, สิ่งต่างๆ, สิ่งที่ก่อเรื่อง, สิ่งที่ทำให้สิ่งต่างๆ เกิดขึ้น
ปัจจัย หมายถึง เครื่องสนับสนุน หรือเครื่องปรุงแต่งกัน แล้วยังให้เกิดอีกสิ่งอื่นหรือผลอื่นขึ้น
เหตุปัจจัย
จึงมีความหมายที่ว่า การที่มีเหตุ
คือธรรมหรือสิ่งต่างๆ
มาเป็นเครื่องสนับสนุนกันและกัน
หรือเป็นเครื่องปรุงแต่งกัน
หรือประชุมประกอบกัน
จนเกิดอีกสิ่งหนึ่งขึ้นมา
ดังเช่น น้ำ (H2O) อันย่อมเป็นสังขาร คือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งกันขึ้น ก็เพราะความที่เกิดแต่การมีเหตุ คือ H & O มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันและกัน จนเกิดอีกสิ่งหนึ่งขึ้นนั่นเอง ดังที่กล่าว, และเป็นชนิดรูปธรรม คือผัสสะได้ เช่น แลเห็นได้ด้วยตา อีกทั้งสัมผัสได้ด้วยกาย, ทั้งที่แท้จริงแล้วน้ำนั้นก็ยังย่อมประกอบกันขึ้นมาด้วยเหตุต่างๆ อันมี ไฮโดรเจน(H) ๒ อะตอม กับออกซิเจน(O) ๑ อะตอม และถ้ากล่าวกันโดยละเอียดก็ต้องกล่าวอีกด้วยว่า มีแรงที่มากระทำคือแรงบีบคั้นให้เกิดการรวมตัวกันมาปรุงแต่งขึ้นอีกด้วย ดังในห้องทดลองที่นำเหล่าเหตุคือ H และ O มารวมกัน แล้วจุดไฟขึ้น ซึ่งไฟจะไปเป็นตัวเร่ง(catalyst)จึงเป็นเหตุอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน ที่ทำให้เกิดแรงบีบคั้นกระทำให้เกิดการรวมตัวกันขึ้นของ H และ O ซึ่งให้ผลคืออีกสิ่งหนึ่งขึ้นคือ"น้ำ หรือ H2O"ขึ้นมานั่นเอง ดังนั้นน้ำก็ยังคงมีเหตุต่างๆที่มาประกอบกัน คือมีองค์ประกอบย่อยๆ คือ H และ O ประกอบกันขึ้น อีกทั้งมีแรงบีบคั้นที่กระทำแอบซ่อนเร้นอยู่, และเมื่อเหตุทั้ง ๓ นี้มาเป็นปัจจัยกัน หรือปรุงแต่งกันและกัน หรือประกอบกันขึ้น จนเกิดอีกสิ่งหนึ่งขึ้นคือ H2O หรือสิ่งที่เราเรียกกันโดยสมมติทางโลกในภาษาไทยว่า น้ำ, ถ้าเราพิจารณาโดยแยบคายจะพบว่าทั้ง H และ O ที่ก่อนมาประชุมหรือก่อนมาปรุงแต่งกันนั้นต่างก็เป็นของในสภาวะเป็นก๊าซ ทั้งไม่มีตัวตนรูปร่างให้แลเห็น หรือสัมผัสได้ชัด ส่วนแรงนั้นก็ย่อมแลไม่เห็นเป็นธรรมดาด้วยเป็นอรูปคือ อรูปธรรม แต่เมื่อมีเหตุทั้ง ๓ มาเป็นปัจจัยกันดังกล่าว ย่อมเกิดคือมีการสนับสนุนกันให้เกิดอีกสิ่งหนึ่งขึ้นคือน้ำ ซึ่งมีสภาพแปรปรวนเปลี่ยนไปเป็นของเหลว ที่มองเห็น อีกทั้งสัมผัสได้, เมื่อรวมตัวปรุงแต่งกัน เป็นเหตุปัจจัยกันแล้วย่อมเกิดน้ำขึ้น ที่มีความเป็นฆนะ คือมีความเป็นกลุ่ม เป็นก้อน เป็นมวลรวมของกันและกันขึ้นอีกอย่างหนึ่งนั่นเอง คือเมื่อเป็นกลุ่มก้อนเป็นมวลแล้วก็ทำให้เกิดขึ้นแลเห็นว่าเป็นน้ำ แลดูไม่เห็นได้เลยว่า มาจากเหล่าเหตุของ H และ O, ทั้งๆที่ความจริงอย่างยิ่งหรือปรมัตถ์คือตามความเป็นจริงขั้นสูงสุดแล้ว ก็ยังมีการประกอบกันอยู่ด้วยเหตุเหล่านั้นอยู่ คือ ทั้ง H และ O และย่อมประกอบด้วยแรงบีบคั้นปรุงแต่งอันแปรปรวนอีกด้วย จึงยังคงสภาพเป็น H2O อยู่ได้นั่นเอง, ดังในห้องทดลองอีกเช่นกัน ที่สามารถนำน้ำมาแยกเอาธาตุเหตุคือ H และ O ออกมาได้ โดยการปล่อยไฟฟ้ากระแสตรงลงไปในน้ำ จึงเกิดแรงไฟฟ้าไปกระทำต่อเหตุจนดับไป คือกระทำต่อแรงบีบคั้นปรุงแต่งของ H2O จนคลายดับไป, ผลก็คือเมื่อเหตุคือแรงบีบคั้นคลายจนดับไป ย่อมทำให้เหตุอื่นๆคือทั้ง H และ O ย่อมค่อยคืนสู่สภาพเดิม คือ กลับมาเป็นก๊าซดังเดิม คือคงทนอยู่ในสภาพเดิมของน้ำอยู่ไม่ได้อีกต่อไป อันเป็นไปตามหลักอิทัปปัจจยตา, อีกทั้งสามารถพิจารณาดูให้เห็นอีกได้ด้วยว่า น็ำจึงขึ้นอยู่กับเหล่าเหตุปัจจัยนั่นเอง ไม่ได้ขึ้นอยู่กับใครๆหรือเรา
สังขารทั้งปวงล้วนเป็นไปในลักษณาการเดียวกับน้ำทั้งสิ้น, คำว่าทั้งสิ้นนั้นหมายถึง สังขารทุกสังขารโดยไม่มีข้อยกเว้นใดๆทั้งสิ้น แม้แต่ชีวิตของเราท่าน ก็เพียงล้วนประกอบขึ้นจากเหตุปัจจัย คือขันธ์ทั้ง ๕ ที่มีแรงบีบคั้นต่างๆอาจจะเรียกว่ากรรมก็ได้ ให้เกิดการรวมตัวกันจนเกิดขึ้น แต่เมื่อถูกแรงอื่นใดมากระทำ เหมือนดั่งน้ำที่ถูกแรงไฟฟ้ากระแสตรงเข้าทำลายแรงบีบคั้นปรุงแต่ง แล้วเป็นเหตุทำให้แรงบีบคั้นปรุงแต่งให้รวมตัวกันของขันธ์ทั้ง ๕ สลายดับไป ดังถูกยิง รถชนกัน ป่วยไข้ แรงใดๆที่กระทำให้หัวใจหยุดเต้น แม้แต่แรงบีบคั้นปรุงแต่งที่ทุกขังคือการคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ จึงเริ่มคลายจนดับไปตามอายุขัย ฯลฯ. ก็ย่อมถึงซึ่งความตายคือการดับไป เช่นกัน
ดังนั้นเมื่อเราเห็นน้ำ ถ้ามีญาณคือปัญญารู้ กล่าวคือเป็นการหยั่งรู้ได้ด้วยปัญญา(ปัจจัยปริคคหญาณ)ว่า เป็นสังขารสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาอย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้นแต่การเป็นเหตุปัจจัยของ H และ O ที่เมื่อรวมเป็นฆนะกลุ่มก้อนแล้ว จึงเกิดมายาให้เห็นว่าเป็นน้ำนั่นเอง, ดังนั้นแท้จริงขั้นสูงสุดแล้วน้ำอันเป็นสังขารอย่างหนึ่งจึงเป็นอนัตตา คือไม่มีตัวตนของมัน(คือน้ำ)เองจริง เป็นเพียงเกิดแต่การประชุมประกอบกันขึ้นของเหตุต่างๆมาสนับสนุนปรุงแต่งกันและกัน จนเป็นกลุ่มก้อน(ฆนะ)เกิดขึ้น คือเกิดอีกสิ่งหนึ่งขึ้นในขณะหนึ่งๆนั่นเอง
ด้วยเหตุดังนี้นี่เอง สังขารสิ่งปรุงแต่งทั้งหลายจึงมีอายุขัย ด้วยความที่คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ จึงเพียงตั้งอยู่หรือทรงตัวอยู่ได้ชั่วขณะระยะหนึ่งๆเท่านั้น และอายุขัยของแต่ละสังขารนั้นย่อมมีความแตกต่างกันไปตามความเสื่อมของเหตุต่างๆ ที่มาประชุมประกอบกันขึ้นนั่นเอง อีกทั้งความเสื่อมหรือการถูกกระทำต่อแรงบีบคั้นที่กระทำต่อสังขารนั้นๆ จนถึงภาวะสุดท้ายคือ สิ้นแรงที่บีบคั้นปรุงแต่งต่อสังขารนั้นๆ สังขารนั้นจึงต้องคลายสลายจนดับสูญไป คือว่างเปล่าจาก"สิ่งที่คิดหรือเห็นว่าเป็นตัวตน"ที่เห็นหรือผัสสะใดๆได้ในขณะนั้นๆ กลับสู่สภาวะเดิมๆของเหล่าเหตุต่างๆก่อนที่มีการมาประชุมเป็นกลุ่มก้อนปัจจัยกัน จึงล้วนเป็นไปในลักษณาการเดียวกันกับ"น้ำ"ที่คืนกลับไปเป็น H และ O ดังที่กล่าวมาแล้วทั้งสิ้น
สังขาร หรือสังขตธรรม คือสิ่งปรุงแต่ง หรือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น กล่าวโดยละเอียดก็คือ สิ่งที่มีเหตุปัจจัยมาปรุงแต่งกันให้เกิดขึ้น, สังขารทั้งปวงจึงมีความไม่เที่ยง มีความแปรปรวน ก็ด้วยเพราะความที่ล้วนย่อมเกิดขึ้นมาแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นดังกล่าว คือล้วนเกิดมาจากการที่มีเหตุต่างๆ ที่ย่อมมีความแปรปรวนอยู่เสมอๆในตัวของมันเองเช่นกัน มาเป็นปัจจัยแก่กันและกันขึ้น, เหตุปัจจัยจึงเป็นสิ่งเราควรทำความเข้าใจกันโดยละเอียดดูเป็นเบื้องต้นทีเดียว เพราะกล่าวได้ว่าเป็นเหตุเบื้องต้น หรือพื้นฐานคือบาทฐานของธรรมทั้งปวง และแม้กระทั่งการเกิดขึ้นอีกทั้งการดับไปของสังขารทั้งปวงอีกด้วย อีกทั้งตรงกับหลักพื้นฐานสำคัญคือเป็นไปในลักษณาการเดียวกันกับวิทยาศาสตร์ในสมัยปัจจุบัน คือความเป็นเหตุ เป็นผลกันนั่นเอง คือความมีเหตุเป็นปัจจัยกัน(สนับสนุนกัน)จึงยังให้เกิดผลขึ้น จัดว่าเป็นญาณหนึ่งในญาณ ๑๖ หรือ"โสฬสญาณ"ทีเดียว คือ ปัจจัยปริคคหญาณ กล่าวได้ว่าเป็นพื้นฐานความรู้อันยิ่งในการเจริญวิปัสสนา คือทำให้มีความเจริญก้าวหน้าเข้าใจในธรรมต่างๆได้อย่างโลกุตระ ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวได้ว่า เหตุปัจจัยเป็นปฐมบทของธรรมทั้งปวงได้อีกเช่นกัน ดังเช่น
ปฏิจจสมุปบาท
ที่พระองค์ท่านทรงตรัสรู้จนบรรลุพระสัมมาสัมโพธิญาณ ก็คือ ภาวะที่อาศัยเหตุต่างๆเป็นปัจจัยกัน(สนับสนุนซึ่งกันและกัน)ให้เกิดความสืบเนื่องจนเกิดผลคือความทุกข์ในที่สุด
คือ เหตุปัจจัยหนึ่งก่อให้เกิดอีกสิ่งหนึ่งขึ้น และสิ่งหนึ่งนี้ก็เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดอีกสิ่งหนึ่งขึ้น...ที่ต่อเนื่องสืบสัมพันธ์กันไปจนเกิดทุกข์ชนิดที่ประกอบหรือร่วมด้วยอุปาทาน
และยีงมีการวนเวียนปรุงแต่งเป็นวงจรของความทุกข์
คือขันธ์
๕ ที่ประกอบด้วยอุปาทาน(คือเจตนาหรือคิดอ่านที่ไปปรุงจิตให้เห็นเป็นไปตามกิเลสตน
หรือความพึงพอใจของตัวตน)หรือก็คืออุปาทานขันธ์ ๕ อันเร่าร้อนด้วยไฟกิเลสที่อยากให้เป็นไปตามความยึดมั่นถือมั่นของตนขึ้นนั่นเอง,
ดังเช่น ...เวทนาเป็นเหตุ
จึงเป็นปัจจัยให้เกิด
อารมณ์ฝ่ายอกุศลคือตัณหา
แล้วตัณหานั้นจึงเป็นเหตุ เป็นปัจจัยให้เกิด
อุปาทาน....ฯ.เป็นลำดับเนื่องกันต่อๆไปจนเป็นทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทานในที่สุด
(คือ เวทนา
ตัณหา
อุปาทาน
ภพ
ชาติ
........ฯ.
ในวงจรปฏิจจสมุปบาท)
อีกทั้งความไม่รู้ในเหตุปัจจัย ดังกล่าวนี้ ยังเกี่ยวข้องพัวพันกับ"อวิชชา ๘" คือเป็นอวิชชาอย่างหนึ่ง, อวิชชา ๘ อันมี ความไม่รู้ในอริยสัจทั้ง ๔ คือ ความไม่รู้จริงในเรื่อง ๑.ทุกข์ ๒.สมุทัย ๓.นิโรธ ๔.มรรค และอีก ๔ อันเนื่องมาจากความไม่รู้ในเหตุปัจจัยทั้งสิ้น กล่าวคือ ๕.ความไม่รู้อดีต("อดีต"มีความหมายว่า ในเบื้องต้น)คือ ความไม่รู้ไม่เข้าใจแต่เบื้องต้นว่า ล้วนเกิดแต่มีเหตุ ดัง "ธรรมใดเกิดแต่เหตุ" ๖.ความไม่รู้อนาคต(อนาคตมีความหมายว่าในเบื้องปลาย) คือ ความไม่รู้ในเบื้องปลาย คือผล ดังเช่น "เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงมี, เมื่อเหตุนี้ดับ ผลนี้จึงดับ" ดังอิทัปปัจจยตา ๗.ความไม่รู้ทั้งอดีตและอนาคต คือภาวะไม่รู้ทั้งเบื้องต้นและเบื้องปลาย คือความไม่รู้ไม่เข้าใจในทั้งเหตุทั้งผล หรือก็คือ ความไม่รู้เข้าใจในการเป็นปัจจัยแก่กันและกัน คือ ความไม่รู้ในเหตุปัจจัยนั่นเอง ๘.จึงย่อมทำให้ไม่สามารถเข้าใจได้ใน"ปฏิจจสมุปบาท" ที่อาศัยความเป็นสภาวธรรมของความเป็นเหตุปัจจัยกันให้เกิดการสืบเนื่องกันต่อๆไปจนเกิดทุกข์, ดังนั้นเมื่อไม่เข้าใจเหตุปัจจัย(ปัจจัยปริคคหญาณ)จึงย่อมไม่สามารถดับอวิชชา หรือเห็น"ธรรม"ได้เลย
ขันธ์ ๕ ที่อาศัยภาวะความเป็นเหตุของขันธ์ต่างๆ มาเป็นปัจจัยกันแก่กัน จึงเกิดผลคือชีวิต และขันธ์ทั้ง ๕ ยังเป็นเหตุปัจจัยกัน ในการดำเนินชีวิตไปจนเกิดผล คือสังขารขันธ์ต่างๆ คือ สิ่งปรุงแต่งขึ้นของจิต หรือก็คืออารมณ์ทางโลก หรืออาการต่างๆของจิตขึ้นได้ เช่น สุข ทุกข์ โลภ โกรธ หลง หดหู่ ฟุ้งซ่าน เป็นกลาง กังวล กลัว สติ ปัญญา ฌาน สมาธิ ฯ. และสังขารขันธ์ ก็ยังเป็นเหตุปัจจัยไปปรุงจิตให้คิดอ่านหรือเจตนา(สัญเจตนา)ให้เกิดการกระทำต่างๆ(กรรม)ได้ทั้งทางดี ชั่ว และกลางๆ ได้ออกมาทั้งทางกาย วาจา และใจ, แม้แต่การกระทำต่างๆในการดำเนินชีวิตทั่วๆไปโดยสังขารขันธ์ชนิดเจตนาคือความจงใจ(อยู่ใน เจตสิก ๕๒ ในข้อ ๔, เจตนา-ความจงใจก็นับเป็นเจตสิกอาการของจิตอีกอย่างหนึ่งเช่นกัน (ซึ่งต่างกับสัญเจตนาตรงที่สัญเจตนาเป็นธรรมหรือเครื่องไปปรุงจิตหรือคิดอ่าน) เจตนาเป็นการอาการของจิตคือความตั้งใจความจงใจให้เกิดกรรม(การกระทำต่างๆ) แล้วจึงไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัญเจตนาคือปรุงจิตให้คิดอ่านกระทำตามที่เจตนาข้างต้นขึ้น จึงเกิดการกระทำต่างๆ เช่น กิน นอน เดิน นั่ง พูด คิด ฯลฯ.
รูป
|
สังขารขันธ์ ในขันธ์ ๕ คือ สิ่งหรือธรรมที่ปรุงจิตให้เกิดเจตนา(สัญเจตนา)ให้เกิดการกระทำต่างๆ(กรรม)ทั้งดี ชั่ว และทั้งกลางๆ ในการดำเนินชีวิต ได้ทั้งทางกาย วาจา ใจ, หรืออารมณ์ในทางโลก หรืออาการของจิตต่างๆ เป็นผลที่เกิดขึ้นหรือจากการเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นจากทำการงานประสานเนื่องสัมพันธ์กันของขันธ์ทั้ง ๕ ที่ดำเนินเป็นเหตุปัจจัยต่อกันและกัน, และสังขารขันธ์ยังดำเนินไปเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดเจตนา(สัญเจตนา)อันเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกรรม(การกระทำต่างๆ)ที่ใช้ดำเนินชีวิตขึ้นในที่สุด ดังแสดงข้างต้น
กรรม หรือการกระทำต่างๆทั้งดี ชั่ว และกลางๆ ก็ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยของขันธ์ทั้ง ๕ ดังแสดงข้างต้น
พระไตรลักษณ์ เพราะความเป็นเหตุปัจจัยกันจึงเกิดสังขารทั้งปวงขึ้น จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิด อนิจจัง ทุกขัง และอนัตตา ในสังขารทั้งปวงตามมา
นามรูปปัจจัยปริคคหญาณ หรือสัมมาทัสสนะคือ ญาณหรือปัญญากำหนดรู้คือ เข้าใจแจ่มแจ้งในทั้งในนามและรูป คือญาณที่แยกแยะนามและรูปได้แจ่มแจ้ง นามหรือนามธรรมคือสิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ ส่วนรูปหรือรูปธรรมนั้นคือสิ่งที่รับรู้ได้ด้วยอายตนะภายใน ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย, ทั้งนามและรูปก็ล้วนต่างเกิดขึ้นแต่เหตุปัจจัย ดังนั้นแม้ชีวิตที่เกิดแต่นามและรูปเป็นเหตุปัจจัย จึงล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยด้วยกันทั้งหมดทั้งสิ้น
อริยสัจ ๔ ที่เพราะตัณหาเป็นเหตุคือสมุทัย จึงเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานจึงเกิดทุกข์คืออุปาทานทุกข์หรืออุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์, หรือเพราะมรรคเป็นเหตุ จึงเป็นปัจจัยให้เกิดผลคือนิโรธขึ้น
อิทัปปัจจยตา ที่เพราะมีเหตุมาเป็นปัจจัยกัน จึงเกิดผลขึ้น หรือเพราะเหตุนั้นดับ จึงเป็นปัจจัยให้ผลนั้นดับ
สมาธิ, ฌาน ที่เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการสงบระงับชั่วคราว(วิขัมภนวิมุตติ)ของกิเลส(สิ่งขุ่นมัว) ที่ทำให้เกิดทุกข์ คือ กิเลสต่างๆในนิวรณ์ ๕ ที่เนื่องมาจากเหตุคือการระงับการปรุงแต่งในนิวรณ์ ๕ ลงไปได้ จึงเกิดการหยุดการผัสสะต่างๆลงได้ในชั่วขณะสมาธินั้นๆได้ เพราะจิตไปแน่วแน่กับอารมณ์คือสิ่งที่กำหนดได้ดีนั่นเอง จึงเป็นเหตุให้ไม่เกิดการส่งออกไปคิดปรุงแต่งอันเป็นปัจจัยกันให้เกิดการผัสสะจนเกิดทุกข์ขึ้น ได้ขณะระยะหนึ่งๆ ขณะอยู่ในกำลังของสมาธิและฌาน จึงเป็นเหตุให้ไม่ฟุ้งซ่านไปปรุงแต่งนั่นเอง กิเลสจึงย่อมสงบระงับลงไปเป็นการชั่วคราวเพราะการหยุดปรุงแต่งดังกล่าวนั่นเอง
สัมมาสมาธิ เป็นเหตุปัจจัยเครื่องหนุนการเจริญวิปัสสนา (สัมมัตตะ ๑๐) เพราะเมื่อจิตเป็นสมาธิ ไม่ซัดส่ายพัวพันไปปรุงแต่ง จึงย่อมมีกำลัง อุปมาได้ดั่ง เรื่องพ่อสอนลูกๆเรื่องความสามัคคีในนิทานอีสป ที่ให้ทุกคนนำกิ่งไม้อันเล็กๆมา เมื่อนำแต่ละอันมาหัก ย่อมหักออกได้อย่างง่ายดาย แต่เมื่อนำกิ่งไม้น้อยนั้นมามัดรวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนเป็นกำขึ้น จนถึงจุดหนึ่งย่อมมีกำลังมากขึ้น จนไม่สามารถหักมันได้อีกต่อไป, จึงอุปมาได้ดั่งสมาธิเช่นกัน ที่เมื่อรวบรวมจิต ไม่ส่งจิตออกไปปรุงแต่งซัดส่ายแตกแยก ไปซ้าย ไปขวา ไปบน ไปล่าง ไปหน้า ไปหลัง ไปเรื่องโน้น ไปเรื่องนี้ ไปอดีต(ที่ย่อมแก้ไขอะไรๆไม่ได้, ได้แต่ฟุ้งซ่านปรุงแต่ง) ไปอนาคต(ที่ยังมาไม่ถึง,ยังแปรปรวนไปตามเหตุแต่ฟุ้งซ่านปรุงแต่งไปต่างๆนาๆ และไม่มีใครรู้ได้อย่างแท้จริงๆ) ไปในปัจจุบัน ต่างๆนาๆ, ดังนั้นเมื่อจิตไม่ซัดส่ายแต่รวมเป็นหนึ่งดุจกำไม้หรือกำไผ่ จึงย่อมมีความแข็งแกร่งและมีกำลังมาก ดุจเดียวกันกิ่งไม้ที่รวมกันเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน จึงทำให้มีกำลังมากในการนำไปโยนิโสมนสิการในธรรมต่างๆให้เกิดปัญญาสว่างกระจ่างขึ้นเป็นลำดับ อีกทั้งสมาธิยังทำให้กิเลสสิ่งที่ทำให้จิตขุ่นมัวเพราะฟุ้งไปนั้นตกตะกอนดุจดั่งการตกตะกอนนอนก้นของน้ำจึงทำให้ใส เมื่อจิตใสย่อมแลเห็นสิ่งต่างๆได้ง่ายและชัดเจนขึ้น ดังนั้นเมื่อนำมาเจริญวิปัสสนา จึงเป็นเหตุปัจจัยในการส่งเสริมการเจริญวิปัสสนาให้เกิดปัญญาได้ดี ก็ด้วยเหตุปัจจัยดั่งนี้นี่เอง, สูงสุดจึงมิใช่การหวังในความสุข สงบ สบายจากสมาธิหรือองค์ฌานจากการปฏิบัติสมาธิหรือฌาน ที่เมื่อติดเพลินก็กลับกลายเป็นให้โทษเสียอีก แต่เพื่อจุดประสงค์สำคัญยิ่งสูงสุดในทางพุทธศาสนาคือในการนำไปวิปัสสนาหรือการเจริญปัญญาในธรรมต่างๆ
การเจริญวิปัสสนา
เป็นเหตุปัจจัยเครื่องหนุนปัญญา(สัมมาญาณ)
ดังกล่าวในมรรคองค์
๑๐ ("......
สัมมาสติ
สัมมาสมาธิ
สัมมาญาณ
สัมมาวิมุตติ")
ปัญญา(สัมมาญาณ) เป็นเหตุปัจจัยเครื่องหนุนให้เกิดสัมมาวิมุตติ คือ ความสุขจากการหลุดพ้นจากกองทุกข์ ในสัมมัตตะ๑๐
ความทุกข์ทั้งหลาย
ก็ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย
คือเกิดจากเหตุคือขันธ์ทั้ง ๕ กับอายตนะภายนอกทั้งหลายคือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส
และธรรมารมณ์ จึงเกิดการผัสสะ
แล้วเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหา อุปาทาน
ภพ
ชาติ
จนเกิดเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์
ความเจ็บป่วยไข้ ก็ล้วนเกิดแต่มีเหตุเป็นปัจจัยกันจึงเกิดขึ้น เช่นเชื้อโรค ความผิดปกติของร่างกาย ก็ย่อมต้องรักษาดูแลกันที่เหตุ
กล่าวโดยย่อ
"สังขารทั้งปวง ล้วนเกิดแต่ เหตุปัจจัย"
"เว้นแต่เหตุปัจจัย มิได้มี"
เวทนา การเสวยอารมณ์ คือความรู้สึกที่เกิดจากการเสพเสวยอารมณ์หรือสิ่งที่ผัสสะ จึงย่อมเกิดความรู้สึกในรสที่เสพเสวยนั้น เหมือนการเสวยหรือทานอาหาร, เป็นนามธรรม ไม่มีตัวตนให้สัมผัสได้ด้วยอายตนะทั้ง ๕ คือ ตา หู จมูก ลิ้น และกาย แต่เป็นสิ่งทีรู้ได้ด้วยใจ(อายตนะที่ ๖) แม้ไม่มีตัวตน แต่ก็เป็นสังขารที่ถูกปรุงแต่งกันขึ้นอย่างหนึ่ง จากการที่ต้องมี"เหตุ"มาเป็น"ปัจจัย"แก่กันและกันของขันธ์ต่างๆ จึงเกิดขึ้นได้ ดังภาพที่แสดงรายละเอียดการเกิดขึ้นของเวทนาต่างๆ ซึ่งล้วนเป็นไปในลักษณาการเช่นนี้ทั้งสิ้น
อายตนะภายนอก
|
ตา
|
เพราะความเป็นเหตุปัจจัยกันดังนี้นี่เอง จึงเป็นปัจจัยให้เกิดสังขารต่างๆทั้งปวงในโลกนี้ขึ้น ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายรูปธรรม หรือนามธรรม (เช่น เวทนา สัญญา สังขารขัน์ วิญญาณ ฯ.) ดังนั้นไม่ว่าจักใหญ่โตแค่ไหนเป็นระดับโลก ระดับจักรวาล, ไม่ว่าจะเล็กแค่ไหนเป็นระดับเซล หรือโมเลกุล อะตอม หรือเล็กลงไปอีกจนถึงระดับอนุภาคปรมาณูต่างๆอันเล็กกว่าเศษธุลี ก็ล้วนแต่เกิดจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น และเพราะสังขารเป็นไปดังนี้นี่เอง ตัวตนโดยแท้จริงของเขาทั้งปวงจึงล้วนไม่มี เพราะล้วนมิใช่เป็นสิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริง จึงย่อมมีความไม่สมบูรณ์แอบแฝงซ่อนเร้นอยู่ในตัวเอง เพียงแต่เกิดจากการประกอบกันขึ้นขององค์ประกอบย่อยๆ มาประกอบประชุมปรุงแต่งกันขึ้นมา ในชั่วขณะระยะหนึ่งๆ จึงยังให้เกิดคือเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสภาวะธรรมของ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นผลตามมาอีกด้วย, เหตุปัจจัย จึงกล่าวได้ว่า เป็นต้นกำเนิดแห่งธรรมนิยามหรือพระไตรลักษณ์ กล่าวคือเป็นฆนะคือกลุ่มก้อนหรือมวลรวมที่ปรุงแต่งกันขึ้นมาระยะหนึ่งๆเท่านั้น ล้วนย่อมยังมีความไม่สมบูรณ์ในตัวเองก็เพราะความที่มันไม่ใช่สิ่งๆเดียวกันอย่างแท้จริงนั่นเอง ดังแสดงข้างต้นเรื่องน้ำว่า ความจริงแล้วยังประกอบอยู่ด้วยทั้ง H และ O ตลอดจนแรงบีบคั้นที่แอบเร้นกระทำอยู่ จริงๆแล้วจึงมีสภาพที่เหตุต่างๆถูกปรุงแต่งจากแรงกระทำบางอย่างที่บีบคั้นอย่างแอบแฝงอยู่ ซึ่งไม่อาจเห็นได้ตามปกติธรรมดาๆแต่เห็นได้ด้วยญาณ(ปัญญา) หรือด้วยการพิสูจน์ตามหลักวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน, การถูกปรุงแต่งขึ้นเป็นสภาพที่ถูกกระทำหรือบีบคั้นด้วยแรงต่างๆให้เกิดขึ้น และแรงกระทำหรือแรงปรุงแต่งที่บีบคั้นอยู่เหล่านั้นก็ย่อมไม่เที่ยงด้วยเป็นสังขารอย่างหนึ่งอีกเช่นกัน ดังนั้นเมื่อแรงที่กระทำมีความแปรปรวนอ่อนแรงหรือหมดแรงกระทำคือหมดแรงของการปรุงแต่งแล้ว สังขารทั้งปวงที่ถูกร้อยรัดอยู่ด้วยแรงปรุงแต่งบีบคั้นอยู่จึงย่อมคลาย ย่อมคืนสู่สภาพเดิมๆ โดยธรรมหรือธรรมชาติ จึงเกิดแสดงอาการแปรปรวนต่างๆขึ้น ในขณะที่พยายามคืนสู่สภาพเดิมๆก่อนการปรุงแต่ง จึงเป็นผลให้เกิดสภาพธรรมที่เรียกว่า เกิดอาการอนิจจังไม่เที่ยง จึงมีการแปรปรวนขึ้นในสังขารต่างๆทั้งปวงเหล่านั้นตามมาล้วนสิ้นนั่นเอง และแม้แต่ตัวเหตุที่ทำให้เกิดของน้ำเอง คือทั้ง H และ O เหล่านี้ ซึ่งเป็นเพียงอะตอม หรือโมเลกุล ก็ยังประกอบมาแต่เหตุปัจจัยต่างๆอีกเช่นกัน ดังเช่นบรรดา โปรตรอน proton, นิวตรอน neutron อีกทั้งอิเลคตรอน electron, ที่เป็นพลังงานวิ่งวนเวียนแสดงให้เห็นอาการของความแปรปรวนอยู่ตลอดเวลาโดยวิ่งอยู่รอบๆของอะตอมบ้างก็มี ซึ่งแท้จริงคืออาการแปรปรวน(ชรา)คือมีการเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวแอบแฝงอยู่ตลอดเวลา จนถึงจุดหนึ่งๆที่แรงบีบคั้นถึงจุดเสื่อมจนคลายจนดับไปเป็นที่สุด เป็นสิ่งที่ปุถุชนเพิ่งค้นพบความรู้นี้กันในศตวรรษที่ ๒๐ นี้เอง แต่พระพุทธองค์ทรงรู้หลักพื้นฐานกฏเกณ์ของทุกๆสรรพสิ่ง คือสังขารทั้งปวงนั่นเองถึงขั้นปรมัตถ์กันมาตั้งแต่ ๒๕๐๐ กว่าปีมาแล้ว ดังภาพของอะตอมที่แสดง จะเห็น electron มีการหมุนเวียนแสดงอาการแปรปรวนไม่เที่ยง คือมีการเปลี่ยนแปลงแปรปรวนคือโดยมีการเคลื่อนที่วิ่งวนอยู่รอบๆนิวเคลียสอยู่ตลอดเวลา ถ้า electron หยุดแปรปรวนเคลื่อนไหวเมื่อใดก็ย่อมหมายถึงการคงสภาพเดิมไม่ได้ ถึงกาลแตกดับไปของ atom นั้นๆ เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสิ่งอื่นๆอีกต่อไป
เมื่อเกิดการอนิจจัง ไม่เที่ยง แปรปรวนขึ้นแล้ว หมายถึง ย่อมมีการแปรปรวนการเปลี่ยนแปลงในสังขารนั้นๆ จากแรงบีบคั้นที่เกิดดับๆปรุงแต่งอย่างแปรปรวนอยู่ตลอดเวลานั้น จนเมื่อแปรปรวนเปลี่ยนแปลงจนถึงจุดที่สุดแล้ว กล่าวคือ จนหมดแรงกระทำหรือหมดแรงบีบคั้นปรุงแต่งโดยสิ้นเชิงแล้ว ย่อมหมายความว่า สังขารที่แปรปรวนอยู่นั้นก็คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ ย่อมคืนสู่สภาพเดิมก่อนการปรุงแต่ง แม้ในขั้นแรกอาจจะไม่ใช่สภาพเดิมสุดก็ตามที สังขารทั้งปวงจึงย่อมหมดสภาพของความเป็นกลุ่ม เป็นก้อน เป็นมวลรวมหรือฆนะ ของการปรุงแต่ง คือเกิดการคลายแตกสลาย จนดับไปในที่สุดนั่นเอง ดังเช่น น้ำ H2O ก็กลับคืนสู่ H และ O, แม้รูปหรือรูปขันธ์ของเราท่าน ก็ย่อมคืนสู่ธาตุ ๔ ฯ กล่าวคือสังขารทั้งปวงจึงล้วนเป็นไปในลักษณาการดั่งนี้ล้วนสิ้น ไม่มีข้อยกเว้นใดๆให้กังขา
แม้แต่สิ่งที่เป็นอนุภาคต่างๆ ซึ่งเล็กเสียยิ่งกว่าอะตอมหรือปรมาณูลงไปอีกมากมายนัก เช่น แรงต่างๆ แสง เสียง คลื่นต่างๆ เช่นคลื่นลม คลื่นน้ำ คลื่นวิทยุ คลื่นเสียง คลื่นรังสีต่างๆ ตลอดจนพลังงานในรูปแบบต่างๆนาๆ แม้แต่พลังปรมาณู ก็ล้วนเป็นเพียงสังขารที่เกิดจากการมีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันและกันขึ้นทั้งสิ้น จึงล้วนไม่เที่ยง คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้จนสลายดับไปเป็นที่สุด เป็นอนัตตา, ลองนำพิจารณาด้วยถ้วนถี่ดู จริงหรือไม่ ถ้าไม่จริงแสดงว่าศาสนาเราเป็นของไม่แท้ แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมา ๒๕๐๐ ปี ยังไม่มีผู้ใดโต้แย้งได้เลย นอกจากพวกกล่าวตู่, ด้วยเหตุที่ธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นปรมัตถ์ และอกาลิโก จึงยืนยันความจริงมากว่า ๒๕๐๐ ปี และธรรมความจริงนี้ก็จักยืนยงไปตลอดกาลนานไม่ขึ้นอยู่กับเวลาใดๆ แม้แต่โลกนี้แตกดับสลายไปแล้วก็ตามที ด้วยเป็นอกาลิโกไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลาใดๆ
ดังนั้นสังขารทั้งปวงในสากลโลกนี้ ตั้งแต่มวลที่เล็กที่สุด จนถึงใหญ่ที่สุด แม้สุดขอบโลก สุดขอบจักรวาล ทั้งกี่แสนภพ กี่หมื่นจักรวาล ทั้งรูปธรรมและนามธรรม จึงล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยทั้งสิ้น ทั้งรูปธรรมและนามธรรม กล่าวคือ ไม่มีเหตุ-มาเป็นปัจจัยกัน-ก็ไม่เกิด และเมื่อมีเหตุ-มาเป็นปัจจัยกัน-ย่อมต้องเกิดขึ้น หรือหลักอิทัปปัจจยตาที่เป็นสภาวธรรมหรือธรรมชาติหรือที่เรียกว่าอสังขตธรรม จึงมีความเที่ยงแท้ และอกาลิโกคือเป็นจริงอยู่อย่างนี้ตลอดมาและตลอดไป สังขารทั้งปวงจึงเป็นดั่งที่ท่านกล่าวไว้ว่า
สังขารทั้งปวง เว้นจากเหตุปัจจัย มิได้มี
หรือกล่าวได้เลยว่า สังขารทั้งปวงทั้งหมดทั้งสิ้น ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยปรุงแต่ง, อันมีเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นแต่สิ่งนั้นไม่ใช่สังขาร คืออสังขตธรรม จึงอย่าสับสน, แท้จริงแล้วไม่ได้มีข้อยกเว้นใดๆด้วยเหตุเพราะที่"อสังขตธรรม"ไม่ใช่สังขาร เป็นเพียงสภาวะหรือสภาวธรรมหรือกฏธรรมชาติ คือยังไม่มีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นจริงๆ กล่าวคือ จึงไม่ใช่สังขารเพราะยังไม่มีการปรุงแต่งกันให้เกิดขึ้นเป็นสังขารนั่นเอง (จึงเพียงคงอยู่ใน รูปของกฏ หรือทฤษฎี หรือยังเป็นเพียงสภาวธรรมนั่นเอง), เหตุปัจจัยจึงครอบคลุมถึงอนุภาคน้อยใหญ่ เล็กยิ่งกว่าอะตอมไปจนกระทั่งใหญ่โตยิ่งกว่าโลก จึงทั้งจักรวาลทั้งปวงทั้งสิ้น แม้ชีวิตก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากเหตุปัจจัยทั้งสิ้น จึงส่งผลให้มีอนิจจังความไม่เที่ยง ทุกขังคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้จึงเป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนของมันเองจริง เพราะเป็นเพียงการเกิดขึ้นมาจากการประกอบกันขึ้นขององค์ประกอบย่อยๆมาประชุมเป็นเหตุปัจจัยกัน จึงขึ้นอยู่และเป็นไปตามเหตุที่มาเป็นปัจจัยกันนั้นตามหลักอิทัปปัจจยตา เมื่อไม่มีตัวตนแท้จริงจึงย่อมเข้าไปครอบครองเป็นเจ้าของไม่ได้ เมื่อครอบครองเป็นเจ้าของไม่ได้ แท้จริงจึงไม่อยู่ในอำนาจควบคุมบังคับบัญชาของใครๆ แม้แต่เรา จึงย่อมไม่ได้เป็นไปตามใจอยากคือปรารถนา แต่ถูกควบคุมหรือแปรปรวนเป็นไปตามเหตุที่มาเป็นปัจจัยที่มาประชุมกันเท่านั้นเอง เมื่อเป็นไปตามเหตุปัจจัย แต่ไม่ได้หมายความว่าให้"ปล่อยไปตามยถากรรมตามเหตุปัจจัยแต่ฝ่ายเดียว" เพราะสามารถแก้ไขหรือปรับปรุงที่เหตุอันมาเป็นปัจจัยที่สามารถปรับปรุงหรือแก้ไขได้บ้างให้ดีที่สุด แล้วจึงปล่อยวางได้ จึงเป็นการถูกต้อง เพราะย่อมไม่อาจเป็นไปตามใจปรารถนาได้เอง ไม่ใช่เกิดอะไรขึ้นก็ปล่อยวางโดยไม่ใช้ปัญญา อ้างว่าเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันกลายเป็นโมหะความหลงหรือความไม่รู้ในความเป็นจริงเสีย
รูปขันธ์หรือรูปกาย อันเป็นรูปธรรม ก็เกิดแต่เหตุปัจจัยของธาตุ ๔ หรือมหาภูตรูป
เวทนาขันธ์หรือเวทนา
แม้เป็นนามธรรม
ก็เกิดแต่เหตุต่างๆ(คือรูป, ตา, วิญญาณ, ผัสสะ, สัญญา)มาเป็นปัจจัยกัน จนเกิดการผัสสะ
จึงเกิดเวทนาความรู้สึกจาการเสวบอารมณ์ขึ้นมาได้ ถ้าไม่มีการผัสสะก็ไม่เกิดขึ้น ดังภาพ
|
|
สัญญาขันธ์หรือสัญญา
ความจำได้ อีกทั้งหมายรู้คือคิดอ่านหรือปรุงจิต จนเกิดสังขารขันธ์หรืออาการของจิตต่างๆขึ้น อันเป็นนามธรรม ก็เกิดแต่เหตุปัจจัยของหทัยวัตถุคือสมอง
อาศัยในรูปขันธ์ ร่วมด้วยเหตุปัจจัยแต่อดีต จึงจำได้ทั้งหมายรู้จากการเคยเกิดเคยเป็นหรือสั่งสมมาจากขันธ์
๕ แต่ในอดีต
สังขารขันธ์
หรือสภาพหรืออาการต่างๆของจิต หรืออารมณ์ต่างๆในทางโลก ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหนึ่งๆ
อันเป็นนามธรรม ที่ไปปรุงจิตให้เกิดการกระทำต่างๆ(สัญเจตนา)ได้ทั้งในทางดี
ชั่ว และกลางๆ, ได้ทั้งทางกาย วาจา และใจ ต่างก็ล้วนเกิดขึ้นมาแต่เหตุปัจจัยของขันธ์อื่นๆอีกทั้ง ๔
พร้อมทั้งเหตุอันได้แก่อายตนะภายนอกทั้ง ๖ ต่างๆคือ รูป รส กลิ่น เสียง
สัมผัส อีกทั้งธรรมารมณ์ทั้งหลายที่จรมากระทบ มาเป็นเหตุปัจจัยกันจึงเกิดขึ้นได้
วิญญาณขันธ์หรือวิญญาณ ความรู้แจ้งในอารมณ์หรือสิ่งที่มากระทบ
อันเป็นนามธรรม ก็เกิดแต่เหตุปัจจัยของการกระทบกันของอายตนะภายนอก๑
และภายใน๑ ที่ย่อมเกิดขึ้นในผู้มีชีวิต๑
ขาดแต่เหตุปัจจัยใด มิได้มี ดังภาพบนที่แสดงการเกิดขึ้นของจักขุวิญญาณ
เมื่อรูปกระทบกับตา ในผู้ที่ยังดำรงชีวิตอยู่
ในผู้ที่มีชีวิตอยู่เมื่อ
รูป ธรรมารมณ์ |
และสังขารขันธ์ อันเป็นผลของการเกิดแต่เหตุปัจจัยของกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ แล้วยังดำเนินไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัญเจตนา แม้กระทั่งอุปาทาน(ถ้าสังขารขันธ์นั้นเป็นตัณหา) และยังดำเนินต่อไปให้เกิดกรรม(การกระทำ)ต่างๆขึ้นเนื่องต่อมา คือสังขารขันธ์นั้นไปปรุงจิตให้เกิดเจตนา(สัญเจตนา)หรือคิดอ่านกระทำได้ทั้งดี ชั่ว และกลางๆ ทั้งทางกาย วาจา ใจ
ชีวิตหรือมนุษย์ที่เห็น อันเป็นรูปธรรม ก็เกิดแต่เหตุปัจจัยของขันธ์ทั้ง ๕
แม้ดวงชะตาของชีวิตของสัตว์ทั้งหลาย แท้จริงแล้วก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย คือเป็นไปตามกรรม(วิบากกรรม)
อะตอม เพียงอะตอมหนึ่งก็เกิดแต่เหตุปัจจัย ของโปรตอน นิวตรอน นิวเคลีส และอิเลคตรอน แรงบีบคั้นต่าง ฯ. มาประกอบเป็นปัจจัยแก่กันและกันทั้งสิ้น
โมเลกุล เพียงโมเลกุลหนึ่ง ก็เกิดแต่เหตุ คืออะตอมต่างๆ มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันหรือประกอบกัน เป็นปัจจัยแก่กันและกัน จนเกิดเป็นโมเลกุล
อวัยวะ น้อยใหญ่ ก็เกิดจากการรวมตัวปรุงแต่งกันของเหตุ คือโมเลกุลต่างๆเป็นปัจจัยกัน จนเป็นกลุ่มก้อน(ฆนะ) มวลรวมของอวัยวะน้อยใหญ่ต่างๆ
กล่าวคือ สังขารทั้งปวงนั่นเอง คราวนี้ลองพิจารณาดูด้วยตัวตนเองบ้างว่า มีสังขาร(สังขตธรรม)ใดบ้างที่มิได้เกิดแต่เหตุปัจจัย? แม้สิ่งหนึ่ง! เพราะถ้ามีได้แม้เพียงสิ่งหนึ่งแล้วไซร้ ก็ถือได้ว่าพุทธศาสนาเป็นของไม่แท้จริงได้ทีเดียว คือย่อมไม่ใช่ปรมัตถธรรมอันสูงสุดอีกต่อไป, ดังนั้นจึงพึงพิจารณาโดยละเอียดและแยบคาย ก่อนมีการกล่าวตู่ใดๆ ให้เป็นบาปแก่ตนเอง
ความทุกข์ อันเป็นนามธรรม ก็ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย คือเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุปัจจัยตามวงจรการเกิดขึ้นของทุกข์"ปฏิจจสมุปบาท" เป็นไปตามกรรม จึงยิ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องเรียนรู้ยิ่ง เพื่อเป็นหนทางเป็นไปเพื่อการนำเอาไปดับทุกข์ อันเป็นสุข ที่สงบ สะอาด บริสุทธิ์
เงา อันเป็นรูปธรรม ก็ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยของ แสง วัตถุทึบแสง และพื้นที่รับแสง ฯ. (รายละเอียดอยู่ในเรื่อง จิต คืออะไร?)
จิต อันเป็นนามธรรม ก็ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย ที่ย่อมเกิดขึ้นจากการกระทบกันของอายตนะภายใน และภายนอก ในผู้มีชีวิตอยู่ (อยู่ในเรื่อง "จิต คืออะไร?" เช่นกัน)
ฝน อันเป็นรูปธรรม ก็ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยต่างๆปรุงแต่งกันขึ้น ดังเช่น แหล่งน้ำ ความร้อนต่างๆ การระเหย ฝุ่นละออง ความแตกต่างของอุณหภูมิ การรวมตัวต่างๆ การควบกลั่น อีกทั้งแรงดึงดูดของโลก ฯลฯ., ที่เป็นเหตุปัจจัยกันจนควบกลั่นกลายเป็นน้ำ ตกลงมาที่เรียกกันว่าฝน, ส่วนฝน ที่หมายถึงฝ่ายนามธรรม หรืออสังขตธรรม คือยังไม่ใช่สังขาร คือยังไม่ได้เป็นสังขารคือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น ก็เป็นเพียงสภาวธรรมที่"จะ"ทำให้เกิดฝนขึ้น แต่ยังไม่มีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยกันให้เกิดเป็นสังขารเป็นมวลเป็นกลุ่มก้อน(ฆนะ)ขึ้นจริง จึงไม่มีตัวตนหรือมวลชนิดรูปธรรมดังสังขารฝนที่ตกลงมาให้สัมผัสไดข้างต้น จึงเป็นเพียง"อสังขตธรรม" ไม่ใช่สังขาร เป็นอสังขาร แม้มีความเที่ยง ไม่ทุกขังดับไปคือคงสภาพตามธรรมเยี่ยงนี้ได้ตลอดไป แต่ก็เป็นอนัตตาคือไม่มีตัวตนจริงเกิดขึ้นดังกล่าว และเป็นอกาลิโก หมายความว่าไม่ว่าอีกกี่หมื่น กี่ล้านปี กี่ภพชาติก็ตามที จนไม่ขึ้นกับกาลเวลาใดๆ ตราบใดก็ตามที่ยังมีเหตุดังกล่าวข้างต้น มาเป็นปัจจัยกันได้ดังกล่าวข้างต้นได้ ตราบใดตราบนั้นก็จะยังคงมีฝนที่จะเกิดขึ้นตามธรรมหรือสภาวธรรมเช่นนี้ไปตลอดกาลนาน จึงกล่าวว่า มีความเที่ยง ไม่ทุกขังดับไป แต่ย่อมเป็นอนัตตาด้วยไม่มีตัวตนหรือมวลใดๆ เพราะย่อมยังไม่เกิดการเป็นเหตุปัจจัยปรุงแต่งกันขึ้นดังกล่าวจริง
ด้วยเหตุดังนี้พระองค์จึงตรัสไว้ว่า "สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง สังขารท้ังปวงคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้จึงเป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา" ดังพระสูตร"อุปปาทสูตร"ที่ตรัสยืนยันไว้ด้วยพระองค์เองว่า "เราตถาคตอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติขึ้นก็ตาม ธรรมก็เป็นเช่นนี้เองเป็นธรรมดา"
แรงลมพัด
เกิดแต่เหตุ คือแสงแดด
ความร้อน
อากาศร้อนจึงลอยตัว
อากาศเย็นจึงไหลเข้าแทนที่ ฯ. มาเป็นปัจจัยต่อกันและกัน
จึงเกิดลมขึ้น
คลื่นเสียง ก็เกิดจากเหตุปัจจัยของการสั่นสะเทือนของเหตุ คือวัตถุต่างๆ ผ่านการสั่นสะเทือนของอากาศ
การแผ่อนุภาครังสี เกิดจากเหตุ คือธาตุต่างๆอันเป็นเหตุถูกกระทำจนมีการแตกตัวของอะตอม(Nuclear Fission) จึงเป็นปัจจัยให้เกิดการแปรรูปเป็นพลังงานรังสีต่างๆขึ้นได้, หรือธาตุต่างๆเป็นเหตุ เป็นปัจจัยกันบีบคั้นให้เกิดวัตถุธาตุอื่นขึ้น ดั่งพลังงานจากการ Fusion ของอะตอมไฮโดรเจน & ฮีเลียม อีกทั้งแรงกระทำบีบคั้นด้วยความร้อนมหาศาลจนเกิดการรวมตัวกันจนแปรไปเป็นธาตุที่หนักขึ้น พร้อมทั้งปลดปล่อยพลังงานมหาศาลยิ่งกว่าพลังงานนิวเคลียร์เสียอีก (Nuclear Fission), แม้แต่ตามกฏฟิสิกส์ก็ตาม ที่กล่าวเกี่ยวกับกฏของพลังงานไว้ว่า พลังงานไม่สูญหายไปไหน แต่แปรรูปหรือแปรปรวนระหว่างพลังงานและวัตถุ ก็ล้วนแต่เกิดจากมีเหตุปัจจัยต่างๆจึงเกิดการแปรปรวนจึงเปลี่ยนแปลงกันคือไม่เที่ยง คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ แท้จริงก็คือการมีเหตุปัจจัยทำให้มีการเกิดขึ้นและการดับไปของแต่ละสถานะภาพนั่นเอง จึงถูกต้อง, ดังนั้นพลังงานทั้งหลายที่เมื่อเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย ย่อมมีการแปรปรวนเช่น เบาลง แรงขึ้น แม้การแปรปรวนทั้งเปลี่ยนรูปไปมา ฯ. เมื่อมีการแปรปรวนไม่เที่ยง จึงต้องมีทุกขังการดับสลายคลายดับไป(แม้เปลี่ยนเป็นสิ่งอื่นด้วยไม่มีตัวตนของมันเองจริง)เป็นที่สุดเช่นกัน จึงล้วนยืนยันตัวเองทั้งสิ้นว่าเป็นเพียงสังขารอย่างหนึ่งทั้งสิ้น แม้อนุภาคอันแสนเล็กน้อยก็เป็นสังขารจึงล้วนเป็นไปดังที่พระองค์ท่านได้ตรัสไว้ทั้งสิ้น จึงกล่าวว่าธรรมของพระองค์ท่านเป็นปรมัตถ์ และอกาลิโก คือจะนานตราบนานเท่าใดก็ตามที กี่ร้อยภพ กี่ร้อยจักรวาล ตราบใดที่ยังมีเหตุ มาเป็นปัจจัยกันได้ดังกล่าว ก็จะคงความเป็นจริงไปเช่นนี้เองไปตลอดกาลนาน
โลก พระอาทิตย์ พระจันทร์ ดวงดาวต่างๆ ฯ. ก็ล้วนแต่เกิดจากเหตุปัจจัย เป็นกลุ่มก้อนมวลรวมปรุงแต่งของธาตุต่างๆ หรือกลุ่มก๊าซต่างๆ ฯลฯ.
จึงกล่าวได้ว่า "เหตุปัจจัย" นี้นี่เอง จึงเป็นปฐมบทอันสำคัญยิ่ง ทั้งของจักรวาล ทั้งโลก และทั้งธรรมทีเดียว
"เว้นแต่เหตุปัจจัยเสียแล้ว มิได้มี"
และอีกทั้งถือได้ว่าเป็นปฐมบทแห่งธรรม อิทัปปัจจยตา อันนับได้ว่าเป็นต้นกำเนิดของธรรมในพุทธศาสนาทีเดียว ที่ว่า
"เพราะเหตุ(ปัจจัย)นี้มี ผลนี้จึงมี
เพราะเหตุ(ปัจจัย)นี้ดับ ผลนี้จึงดับ"
อีกทั้งปฏิจจสมุปบาท ที่แสดงความเป็นเหตุปัจจัยกันจนเกิดทุกข์และดับทุกข์
ที่พระองค์ท่านทรงตรัสรู้
เหตุปัจจัยจึงเป็นดังที่"พระอัสสชิ"กล่าวแก่"พระสารีบุตร" จนทำให้พระสารีบุตร ดวงตาเห็นธรรม จนออกบวช ที่ว่า
ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวว่า ธรรมของพระองค์เป็นปรมัตถ์ และอกาลิโก ขั้นสูงสุดจริงๆ
ด้วยเหตุดังนี้จึงควรพิจารณาให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง เพราะเป็นพื้นฐานและกำลังปัญญาอันสำคัญยิ่งในการเจริญธรรมต่างๆในพุทธศาสนา ที่ล้วนต้องเกี่ยวข้องพัวพันกับเหตุปัจจัยทั้งสิ้น เพราะทุกสรรพสิ่งที่เป็นสังขารหรือสังขตธรรม ล้วนเป็นสิ่งที่ถูกปรุงแต่งจากเหตุปัจจัยขึ้นทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนามธรรม หรือรูปธรรมต่างล้วนเป็นไปดังนี้ทั้งสิ้น ไม่มียกเว้นใดๆทั้งสิ้นแม้เพียงสิ่งหนึ่ง พึงนำไปพิจารณาด้วยตนเองในทุกๆสรรพสิ่งหรือสังขารทั้งปวงว่าเป็นจริงดั่งนี้หรือไม่ จนเกิดความเข้าใจ แน่ใจ อย่างมั่นคง ไม่คลอนแคลนด้วยวิจิกิจฉาอีกต่อไป เพราะมีประโยชน์ให้เจริญธรรมต่อไปในภาคหน้าอย่างที่สุด
ด้วยความที่สังขารทั้งปวง
เกิดแต่เหตุปัจจัย จึงทำให้เกิดสภาวธรรมของ"ธรรมนิยาม"หรือ"พระไตรลักษณ์"ขึ้น
คือ ความไม่เที่ยง๑ เป็นทุกข์เพราะคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้๑ ด้วยเป็นอนัตตาเพราะเกิดจากเหตุปัจจัย๑
จึงไม่มีตัวมีตนของมันเองจริง ให้ใครๆแม้เรา
เข้าไปครอบครองยึดเป็นเจ้าของ เมื่อครอบครองมันไม่ได้จึงย่อมควบคุมบังคับมันไม่ได้ตามใจปรารถนา, จึงย่อมไม่สามารถไปสั่งไปนึกให้เป็นไปตามใจปรารถนาของตนได้
จึงพากันเป็นทุกข์กันขึ้นเมื่อไม่เป็นไปตามใจปรารถนาด้วยตัณหาและทิฏฐินั่นเอง
เพราะะเขาทั้งหลายล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุปัจจัยเท่านั้น
เพียงแต่บางครั้งไปตรงกับใจปรารถนาจึงเกิดการไปยึดไปเชื่อ(ทิฏฐุปาทาน)ว่าเป็นเรา
เป็นของเรา เราควบคุมบังคับเขาได้ อย่างจริงจังแท้จริงขึ้น จึงเป็นการอบรมสั่งสมให้งมงายโดยไม่รู้ตัวมาตั้งแต่เกิดอันเป็นธรรม(ชาติ)ของชีวิต,
หรือการไปสั่งให้รูปขันธ์คือร่างกายทำการงานต่างๆได้ดังใจ จึงเกิดความเข้าใจผิดมานมนานโดยไม่รู้ตัวว่า
รูปขันธ์หรือชีวิตเป็นของเรา แต่ตามความจริงแล้วเป็นเพียงแค่กริยาคือการกระทำ(กรรมชนิดกายกรรมอย่างหนึ่งเท่านั้น)ขึ้น
จากการเป็นเหตุปัจจัยกันของขันธ์ทั้ง
๕ หรือชีวิตเท่านั้นเอง ที่ยังให้เกิดสังขารขันธ์ แล้วจึงไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสัญเจตนา(เจตนา)
จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดกรรมคือการกระทำต่างๆขึ้น, แต่สภาวธรรมของสังขารทั้งปวงทั้งขันธ์ ๕ หรือชีวิตแท้จริงยังคงเป็นไปเช่นนั้นเองตามกฏ"พระไตรลักษณ์"
คือไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เมื่อเข้าใจหรือเกิดปัญญาญาณใน"เหตุปัจจัย"(ปัจจัยปริคคหญาณ) จะเป็นปัจจัยเครื่องสนับสนุน คือเป็นเหตุปัจจัยอีกนั่นแหละให้เกิดปัญญามีความเข้าใจจนละสังโยชน์ต่างๆลงไปได้ ดังเข่น สักกายทิฏฐิ ว่าสังขารทั้งหลาย แม้แต่กายตน อีกทั้งชีวิตตน ล้วนแต่ไม่มีตัวตนของมันเองจริง สักว่าเกิดแต่เหตุปัจจัยเช่นกัน จึงไม่เที่ยง ทุกขังเป็นทุกข์เพราะความที่คงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตาจึงไม่มีตัวตนของมันเองจริงๆ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เข้าใจธรรมต่างๆจนลดละวิจิกิจฉา เพราะรู้ในความจริงที่ถูกต้องจึงย่อมสิ้นความสงสัย อีกทั้งเมื่อเข้าใจแจ่มแจ้งจักลดละในสีลัพพตปรามาส ด้วยเข้าใจดีแล้วว่า ต้องทำเหตุอันใดแน่จึงดับทุกข์ลงไปได้ และเหตุอันใดจึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดปัญญาดับทุกข์ จึงละทิ้งความยึดมั่นในศีลและพรต(ข้อบังคับ,ข้อปฏิบัติ)ที่เป็นไปอย่างงมงายนั้นลงไปได้ ด้วยเหตุดังนี้เมื่อเข้าใจในเหตุปัจจัยอย่างแจ่มแจ้งดีแล้ว พระอรรถกถาจารย์ท่านจึงจัดไว้ว่า บุคคลนั้นเป็น"จูฬโสดาบัน" หรือ"พระโสดาบันน้อย" คือมีความพร้อมที่จะก้าวหน้าไปเป็นพระอริยะบุคคลระดับโสดาบันได้นั่นเอง, เพราะสังโยขน์ทั้ง ๓ อันจัดอยู่ในสังโยชน์ ๑๐ คือธรรมหรือสิ่งที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ จึงสามารถละสังโยขน์ทั้ง ๓ ได้เป็นอย่างดีเป็นผลตามมาอีกด้วย จนสามารถเข้าสู่อริยบุคคล ด้วยการละสังโยชน์ทั้ง ๓ ข้อแรกได้ ที่พระองค์ท่านทรงตรัสไว้ว่า "เขาผู้นั้นเป็นผู้ไม่มีความตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันตรัสรู้ในเบื้องหน้า" ด้วยมีปัญญาเป็นเครื่องตรัสรู้ดี เป็นที่ไปในเบื้องหน้า ดังที่ตรัสแสดงใน สัมปสาทนียสูตร (หัวข้อที่ ๘๕)
|
สัมปสาทนียสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๓ ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ................[๘๕] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ยังมีอีกข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นธรรมที่เยี่ยม คือ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงธรรมในฝ่ายอนุสาสนวิธี อนุสาสนวิธี ๔ อย่างเหล่านี้ คือ ๑. พระผู้มีพระภาคย่อมทรงทราบบุคคลอื่น ด้วยมนสิการโดยชอบเฉพาะพระองค์ว่า บุคคลนี้ เมื่อปฏิบัติตามที่สั่งสอน จักเป็นพระโสดาบัน มีอันไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา เป็นผู้เที่ยง มีอันจะตรัสรู้ในเบื้องหน้า เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป ฯ. |
|
จึงกล่าวได้ว่า ถ้าขาดเสียซึ่งความเข้าใจในเหตุปัจจัย(ปัจจัยปริคคหญาณ)เสียแล้ว ย่อมไม่สามารถเจริญธรรมในแนวทางพุทธศาสนาให้ก้าวหน้าได้อย่างถูกต้อง อีกทั้งย่อมไม่สามารถเข้าใจปฏิจจสมุปบาทธรรมอันเป็นเหตุให้พระองค์ท่านตรัสรู้ และอิทัปปัจจยตาได้อย่างถูกต้อง เพราะล้วนเกี่ยวข้องพัวพันกับเหตุปัจจัยด้วยกันทั้งสิ้น
สิ่งใดเกิดแต่เหตุปัจจัย สิ่งนั้นเป็นสังขาร ย่อมอยู่ภายใต้กฏธรรมนิยามหรือพระไตรลักษณ์ที่ว่า อนิจจัง-ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา๑, ทุกขัง-เป็นทุกข์เพราะคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ หรือทนร่วมอยู่ด้วยได้ยากลำบากใจ จนกว่าจะดับไป ๑, เป็นอนัตตา-ไม่มีตัวตนของมันเองจริง เพราะตัวตนที่ผัสสะได้นั้นๆล้วนเกิดจากเหตุปัจจัยต่างๆหรือองค์ประกอบย่อยมารวมกัน ๑