การปฏิบัติวิปัสสนา

   การโยนิโสมนสิการ

        วิปัสสนา  มาจากคำว่า วิ - วิเศษ, พิเศษ + ปัสสนา - การเห็น,ความเข้าใจ   จึงมีความหมายว่า การเห็นหรือการเข้าใจอย่างวิเศษ  คือการเห็นแจ้งอันหมายถึงเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งตามความจริงในธรรมคือสภาวธรรมหรือธรรมชาติ โดยเฉพาะในเรื่องของทุกข์และเพื่อการไปใช้ดับทุกข์  คือเห็นตรงต่อความเป็นจริงของสภาวธรรม  ไม่ใช่การเห็นเป็นไปตามความเชื่ออันคือทิฏฐิ หรือทฤษฎี หรือความชอบของตัวตน หรือตามคำสอน,บอกกล่าวด้วยอธิโมกข์ ;  ปัญญาที่เห็นไตรลักษณ์อันให้ถอนความหลงผิด รู้ผิด ในสังขารเสียได้;  การฝึกอบรมปัญญาให้เกิดความเห็นแจ้ง รู้ชัด ภาวะของสิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นของมันเอง(สภาวธรรมหรือธรรมชาติ)   ดังนั้นการปฏิบัติวิปัสสนาจึงหมายถึงการปฏิบัติเพื่อให้เกิดปัญญาหรือความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องตามความเป็นจริงแห่งธรรมหรือเข้าใจในธรรมชาติของจิต ในการก่อให้เกิดขึ้นแห่งทุกข์ ก็เพื่อการดับไปแห่งทุกข์  ให้เกิดความเข้าใจอย่างถูกต้องตามความเป็นจริงขั้นปรมัตถ์(ตามความเป็นจริงขั้นสูงสุด) เพื่อใช้ไปในการปฏิบัติเพื่อการดับทุกข์ อันเป็นสุขอย่างยิ่งนั่นเอง

        การวิปัสสนาจึงสามารถทำเมื่อใดก็ได้ เมื่อสงบระงับจากการดำริพล่านคือความคิดฟุ้งซ่านหรือคิดนึกปรุงแต่ง  แต่เมื่อไม่สามารถสงบระงับจากการดำริพล่านได้ ก็จำต้องใช้สมถสมาธิเข้าไปช่วยให้สงบระงับลงไปเสียก่อน แล้วดำเนินการเจริญวิปัสสนาต่อไป คือหยิบยกข้อธรรมขึ้นมาพิจารณาอย่างใช้ความคิดพิจารณา โดยแยบคายอย่างหาเหตุหาผล หรือเหตุปัจจัย  จึงไม่ใช่หมายถึงการบริกรรมท่องบ่น

        อันจักเกิดได้ด้วยการภาวนา อันคือการพิจารณาในธรรมต่างๆที่บังเกิดขึ้นแก่จิต หรือถูกจริตแห่งตน โดยแยบคาย(อย่างชาญฉลาด) เป็นประจําแทบทุกขณะจิตที่มีโอกาสหรือแทบจะกล่าวได้ว่าทุกลมหายใจเข้าออก ด้วยความเพียร มานะ อันเป็นสิ่งจําเป็นอย่างยิ่งยวดในการบรรลุถึงธรรม  เหมือนดังพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ในมรณัสสติสูตร  ซึ่งได้อุปมาเรื่องความเพียรไว้ดังนี้  ให้มีความเพียรพยายาม ดุจดั่งเธอเพียรพยายามอย่างยิ่งในการดับไฟที่กําลังไหม้ศีรษะหรือกําลังไหม้ผ้าโพกศีรษะที่เธอกําลังสวมใส่อยู่   หรือดังที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล กล่าวไว้ว่า "ถ้ามีเวลาสําหรับหายใจ ก็ต้องมีเวลาสําหรับภาวนา"(อตุโล ไม่มีใดเทียม หน้า๔๖๑)  กล่าวคือปฏิบัติในชีวิตประจําวันทั่วๆไปนั่นเอง อันได้แก่ เห็นเวทนา(ความรู้สึก)หรือจิต(ความคิด)ในชีวิตประจําวันที่เกิดขึ้น นั่นแหละเป็นการปฏิบัติตามแนวทางของปฏิจจสมุปบาท หรือสติปัฏฐานนั่นเองคือเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนา(เห็นเวทนาความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากการผัสสะ  และเห็นจิตหรือจิตสังขารอันคือ ความคิด ความนึก)

        เหตุที่การภาวนา(ไม่ได้หมายถึงการการบริกรรมท่องบ่น นั่นเป็นอุบายวิธีในการรวมจิตให้ตั้งมั่นไม่ซัดส่ายอันเป็นสมถสมาธิ) โดยการพิจารณาธรรมนั้น(ธรรมะวิจยะโดยการโยนิโสมนสิการ)นั้นเป็นสิ่งจําเป็นจนเรียกว่าขาดไม่ได้อย่างเด็ดขาดนั้น ก็เพราะการที่จิตวนเวียนพิจารณาอยู่ในธรรมทุกขณะจิตที่มีโอกาส หรือมีสติ หรือทุกลมหายใจนั้น(แยกแยะให้ดีไม่ใช่ฟุ้งซ่าน) เป็นการส่งเสริมให้เกิดสัมมาปัญญาให้พ้นทุกข์ขึ้นทีละเล็กทีละน้อยทุกขณะจิตโดยไม่รู้ตัว(ทํางานคล้ายๆการเกิดของอาสวะกิเลส-อ่านรายละเอียดในปฏิจจสมุปบาท)  ในขณะเดียวกันนั้นเองจักทําให้จิตฟุ้งซ่านคือจิตที่ซัดส่าย สอดแส่ไคิดนึกปรุงแต่งต่อสิ่งรอบกายหรือในกาย(ความคิด)ที่กระทบสัมผัส อันก่อให้เกิดทุกข์อยู่ทุกขณะจิตโดยไม่รู้ตัวเช่นกันนั้นมีหน้าที่อันควร ตลอดจนนุ่มนวลควรแก่การใช้งาน และหยุดการส่งจิตออกไปคิดนึกปรุงแต่งต่างๆ ทําให้จิตในขณะนั้นเองขาดจากตัณหาและอุปาทาน อันย่อมไม่มีความทุกข์ใดๆเกิดขึ้น ณ ขณะจิตนั้น  อันย่อมยังให้จิตมีกําลังแห่งจิตเกิดขึ้นและเป็นกําลังของจิตชนิดที่ขาดการครอบงําทั้งจากกิเลสตัณหาและอุปาทาน จึงทําให้เข้าใจสภาวะธรรมหรือธรรมชาติหรือสิ่งต่างๆได้ดียิ่งขึ้นไปอีก ทีละเล็กทีละน้อย  ซึ่งเมื่อเราปฏิบัติหรือภาวนาเช่นนี้เป็นประจําสมํ่าเสมอ ปัญญาญาณหรือสัมมาญาณอันนําพาให้พ้นทุกข์ก็จักบังเกิดขึ้น จน ณ.ขณะจิตหนึ่งจะเกิดอาการดังเช่น  อ๋อ มันเป็นเช่นนี้เอง พร้อมความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในธรรมนั้นๆ  การปฏิบัติเยี่ยงนี้ความจริงแล้วก็คือ ธรรมานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ นั่นเอง

         อันสิ่งที่เรารู้ เราเห็นด้วยใจหรือความเข้าใจอย่างถูกต้องแท้จริงอย่างถึงแก่นถึงแกน หรือที่ผู้เขียนมักกล่าวบ่อยๆว่าเข้าใจถึงใจแล้ว ย่อมยังประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ผู้ปฏิบัติในที่สุด

         ธรรมะของพระพุทธองค์ท่าน ล้วนแล้วแต่เพื่อปฏิบัติให้เกิดปัญญา(สัมมาญาณอันเป็นมรรคองค์ที่ ๙ ในสัมมัตตะ ๑๐)ในการพ้นทุกข์ ตลอดจนให้เกิดนิพพิทา ความเบื่อหน่าย คลายกําหนัด(ความชื่นชม,ความยินดี)จากการไปรู้ตามความเป็นจริง ในสิ่งต่างๆที่ยึด ที่หลงใหล  อันเป็นหนทางแห่งการหลุดพ้นจากทุกข์หรืออุปาทานทุกข์ทั้งสิ้น

         ส่วนการนั่งปฏิบัติในรูปแแบบ ให้มีสติอย่าปล่อยให้เลื่อนไหลลงสู่สมาธิที่ลึกเกินไป ผ่อนคลายกายและใจ อย่าเกร็งหรือกดข่ม เมื่อใช้สติดูลมหายใจหรือบริกรรมเช่นพุทธโธ จิตอาจส่งออกนอกไปคิดนึกปรุงแต่ง คิดนั่น คิดนี่ หงุดหงิด เห็นนั่น เห็นนี่ (นิมิต หรืออาจเป็นสังขารในปฏิจจสมุปบาทที่ผุดขึ้นมานั่นเอง) อันเป็นธรรมดาที่ต้องเกิด แต่นักปฏิบัติจะหงุดหงิดใจ, จงอย่าหงุดหงิด จงดีใจที่ได้เห็น แต่ต้องรู้ว่านั่นแหละจิตสังขาร เป็นความคิดความนึกที่อยู่ในจิตที่ได้สั่งสมอบรมไว้, แต่อย่าตาม ให้มีสติละเสีย(หยุดการคิดต่อเนื่องติดพันไป-ปรุงแต่ง) อันเป็นการได้ปฏิบัติจิตตานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔ แล้ว คือเห็นจิตในจิตหรือเห็นคิดหรือเจตสิกนั่นเอง,  หรือเมื่อปวดเมื่อยก็ให้รู้ว่านั่นแหละเวทนา(ทุกขเวทนา) ก็ให้มีสติรู้ว่าเป็นเพียงการรับรู้ความรู้สึกต่อกาย เมื่อรู้แล้วก็ละเสีย(หยุดคิดปรุงแต่ง) อันเป็นเวทนานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔,   หรือข้อธรรมใดบังเกิดต่อจิต ก็ให้พิจารณาธรรมนั้นๆเพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจอันมีกําลังของสมาธิเป็นเครื่องช่วย อันเป็นธรรมานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔,   หรือพิจารณากาย ว่าเป็นเพียงธาตุ ๔, สิ่งปฏิกูล....เพื่อให้เบื่อหน่ายคลายกําหนัดในกายแห่งตนและบุคคลอื่น อันเป็นการปฏิบัติกายานุปัสสนาในสติปัฏฐาน ๔  แม้แต่การมีสติในลมหายใจนั้นพระองค์ท่านจัดลมหายใจว่าเป็นกายสังขารอย่างหนึ่ง อันเกิดแต่การปรุงแต่งของกายขึ้นนั่นเอง จึงจัดเป็นกายานุปัสสนาอย่างหนึ่งเช่นกัน,  อย่างนี้เป็นการปฏิบัติสมถวิปัสสนาหรือเจริญวิปัสสนา อย่างถูกต้องดีงาม กล่าวคือนําสมาธิหรือฌานไปเป็นกําลังหลักในการสนับสนุนการปฏิบัติวิปัสสนา

         ข้อสําคัญที่สุดในการปฏิบัติสมาธิคือ เมื่อจิตหยุดการซัดส่าย เป็นสมาธิตั้งมั่นได้แล้วอาจจะเกิดอาการหรืออารมณ์ขององค์ฌานต่างๆขึ้น เช่น ปีติ สุข เอกัคคตารมณ์ อุเบกขา อันล้วนเป็นสุขเวทนาและสังขารขันธ์อันน่าอภิรมณ์  อันจะต้องเกิดขึ้นอย่างแน่นอนเป็นธรรมดาเพราะสภาวะธรรมหรือสภาวธรรมชาติเป็นเช่นนั้นเอง  เป็นที่พักผ่อนและให้กําลังแห่งจิตอันมีคุณประโยชน์อย่างยิ่ง, แต่อย่าไปหลงยึดติดเพลินเข้าไปอย่างเด็ดขาด  เกิดขึ้นเป็นธรรมดาเพราะอาการเหล่านี้เป็นอาการธรรมชาติของจิตที่เกิดขึ้นเมื่อเป็นจิตสมาธิ ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์แต่อย่างใดทั้งสิ้น เพราะถ้าหลงไปยึดหรือเสพเสวยอย่างติดเพลินซึ่งจะเกิดขึ้นโดยไม่รู้ตัวด้วยความไม่รู้(อวิชชา) จักทําให้เกิดวิปัสสนูปกิเลส อันคือเกิดอาการติดปีติ หรือสุข หรืออุเบกขา อันล้วนเป็นอุปสรรคหรือนําผลร้ายมาสู่นักปฏิบัติ,  ขอให้ทําความเข้าใจด้วยใจที่หนักแน่นว่า นั่นเป็นอาการธรรมชาติธรรมดาๆของจิต อย่าไปคิดนึกปรุงแต่งหรือเชื่อตามที่เขาเล่าลือหรือถ่ายทอดกันมาอย่างชนิดงมงาย  จงพิจารณาให้เห็นด้วยตนเองเท่านั้น เพราะไม่ใช่หนทางแห่งการพ้นทุกข์ (และยังก่อปัญหาต่างๆตามมาอย่างรุนแรงชนิดคาดไม่ถึง โดยเฉพาะนักปฏิบัติที่มุ่งหวังในสิ่งอื่นๆซ่อนเร้นอยู่ในจิตอันไม่ใช่การดับทุกข์อย่างแท้จริง),  แต่ให้ปฏิบัติโดยการใช้สมาธินั้นเป็นบาทฐานหรือขั้นบันได อันเป็นสิ่งสําคัญยิ่งและจําเป็นยิ่งในการปฏิบัติวิปัสสนาเพื่อให้จิตที่ซัดส่าย สอดแส่ และเป็นทุกข์ให้สงบลง อันก่อให้เกิดกําลังแห่งจิต เพื่อใช้เป็นฐานกําลังสําคัญในการพิจารณาธรรม(วิปัสสนา)  เพื่อให้เกิดปัญญาญาณ(สัมมาญาณ)ความรู้ความเข้าใจอันเป็นปัจจัยให้เกิดสัมมาวิมุตติ(สุขจากการหลุดพ้น) อันเป็นมรรคองค์ที่ ๑๐ ของเหล่าอริยเจ้า (อ่านมรรคองค์๑๐ในอริยสัจ)

         และบางท่านอาจเข้าใจว่าถ้าปฏิบัติสมาธิดีแล้วหรือกล้าแกร่งแล้ว ปัญญาจักเกิดขึ้นเอง  ลองพิจารณาเหล่าโยคีในอินเดียแม้ในปัจจุบันนี้ ท่านเหล่านี้ล้วนแล้วแต่มีสมาธิหรือพลังสมาธิอันกล้าแข็งเหนือบุคคลธรรมดาจนสามารถแสดงบางสิ่งที่เหนือปุถุชนทั่วไป แต่ท่านเหล่านี้ไม่ได้เป็นอริยเจ้าในทางพุทธศาสนาเลย กล่าวคือไม่พ้นทุกข์อย่างแท้จริง เป็นการปฏิบัติแบบสีลัพพตปรามาส-ยึดมั่นถือมั่นในศีลหรือวัตรปฏิบัติอย่างงมงายหรือไม่รู้ตามความเป็นจริงนั่นเอง อันเป็นการทรมานตนเองเพื่อให้หลุดพ้นหรือเพื่อสวรรค์อย่างผิดๆโดยอาศัยฤทธิ์ของสมาธิหรือฌานเท่านั้น อันยังเป็นเพียงวิกขัมภนวิมุตติ

         การปฎิบัติสมถะแต่อย่างเดียวโดยขาดการพิจารณาในธรรมอย่างจริงจัง(วิปัสสนา - วิ = วิเศษ,พิเศษ ; ปัสสนา=การเห็น) เป็นหนทางอันนําไปสู่การเกิดวิปัสสนูปกิเลสโดยไม่รู้ตัว  อันเกิดขึ้นเป็นธรรมดากับนักปฏิบัติ(เป็นสภาวธรรมชาติอันยิ่งใหญ่อย่างหนึ่ง)

bar01c.gif

 

โยนิโสมนสิการ

         โยนิโสมนสิการ คือ การใช้ความคิดถูกวิธี คือ การกระทำในใจโดยแยบคาย มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณาสืบค้นถึงต้นเค้า สาวหาเหตุผลจนตลอดสายแยกแยะออกพิเคราะห์ดูด้วยปัญญาที่คิดเป็นระเบียบและโดยอุบายวิธีให้เห็นสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย และเป็น ฝ่ายปัญญา,  ดังมีพระดำรัสเกี่ยวกับโยนิโสมนสิการไว้ดังนี้
       “ภิกษุทั้งหลาย เมื่อดวงอาทิตย์อุทัยอยู่ ย่อมมีแสงอรุณขึ้นมาก่อน เป็นบุพนิมิต ฉันใด ความถึงพร้อมด้วยโยนิโสมนสิการ ก็เป็นตัวนำ เป็นบุพนิมิต แห่งการเกิดขึ้นของอารยอัษฎางคิกมรรค แก่ภิกษุ ฉันนั้น”
       “เราไม่เล็งเห็นองค์ประกอบภายในอื่นแม้สักอย่างเดียว ที่มีประโยชน์มากสำหรับภิกษุผู้เป็นเสขะ เหมือนโยนิโสมนสิการ ภิกษุผู้มีโยนิโสมนสิการ ย่อมกำจัดอกุศลได้ และย่อมยังกุศลให้เกิดขึ้น”
       “เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งเป็นเหตุให้สัมมาทิฏฐิที่ยังไม่เกิดก็เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็เจริญยิ่งขึ้น เหมือนโยนิโสมนสิการเลย”
       “เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่น แม้สักข้อหนึ่ง ซึ่งจะเป็นเหตุให้ความสงสัยที่ยังไม่เกิด ก็ไม่เกิดขึ้น ที่เกิดขึ้นแล้ว ก็ถูกขจัดเสียได้ เหมือนโยนิโสมนสิการเลย”
       “โยนิโสมนสิการ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่, เพื่อความดำรงมั่นไม่เสื่อมสูญ ไม่อันตรธานแห่งสัทธรรม” ฯลฯ

องฺ.เอก. ๒๐/๖๐/๑๓,๑๘๖/๔๑

      "เราไม่เล็งเห็นธรรมอื่นแม้สักอย่างเดียว  ที่เป็นเหตุให้กุศลกรรมที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น   หรือให้อกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว เสื่อมไป เหมือนโยนิโสมนสิการเลย   เมื่อมีโยนิโสมนสิการ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิด ย่อมเกิดขึ้น และอกุศลกรรมที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมเสื่อมไป"

(องฺ.เอก ๒๐/๖๘/๑๕)

     โยนิโสมนสิการ มีประโยชน์มากดังมีพุทธพจน์กล่าวถึงเป็นอนันต์   แต่พอสรุปให้เห็นสั้นๆได้ว่า

     ๑. เป็นเครื่องอยู่ของจิตอันดียิ่ง   จิตอยู่ในการโยนิโสมนสิการย่อมไม่ส่งส่ายออกไปปรุงแต่งให้เป็นทุกข์ จึงสามารถใช้เป็นอารมณ์ในการสมถวิปัสสนาได้ดีด้วย

     ๒. ยังให้เกิดปัญญา เมื่อมีความเข้าใจธรรมอันแจ่มแจ้ง

     ๓. เป็นบาทฐานเครื่องหนุนให้เกิดกุศลธรรมอื่นๆอีกอนันต์

     โยนิโสมนสิการ การพิจารณาธรรมในใจ โดยละเอียดและแยบคาย(ชาญฉลาด) เป็นปัญหาใหญ่ที่นักปฏิบัติสงสัยกันอยู่เสมอๆว่าปฏิบัติอย่างไร  และผู้เขียนได้เขียนบ่อยครั้งมากๆในหนังสือหรือเว็บนี้จนนับครั้งไม่ถ้วน เพราะได้เห็นความสําคัญของการพิจารณาธรรม, การเลือกเฟ้นธรรม(ธรรมะวิจยะ,ธัมมะวิจยะ) อันเป็นธรรมในโพชฌงค์ ๗ องค์แห่งการตรัสรู้ โดยการโยนิโสมนสิการอย่างละเอียดและแยบคาย  การโยนิโสมนสิการสามารถกระทำในสมาธิในระดับขณิกสมาธิ หรือก็คือวิปัสสนาสมาธิ อันเป็นสมาธิรดับต้นๆจักดีที่สุด  ถ้าระดับลึกเกินกว่านี้จิตหรือสติมักจะเคลิบเคลิ้ม หรือลงภวังค์ง่าย สติไม่บริบูรณ์ต่อการใช้ปัญญาอย่างเต็มที่  และสามารถปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ทุกขณะจิตที่ว่าง สงบสบาย ไม่ฟุ้งซ่าน ซัดส่าย จึงเป็นสิ่งถูกต้องสมบูรณ์ที่สุด  เพราะเราต้องการดับทุกข์ที่ล้วนเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันมิใช่หรือ?

        ปัญหาใหญ่สุดของนักปฏิบัติ คือเมื่อได้อ่าน หรือฟังธรรมอันใดแล้ว เมื่อเกิดความสนใจในธรรมนั้น ก็จะพิจารณาให้เกิดความเข้าใจแบบทางโลกๆ อันเป็นความเข้าใจอันยังให้เกิดความสบายใจในระดับหนึ่งแบบทางโลก  และเกิดความเข้าใจว่าเข้าใจธรรมนั้นๆดีแล้วจึงหยุดการพิจารณาเสีย อันเป็นธรรมชาติของจิต ซึ่งต้องเกิดเช่นนี้เป็นธรรมดา, หรือเมื่อพิจารณาก็พิจารณาแต่ตรงประเด็นที่เข้าใจหรือตามความเชื่ออันคือทิฐฏิและมักเป็นมิจฉาทิฏิคืออย่างผิดๆนั้นทุกครั้งทุกที  หรือพิจารณาตรงตามคําสอนหรือคําอ่านนั้นโดยไม่ได้สนใจขยายความเข้าใจนั้นๆไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งถึงแก่นยิ่งขึ้นไปอีก อันจักนําไปสู่ความเข้าใจถึงขั้นปรมัตถ์ในที่สุด  ลองพิจารณาจากตัวอย่างนี้  อย่างในกรณีผู้เขียนเกิดความเข้าใจในธรรม โดยเฉพาะขันธ์ ๕ ขึ้นมา จากการลองตีแขนตัวเองประกอบการพิจารณา

        หลายท่านพอบอกให้ตีแขนตัวเองแรงๆ เพื่อการพิจารณา ก็หัวเราะหรือยิ้มขําทันที ไม่ค่อยอยากทํา คิดว่าหรือแลดูว่าเป็นเรื่องไร้สาระหรือตลกในการปฏิบัติธรรม คิดว่าผู้เขียนบอกกล่าวธรรมะอะไรกัน ช่างดูตํ่าต้อยด้อยค่าเสียเหลือเกิน แลดูไม่น่าเชื่อถือ  ลองพิจารณาธรรมข้อนี้ของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล "จิตพุทธะในสัตว์โลกจะตํ่าต้อยก็หาไม่  จิตพุทธะในพระพุทธเจ้าทั้งหลายจะยิ่งใหญ่กว่ากันก็หาไม่" (อตุโลไม่มีใดเทียม น. ๔๒๓)  ดังนั้นถึงแม้จะแลดูรู้ผิดๆว่าตํ่าต้อยหรือตลกว่า ปฏิบัติธรรม, ปฏิบัติวิปัสสนาอะไรกัน มานั่งตีแขนตัวเอง  เพราะหารู้ไม่ว่า ถ้าเข้าถึงสภาวธรรมได้สิ่งนี้ก็จะเป็นเฉกเช่นที่หลวงปู่ดูลย์ได้กล่าวไว้  จึงจะว่าตํ่าต้อย, ด้อยค่า หรือตลกหาได้ไม่.

กาย กระทบสัมผัส     เป็นปัจจัย จึงมี กายวิญญาณ     เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะanired02_next.gif สัญญาจํา     เป็นปัจจัย จึงมี เวทนา     เป็นปัจจัย จึงมี สัญญาหมายรู้     เป็นปัจจัย จึงมี สัญเจตนา     เป็นปัจจัย จึงมี  สังขารขันธ์

        นักปฏิบัติ ลองตีแขนตัวเองแรงๆ แล้วให้จับการรับรู้ความรู้สึกที่เกิดขึ้น เป็นความรู้สึกจริงๆ แท้ๆ(ความรู้สึกที่ย่อมเกิดขึ้นจากการที่ระบบประสาทสัมผัสรับรู้กับการกระทบนั้นล้วนๆ) ไม่ใช่ความคิดใดๆทั้งสิ้นเช่นสังขารขันธ์ทางใจว่า"เจ็บ" นั้นเป็นสังขารทางใจเสียแล้ว ถ้าอุทานออกมาด้วยก็เป็นสังขารทางวาจาเสียแล้วเช่นกัน,  เราต้องการจะจับแต่ความรู้สึกที่เกิดจากการกระทบสัมผัสอันไม่ชอบใจนั้นได้  นั่นแหละคือเวทนาชนิดไม่ชอบ ไม่สบาย หรือทุกขเวทนานั่นเอง  อันเกิดขึ้นแต่กายกระทบผัสสะกัน  อันต่างล้วนทํางานเฉกเช่นเดียวกันในอายตนะทั้ง๖ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ( อันคือใจหรือจิต ที่กระทบกับ ธรรมารมณ์-ความคิดนึก)

        ส่วนใหญ่มักสับสนกับสังขารขันธ์คิดที่เกิดขึ้นตามมาด้วย เช่นคิดว่า "เจ็บจัง"  "ตีตัวเองบ้าหรือเปล่า"  แยกไม่ออกว่าสิ่งไหนแน่ที่เป็นเวทนา อะไรทํานองนี้อยู่ตลอดเวลา  อันล้วนเป็นสังขารขันธ์คิดทั้งสิ้น หาใช่เวทนา(Feeling)ไม่ !

        นักปฏิบัติที่พิจารณาอย่างถี่ถ้วนจะเข้าใจ และจับความรู้สึกรับรู้หรือเวทนานั้นได้ในที่สุด เข้าใจว่าเวทนาคืออะไร  แล้วก็จบเพียงเท่านั้น คิดไปว่าเข้าใจดีแล้ว แจ่มแจ้งแล้ว  แต่ถ้าเราโยนิโสมนสิการจริงจังต่อเนื่องแล้ว เราอาจจักพบสัจจธรรมอันแท้จริงมากกว่าการแค่รู้จักเวทนา-การรับรู้ความรู้สึกในสิ่งที่กระทบสัมผัสพร้อมความจําได้(สัญญา)ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้นไปอีกคือถึงขั้นสามารถค้นพบสภาวธรรมหรือสภาวธรรมชาติอย่างแท้จริงของเวทนา อันเป็นสภาวธรรมของทุกชีวิตที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

 

        ดังตัวอย่างต่อไปนี้ เช่น ถ้าเราโยนิโสมนสิการต่อไปในเวทนานี้  เมื่อกายกระทบผัสสะเกิดความรู้สึกรับรู้ในการกระทบสัมผัสนั้น(เวทนา)อันเกิดขึ้นขณะแรกกระทบ,  สังเกตุความรู้สึกนั้นดีๆ จะเห็นว่าเกิดขึ้นเมื่อกระทบ ตั้งอยู่คือยังมีความรู้สึกรับรู้ที่กําลังจางคลายหรือแปรปรวนอยู่, สังเกตุว่าความรู้สึกรับรู้นั้นได้ ดับไป แสดงพระไตรลักษณ์ ในแบบวงจรชีวิตสั้นๆ คือเกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วดับไป  และแสดงให้รู้,ให้เข้าใจในพระไตรลักษณ์ของเวทนาอันไม่เที่ยง คงอยู่ไม่ได้ และดับไปในที่สุด  ในระดับหนึ่ง

        เราลองโยนิโสมนสิการต่อไปอีกว่า การตีแรงๆแล้วเกิดทุกขเวทนาขึ้นนั้น อันคือรับรู้ความรู้สึกที่ไม่ชอบนั้น เป็นกระบวนการปกติตามธรรมชาติใช่หรือไม่?   ถ้าไม่รับรู้ เราผิดปกติไหมหนอ?   ฝืนได้ไหมหนอ? (อาจได้ แต่เป็นครั้งคราวสั้นๆ เช่น ใช้ยาชา ฤทธิ์ของสมาธิ อันล้วนไม่เที่ยง ไม่ใช่สภาวะธรรมชาติ เป็นสภาวะสังขารขันธ์อันต้องปรุงแต่งขึ้น อย่าสับสนเอามาปนเป) เป็นจริงแท้ๆตามธรรมชาติไหมหนอ?  ตีกี่ทีกี่ครั้งก็เจ็บใช่ไหมหนอ?  เป็นระบบการทํางานทางด้านประสาทสัมผัสอันเป็นธรรมดาใช่ไหมหนอ?  ถ้าไม่มีสัญญาจําจะแยกเป็นชอบ ไม่ชอบ หรือเฉยๆได้อย่างไรหนอ?  เป็นสภาวธรรมอันจริงแท้แน่นอนใช่ไหมหนอ?  มันเป็นเช่นนี้เองใช่ไหมหนอ?  พิจารณาหาคําตอบหรือข้อสรุปที่เห็นและเข้าใจด้วยตนเอง

        ต้องการให้จับที่เวทนา ให้เข้าใจเวทนา  เห็นเวทนาชัดๆ

 

        การตีแรงๆนั้นเป็นทุกขเวทนารับรู้ความรู้สึกที่ไม่ชอบอันเกิดแต่การกระทบสัมผัสอย่างแรง

        ทําไมเราจึงไม่รู้สึกเป็นความทุกข์ แค่รับรู้ความรู้สึกจริงๆเท่านั้นว่าไม่ถูกใจ ไม่ชอบ?

        เพราะเราตีเอง จึงไม่เป็นทุกข์ เพราะมีสัญญาจําและเข้าใจ ว่าเราตีเอง สัญญานี้จะเรียกว่าเข้าใจดีหรือหมดจดก็ได้ เปรียบเทียบได้กับไม่มีอาสวะกิเลสในวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง และมีวิชชาคือรู้ตามความเป็นจริงและรู้เท่าทัน(เพราะความตั้งใจกระทําด้วยตนเองอย่างมีสติ)  ผลที่เกิดขึ้นก็คือรับรู้แต่เวทนาที่เกิดขึ้น  และเป็นเวทนาตามธรรม(ชาติ)ไม่มีอามิสหรือกิเลสให้ขุ่นมัวแฝงอยู่ (สังเกตุด้วยนะว่าต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา) จึงไม่เกิดอุปาทานทุกข์,  หรือเกิดอาการที่เรียกว่า

เกิดเวทนาก็สักแต่เวทนา  มันเป็นเช่นนั้นเอง

หรือ

ทุกขเวทนานั้นยังมีอยู่  แต่ไม่มีทุกข์อุปาทาน

         ดังนั้นการตัดเวทนาหรือดับเวทนาหรือเวทนาสักแต่ว่าเวทนานั้น จึงเป็นภาษาทางโลกสมมุติเท่านั้น มิได้หมายความว่าดับที่แปลว่าดับสูญ หรือตัดขาดไม่ให้เกิด ไม่ให้มี ไม่ให้เป็น ไม่ให้เอา อย่างความหมายในทางโลกๆโดยทั่วๆไป  ในทางธรรมหรือภาษาธรรมนี้จึงหมายความถึงมีความรู้ความเข้าใจแล้ว ไม่ไปยึดเกาะเกี่ยวเวทนาที่ต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดานั้น

        ท่านลองโยนิโสมนสิการดู ถ้าเป็นคนอื่นมาตีท่าน อะไรจะเกิดขึ้น?   คิดพิจารณาอย่างใจเป็นกลาง อย่าคิดอย่างฟุ้งซ่านเอาเฉพาะความเห็นความรู้สึกของตนแต่ฝ่ายเดียว เอาสิ่งที่เป็นกลางโดยธรรมชาติของปุถุชนทั่วไป

        เวทนานี้เกิดกับเราก็จริง แต่ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตนอย่างถาวรใช่ไหม?  เกิดแต่เหตุปัจจัยอันมาประชุมปรุงแต่งกันชั่วขณะ  แล้วตั้งอยู่อย่างแปรปรวน แล้วดับไปโดยพระไตรลักษณ์เช่นกัน  แต่เราขาดสติไปอยากหรือไม่อยาก(ตัณหา)ให้เวทนาที่เกิดนั้นเป็นไปตามตัณหาของเรา จึงเกิดอุปาทานชนิดไม่พึงพอใจ เมื่อมิได้ตามปรารถนาจึงเกิดทุกข์ขึ้น, อันเป็นการเริ่มต้นของทุกข์ในเรื่องนั้นครั้งแรก(เกิดมาจากทุกข์เดิมๆก็ได้เช่นกันแต่เกิดใหม่อีก)  แล้วทุกข์นั้นก็จะต้องดับไปภายใต้พระไตรลักษณ์เช่นกัน  แต่ขณะที่ตั้งอยู่นั้นเพราะอวิชาความไม่รู้ตามความเป็นจริงและรู้เท่าทัน เพราะไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาท(ความไม่รู้ไม่เข้าใจปฏิจจสมุปบาทกระบวนการเกิดและดับของทุกข์เป็น ๑ในอวิชชา๘) จึงเกิดความคิดนึกปรุงแต่งขึ้นอีกทุกขณะจิต  ลองสังเกตุดูดีๆจะมีความคิดทะยอยเกิดอยู่ในจิตของท่านอยู่เป็นระยะตลอดเวลาขณะที่เกิดทุกข์นั้น มิได้เกิดขึ้นครั้งเดียวหรือไม่กี่ครั้งอย่างเด็ดขาด ยิ่งเกิดนานยิ่งแสดงว่ามีคิดนึกปรุงแต่งมาก เป็นเหตุปัจจัยกัน,   จึงต้องเข้าใจและฝึกสติควบคู่กันไป

 

        ลิ้นกระทบสัมผัสรส,  เวทนาความรู้สึกรับรู้ถูกใจ(สุขเวทนา) หรือไม่ถูกใจ(ทุกขเวทนา) ในรสนั้นย่อมเกิดขึ้นตามความเป็นจริง(ตามแต่จริต-สัญญาความจํา)ตามธรรมชาติใช่ไหมหนอ?

        ตากระทบรูป.......(ลองคิดถึงรูปของคนที่ไม่ชอบมากระทบ แล้วไล่ลําดับจิตดูให้เห็น)

        หูกระทบเสียง.......(ลองคิดถึงเสียงของคนที่ไม่ชอบมากระทบ แล้วไล่ลําดับจิตดูให้เห็น)

        จมูกกระทบกลิ่น........(ลองคิดถึงกลิ่นที่ไม่ชอบมากระทบ แล้วไล่ลําดับจิตดูให้เห็น)

        ลิ้นกระทบรส.......(ลองคิดถึงรสที่ไม่ชอบมากระทบ แล้วไล่ลําดับจิตดูให้เห็น)

        กายกระทบสัมผัส......(ลองคิดถึงสัมผัสที่ไม่ชอบมากระทบ แล้วไล่ลําดับจิตดูให้เห็น)

        ใจกระทบคิด....... (ลองคิดถึงความคิดที่เป็นทุกข์ที่ไม่ชอบมากระทบ แล้วไล่ลําดับจิตดูให้เห็น)

        แล้วลองไล่ลําดับจิตของสิ่งที่ชอบที่สบายใจ ที่มากระทบสัมผัส(ผัสสะ)ดูบ้าง

        อายตนะทั้ง ๖ นี้ ต่างทํางานเฉกเช่นกัน  ดังจะเห็นจากพุทธพจน์อยู่เสมอๆว่าเมื่อท่านตรัสท่านจะตรัสถึงอายตนะทั้ง๖ ไล่เป็นลําดับเหมือนๆกัน  จริงๆแล้วเพื่อชี้ให้เห็นเป็นบันทัดฐานในการพิจารณาไล่ลําดับจิตอันยากแก่การเข้าใจ จะได้ไม่หลงทาง  อันผู้เขียนเองเมื่อหัดแรกอ่านธรรมะใหม่ๆรู้สึกว่าช่างชักช้ายืดเยื้อจริงหนอ อันเป็นการไม่เข้าใจในอุบายวิธีและการสื่อของท่าน

        เมื่อพิจารณาอย่างแยบคายก็จักพบสัจจธรรมว่าตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ เวทนานั้นยังคงมีอยู่เช่นนี้เป็นธรรมดา อันจักทําให้ใจนั้นคลายจากทุกข์ได้ส่วนหนึ่งจากความรู้ความเข้าใจอันถูกต้องส่วนหนึ่ง และไม่ไปสาละวนกับการเพียรพยายามดับเวทนาอันมิสามารถดับให้ขาดสูญได้  อันล้วนเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหาต่อเวทนานั้นน้อยลง อันย่อมทําให้จางคลายจากทุกข์ตามหลักปฏิจจสมุปบาท  และต้องควรพิจารณาต่ออีกว่าควรปฏิบัติเยี่ยงไรจึงจะไม่เป็นอุปาทานทุกข์อันกัดกร่อนใจ

         เวทนาสักแต่ว่าเวทนา คือความเข้าใจสภาวะธรรมนี้นี่เอง มันเป็นเช่นนี้โดยธรรม  มิใช่หมายถึงเวทนาสักแต่ว่าเวทนาอันหมายถึงมีเวทนาต้องรู้สึกเฉยๆไม่รู้สึกรู้สาต่อสิ่งใด

 

         ดังนั้น ใจ กระทบ คิด(ธรรมารมณ์) ก็เป็นเฉกเช่นกัน คือเกิดทุกขเวทนาไม่ชอบใจ ไม่ถูกใจ หรือเกิดสุขเวทนาชอบใจหรือสบายใจ อันเป็นไปตามสภาวะธรรม,  ดังนั้นการที่มีทุกขเวทนามากระทบแล้วมีอาการต่างๆเกิดขึ้นจึงเป็นเรื่องของสภาวะธรรมแท้ๆ หรือสภาวะธรรมชาติแท้ๆนั่นเอง,  ปุถุชนจะมีความรู้สึกคิดว่าเป็นความทุกข์(อวิชชา) จึงคิดนึกปรุงแต่งต่อเติมจนเป็นทุกข์(ทุกข์อุปาทาน)จริงๆ, วิธีที่ถูกต้องคือเข้าใจและยอมรับสภาวะธรรมนั้นด้วยใจที่เข้าใจอย่างจริงจัง  แล้วไม่คิดนึกปรุงแต่งต่อ เวทนานั้นก็จะดับไปในเวลาสั้นๆ,   อันความนี้ตรงกับที่มีผู้เรียนถามหลวงปู่ดูลย์ อตุโลว่า "ท่านยังมีโกรธ อยู่ไหม" ท่านได้ตอบตามความสัตย์จริงดังนี้ " มีโกรธ  แต่ไม่เอา " คือไม่เอาไปคิดนึกปรุงแต่งจนเกิดอุปาทานทุกข์  เพราะความโกรธนั้นเป็นสังขารขันธ์อันเกิดขึ้นแค่ชั่วขณะสั้นๆ, เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วดับไป อันเป็นสภาวะธรรมของผู้มีชีวิตทุกผู้นาม   ดังนั้นการที่เราอยากไม่รู้สึกเป็นทุกข์ใดๆเลย(หมายถึงทุกขเวทนาและสังขารขันธ์เท่านั้น) จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ผิดสภาวะธรรม อันไม่มีผู้ใดฝืนได้,   และถ้ามีคิดนึกปรุงแต่งไปร่วมด้วย อันหมายถึงแต่ละคิดนึกปรุงแต่งนั้นเป็นกระบวนการขันธ์๕กระบวนการหนึ่ง อันย่อมยังให้เกิดเวทนาในทุกๆแต่ละความคิดนึกปรุงแต่ง อันย่อมเปิดโอกาสให้เกิดตัณหาจากเวทนาตัวใดตัวหนึ่งของความคิดนึกปรุงแต่งนั้น, อันเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบาท เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา  ซึ่งหลวงปู่ดูลย์ได้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้ไว้ดังนี้  

         เมื่อจิตกระทบเข้ากับอารมณ์ภายนอกอย่างไร ก็ให้หยุดอยู่แค่นั้น, อย่าไปทะเลาะวิวาทโต้แย้ง, อย่าไปเอออวยเห็นดีเห็นงามให้จิตได้โอกาสก่อรูปก่อร่างเป็นตุเป็นตะเป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไป อย่าไปวิพากษ์วิจารณ์ต่อไป อย่าไปใส่ใจอีกต่อไป พอกันเพียงรู้อารมณ์เท่านี้เอง หยุดกันเพียงเท่านี้ (อตุโล ไม่มีใดเทียม  น.๒๒๐)

      เมื่อเข้าใจแล้วแยกแยะให้ชัดเจน จะเห็นว่าหลวงปู่สั่งสอนให้ "หยุดคิดนึกปรุงแต่งนั่นเอง" ท่านให้หยุดอยู่แค่นั้นเอง  เหตุผลก็เพราะแต่ละความคิด(ปรุงแต่ง)ย่อมยังให้เกิดเวทนาอันยังให้เกิดตัณหาเป็นทุกข์ขึ้นได้ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว และเมื่อเป็นทุกข์แล้วก็ย่อมคิดนึกปรุงแต่งวนเวียนอย่างฟุ้งซ่านไม่หยุดหย่อน ซึ่งย่อมประกอบไปด้วยอุปาทานจึงเป็นไปดังชราในองค์ธรรมปฏิจจสมุปบาท

..ตัณหา → อุปาทาน → ภพ → ชาติ  รูปูปาทานขันธ์ + ใจ + วิญญูาณูปาทนขันธ์  anired06_next.gif เวทนูปาทานขันธ์ → มรณะ → อาสวะกิเลส →... 

                        อุปาทานขันธ์๕  อันคือ คิดปรุงแต่งในชราอันเป็นทุกข์           

                สังขารูปาทานขันธ์ เช่นคิดที่เป็นทุกข์                สัญญูปาทานขันธ์  

             ในวงจรล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ เพราะล้วนถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว

         ถ้าโยนิโสมนสิการต่อไปอีก อาจพบว่าผู้เขียนเน้นแยกแยะความคิดนึก และความคิดนึกปรุงแต่ง, โดยเน้นเป็นอย่างมาก  ทั้งจากขนาดอักษรและสีต่างๆ  ให้แยกแยะอย่างชัดเจน เพราะความคิดนึกนั้นเป็นกระบวนการธรรมชาติของขันธ์๕ อันยังต้องเกิด ต้องมีเป็นธรรมดา มิฉนั้นนักปฏิบัติมักจะกดข่มหรือห้ามเสียจนเกิดอาการต่างๆ,  ส่วนคิดนึกปรุงแต่งนั้นเป็นส่วนเกินอันยังให้เกิดทุกข์,  ผู้เขียนเองเคยปฏิบัติโดยการหยุดทั้งความคิดนึกและความคิดนึกปรุงแต่งมาแล้ว  อันก่อโทษโดยไม่รู้ตัว เพราะเป็นการกดข่มและก่อตัวเป็นสมาธิตลอดเวลาอันก่อผลร้ายรุนแรงตามมาในภายหลัง,  จงหยุดหรือตัดแต่ความคิดนึกปรุงแต่ง อันรู้เท่าทันแล้วว่าเป็นทุกข์ แล้วท่านจะพบกับความเย็นใจอันเป็นของแท้

          ขอเพิ่มเติมหน่อยเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนา หรือการพิจารณาธรรมโดยการโยนิโสมนสิการ ขอเน้นว่าเป็นการพิจารณาธรรมจริงๆนะครับ พิจารณาที่แก่น ที่แกน,  ไม่ใช่การพิจารณาว่าปฏิบัติอย่างนี้เพื่อให้เป็นอย่างนี้,  ปฏิบัติอย่างนี้ถูกหรือเปล่า,  พิจารณาในแก่นหรือแกนของธรรมะมิฉนั้นจะเป็นการฟุ้งซ่านหรือคิดนึกปรุงแต่งไปในเรื่องต่างๆเช่นในการปฏิบัติบ้าง ไปในทางโลกๆบ้าง,  หรือความอยากจะได้อะไรบางอย่างจากการปฏิบัติบ้าง,   หรือมัวแต่พิจารณาที่ผลแต่อย่างเดียวคือพิจารณาแต่ทุกข์ของตนเองจนไม่มองเหตุปัจจัยจริงๆที่ทําให้เกิดตามความเป็นจริงแห่งธรรม กลายเป็นกระตุ้นอาสวะกิเลสของตนเองขึ้นมาเสียอีกโดยไม่รู้ตัว

 

ลองพิจารณา

ไม้หรือมือ + กระทบ แขน + ประสาทรับรู้ความรู้สึก(วิญญาณ) ผัสสะกัน สัญญาจําได้ เกิดเวทนาเป็นทุกขเวทนา...

ความคิด   + กระทบ ใจ    + ประสาทรับรู้ความรู้สึก(วิญญาณ) ผัสสะกัน สัญญาจําได้ เกิดเวทนาเป็นทุกขเวทนา...

 (ลองพิจารณาเปลี่ยนจากทุกขเวทนา เป็นสุขเวทนา เป็นอทุกขมสุข ดูบ้าง)

 

          เราลองโยนิโสมนสิการ การตีแขนเพื่อให้เห็นเวทนา และเห็นไตรลักษณ์ ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ระยะหนึ่ง แล้วต้องดับไป

          คราวนี้ เราลองโยนิโสมนสิการ ความคิดที่เป็นทุกข์(ดังเช่นสังขารในวงจรปฏิจจสมุปบาทที่เกิดขึ้น,หรือธรรมารมณ์หรือความคิดในขันธ์๕หรืออายตนะภายนอก) อันมากระทบใจหรือจิต (อันคือสฬายตนะในปฏิจจสมุปบาท หรืออายตนะภายในของขันธ์๕) ของเราดูกันบ้าง,  ถนัดปฏิจจสมุปบาทก็พิจารณาในมุมมองของปฏิจจสมุปบาท  เข้าใจขันธ์๕ก็พิจารณาในมุมมองของขันธ์๕ เพราะเป็นเรื่องเดียวกันหรือธรรมๆเดียวกันนั่นเอง

           ลองนึกถึงเรื่องที่เราเป็นทุกข์มากๆ, ถ้าไม่มีก็น้อมนึกขึ้น,  เมื่อความคิดที่เป็นทุกข์กระทบใจ อันย่อมเกิดทุกขเวทนา ความรู้สึกรับรู้ที่ไม่ชอบใจ ไม่สบายใจ อันเป็นสภาวะธรรม(ชาติ)  มีสติสนใจสังเกตุแต่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นจากความคิดนั้นมากระทบแต่อย่างเดียว  อย่าเอาความคิดใดๆมาปรุงแต่ง เฝ้าแต่สังเกตุ (ต้องมีสติจริงๆ มิฉนั้นตัณหา หรือความคิดนึกปรุงแต่งจะร่วมเข้ามาด้วย อันจักทําให้ไม่สามารถพิจารณาเห็นได้ ,  สําหรับผู้ที่เป็นฌาน ไม่ใช่จิตส่งในที่เป็นการเข้าไปส่องสํารวจภายในกายหรือจิตของท่านนะครับ แค่ความรู้สึกรับรู้ที่เกิดจากการผัสสะกับความคิดที่เป็นทุกข์)

           มีสติสังเกตุอยู่ที่เวทนา พิจารณาอย่างละเอียดให้ดี  จะเห็นภาวะเช่นดังในการตีแขนอันมี เกิดขึ้น  ตั้งอยู่ระยะหนึ่งอย่างแปรปรวน แล้วดับไปให้เห็นชัดๆสําหรับผู้ที่มีสติ(อันคือไม่มีตัณหาไปร่วมด้วย หรือไม่มีความคิดอื่นๆมาแทรก)  อันเป็นสภาวะธรรมของเวทนาจริงๆ คือเกิดขึ้นเป็นธรรมดา ตั้งอยู่อย่างแปรปรวนไม่เที่ยง แล้วดับไปเป็นธรรมดา ตามกฎพระไตรลักษณ์  สภาวะนี้เป็นสภาวะธรรม(ชาติ)จริงๆของเวทนา

           แต่เหตุที่มีอุปาทานทุกข์อันเป็นความทุกข์ที่แท้จริงเกิดขึ้นได้นั้น  เพราะเมื่อเกิดเวทนาแล้วย่อมเกิดสังขารขันธ์เช่นความคิดขึ้นด้วยอย่างแน่นอน แล้วเอาความคิดที่เกิดขึ้นนั้นมาคิดนึกปรุงแต่ง(สังขารขันธ์จากความคิดแรกถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นรูปคือกลายเป็นความคิด(ปรุงแต่ง)อันใหม่ของขันธ์๕ที่จะเกิดใหม่อีกขันธ์)  อันยังให้ต้องเกิดเวทนาของความคิดปรุงแต่งนั้นเพิ่มขึ้นมาอาจจะ ๑๐ , ๒๐ , ๓๐ ครั้ง....... โดยไม่รู้ตัว หรือรู้ตัวก็ดีแต่ไม่สามารถหยุดได้เพราะไม่รู้และไม่เคยปฏิบัติ   อันทําให้เวทนานั้นจึงเกิดๆดับๆอย่างต่อเนื่องยาวนาน อันยิ่งเป็นการเปิดโอกาสเป็นปัจจัยให้ตัณหาเกิดขึ้นจากทุกขเวทนาหลายๆครั้งที่เกิดขึ้นนั้นได้ แล้วย่อมทําให้เกิดสังขารขันธ์ที่เป็นทุกข์(อุปาทานสังขาร) แล้วก็เกิดอุปาทานขันธ์๕อันเป็นทุกข์ วนเวียนอยู่ในกองทุกข์นั่นเอง

 

           มีอีกสิ่งหนึ่งที่เกิดเป็นประจํากับนักปฎิบัติ คือมักจะคิดว่าตัวตนหรือตนเองมักจะมีอะไรที่แตกต่างกว่าคนอื่น เช่นคิดว่าเก่งกว่า คิดว่าด้อยกว่า คิดว่ามีบุญมากกว่า บุญน้อยกว่า หรือเพราะอ้างว่าประสบการณ์ไม่เหมือนกันบ้าง ของฉันเป็นอย่างนี้ ของเธอมันเป็นอย่างนั้นมันไม่เหมือนกัน  ผู้เขียนอยากจะเรียนให้ทราบว่าเหล่านั้นล้วนเป็นแล้วแต่เป็นการคิดนึกปรุงแต่งอย่างมิจฉาทิฎฐิหรือความคิดที่ผิดๆ  ผู้เขียนขอเรียนว่าวงจรปฏิจจสมุปาทนั้นมีเพียงวงจรเดียวเท่านั้น  และเป็นเช่นนี้เท่านั้น เพราะเป็นปรมัตถธรรมอันเป็นจริงถึงขั้นสูงสุด มิเช่นนั้นแล้วต้องมีวงจรเป็นล้านๆๆๆล้านวงจรแตกแขนงออกไป อย่างน้อยในปัจจุบันก็ ๖๐๐๐-๗๐๐๐ ล้านวงจรตามจํานวนประชากรโลกอย่างแน่นอนถ้าเป็นไปตามคํากล่าวอ้างนั้น  อันกลายเป็นเปรียบดุจดั่งลายนิ้วมือของแต่ละบุคคลไป  ล้วนแล้วแต่เป็นเพียงคํากล่าวอ้างเพราะความไม่เข้าใจในธรรมอย่างแท้จริง  ลายนิ้วมือนั้นเป็นเพียงรายละเอียดปลีกย่อยอันอยู่ในนิ้วมือของทุกผู้นามทุกคน  อันคือจะมีลายนิ้วมือก็ต้องมีนิ้วมือเป็นหลักใหญ่เสียก่อนอย่างจริงแท้แน่นอน  กระบวนจิตในการเกิดทุกข์และการดับไปแห่งทุกข์(ปฏิจจสมุปบาท)นั้นก็เช่นกันจะดําเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทอันมีเพียงวงจรเดียวเป็นหลักใหญ่ไม่ผิดเพี้ยน แตกต่างตามคํากล่าวอ้างได้เพียงรายละเอียดปลีกย่อยของจิตเท่านั้น  อุปมาดั่งรายนิ้วมือต้องอยู่บนนิ้วมือเป็นหลักใหญ่นั่นเอง  หรืออุปมาดั่งถนนสายหลักใหญ่อันวิ่งไปทางดียวและสายเดียวเท่านั้น  อันมีรถราวิ่งขวักไขว่หลายๆล้านคัน แต่ละคันก็ล้วนไม่เหมือนกัน แต่ละคันก็ขับไม่เหมือนกัน เร็วบ้าง ช้าบ้าง แวะจอดบ้าง แซงซ้ายแซงขวาบ้าง ตกถนนตายเสียก่อนบ้าง ล้วนไม่เหมือนกันแม้สักคันหนึ่ง แต่ทุกคันเหล่านั้นตามความเป็นจริงล้วนวิ่งอยู่บนถนนสายนั้นที่ไปสู่จุดหมายปลายทางเดียวกัน แต่ละคันแม้มีเอกลักษณ์และการขับขี่ที่ไม่เหมือนกันแต่หลักใหญ่ใจความสําคัญก็ล้วนต้องวิ่งหรือดําเนินไปตามถนนนี้ทั้งสิ้นโดยไม่แตกต่างกันที่ใจความสำคัญคือจุดมุ่งหมาย แตกต่างแต่เพียงรายละเอียดปลีกย่อยอันอุปมาได้ดั่งจิตของแต่ละบุคคลเท่านั้น

          เหตุที่แจงนี้เพราะมักมีผู้คนที่คิดเช่นนี้เป็นส่วนใหญ่ อันนําพาไปสู่ความไม่เข้าใจในธรรมในที่สุด เพราะมักเกิดวิจิกิจฉาสงสัยต่างๆขึ้นเป็นธรรมดาว่าคงเพราะเหตุเช่นนี้ เพราะต่างกันอย่างนี้ เพราะเหตุอย่างนั้น  เมื่อเกิดทุกข์ขณะปฏิบัติก็จะมีข้ออ้างหรือหาทางอื่นแก่จิตตนเอง อันก่อให้เกิดความสงสัยในธรรมขึ้นมาในที่สุด  จึงเกิดความหยุดชงักหรือเปลี่ยนแปลงค้นคว้าหาวิธีใหม่ อันไม่มีทางหาพบได้เพราะมันเป็นทางเพียงสายเดียวเท่านั้นครับ

bar01c.gif

โยนิโสสูตร

พระสูตรว่าด้วยการโยนิโสมนสิการ

bar01c.gif

หลักสำคัญของวิปัสสนา

(พระธรรมปิฎก)

bar01c.gif

หลักเกณฑ์การปฏิบัติสมาธิ - ปัญญา

(หลวงตามหาบัว ญาณสมฺปนฺโน)

 

 

 

กลับหน้าเดิม

กลับไปสารบัญ