มโนกรรม ธรรมารมณ์ ความคิดนึก |
|
ทั้ง ๓ มีความหมายคล้ายๆกัน เพียงแต่เรียกขานต่างกันบ้างตามหน้าที่ ต่างล้วนหมายถึง
ความคิดตวามนึกอันเป็นสิ่งที่รู้ได้ด้วยใจ
จึงเป็นนามธรรม ทำหน้าที่ในการดำเนินชีวิตหรือในกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ ได้ทั้งเป็นฝ่ายเหตุที่เรียกความคิดนึกนี้ว่า"ธรรมารมณ์"
ที่เมื่อเป็นเหตุปัจจัยร่วมกับขันธ์ทั้ง ๕ ทำให้เกิด"สังขารขันธ์"คืออารมณ์ทางโลกต่างๆขึ้น
ที่ยังผลให้เกิดความคิดนึกต่างๆอันเป็นผลที่เกิดขึ้นตามมาอีกด้วยที่เรียกว่า"มโนกรรม", และตัว"มโนกรรม"เองที่เกิดขึ้นเนื่องมาจากคือความคิดนึก"ธรรมารมณ์"นี้ ก็สามารถเปลี่ยนแปรปรวนกลับไปทำหน้าที่เป็นเหตุ(ธรรมารมณ์)ได้ใหม่อีกด้วย
จึงเกิดการวนเวียนเป็นวงจรของขันธ์ ๕ อีกทั้งวงจรการเกิดขึ้นของทุกข์(ปฏิจจสมุปบาท)ใน"ชรา"ธรรมก็เฉกเช่นกัน,
เมื่อไม่รู้ว่าเป็นโทษ จึงมักปล่อยใจ จึงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความฟุ้งซ่าน(อุทธัจะ)อันเป็นสังโยชน์ขั้นละเอียด
ที่ผูกมัดสัตว์ไว้กับกองทุกข์ รองจากอวิชชาทีเดียว ทั้งๆที่แลดูราวกับว่าไม่มีทุกข์โทษภัยรุนแรงอันใด
แต่เกิดการวนเวียนปรุงแต่งจนเป็นวงจรของทุกข์ในที่สุด
รูป
หรือ ธรรมารมณ์(คิดที่เป็นเหตุ) + ใจ + มโนวิญญูาณขันธ์ หยุด สังขารขันธ์(คิดที่เป็นผล-มโนกรรม)
วงจรแสดงขันธ์ทั้ง๕ ที่วนเวียนปรุงแต่ง |
รูปูปาทานขันธ์(เหตุ)
+ ใจ + วิญญูาณูปาทานขันธ์ หยุด สังขารูปาทานขันธ์
(คิดที่เป็นทุกข์(ผล)-มโนกรรม) วงจรอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ที่ล้วนถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว ในชราของวงจรปฏิจจสมุปบาท |
ความคิดนึก นั้นเป็นการกล่าวครอบคลุมโดยทั่วไป ที่หมายถึง ความคิดความนึกต่างๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่รู้หรือสัมผัสได้ด้วยใจ ดังเช่น ความคิดนึกต่างๆที่ใช้ในการดำเนินของชีวิตอันย่อมต้องมีอยู่เป็นปกติธรรมดา ความคิดนึกในการทำการงาน ฯลฯ. ทั้งความคิดนึกต่างๆทั้งดีและชั่ว
ธรรมารมณ์ ความคิดนึก สิ่งที่รู้ได้ด้วยใจเช่นกัน ดังข้างต้น มักใช้กล่าวเวลา ความคิดนึกนั้นๆ ไปทำหน้าที่เป็นเหตุปัจจัยร่วมกับขันธ์ทั้ง ๕ ให้เกิดกระบวนธรรมของชีวิตหรือขันธ์ ๕ ขึ้นนั่นเอง ซึ่งเป็นกระบวนธรรมในลักษณาการเดียวกับปฏิจจสมุปบาทแต่ไม่เน้นเกี่ยวกับการเกิดของทุกข์ แต่อาศัยความเป็นเหตุเป็นปัจจัยแก่กันและกันทำให้เกิดขึ้นเนื่องเป็นลำดับในลักษณาการเดียวกัน มีทั้งฝ่ายดีและชั่ว
มโนกรรม ความคิดนึกที่รู้ได้ด้วยใจเช่นกัน แม้เป็นความคิดนึกเหมือนกัน แต่มีการเกิดและทำหน้าที่ไม่เหมือนกัน เพราะเป็นความคิดนึกที่เกิดขึ้น โดยเป็นผลที่เกิดขึ้นจาก"สังขารขันธ์คืออารมณ์ต่างๆ"ไปปรุงจิตให้เกิดสัญเจตนา,ความคิดอ่าน ที่ส่งผลให้เกิดการกระทำต่างๆขึ้น รวมทั้งการกระทำทางใจอันคือมโนกรรมนั่นเอง มีทั้งฝ่ายดีและชั่วเช่นกัน เพียงแต่เมื่อเป็นฝ่ายชั่วหรืออกุศลแล้ว ต้องอุเบกขาเสีย ดังภาพกระบวนธรรมของขันธ์ ๕
คิดนึกที่เป็นเหตุ ผัสสะ ธรรมารมณ์ |
อีกทั้งธรรมารมณ์ และ มโนกรรม ต่างสามารถเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันได้ คือสามารถแปรปรวนสลับสับเปลี่ยนไปทำหน้าที่แทนกันและกันได้ คือ ธรรมารมณ์เป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการผัสสะ ซึ่งย่อมยังให้เกิดสังขารขันธ์คืออารมณ์ต่างๆขึ้น ซึ่งเป็นผลให้เกิดมโนกรรมตามมา และมโนกรรมนี้เองก็สามารถแปรความคิดนึกอันเป็นผลที่เกิดขึ้นนั้น ให้ไปทำหน้าที่เป็น"ธรรมารมณ์"อันเป็นเหตุได้อีกเช่นกัน ดังภาพ
ธรรมารมณ์(ความคิดนึกต่างๆที่ทำหน้าที่เป็นเหตุปัจจัยกับขันธ์ ๕) เป็นเหตุปัจจัยให้เกิด มโนกรรม(ความคิดนึกอันเป็นผลจากอารมณ์ต่างๆ) |
ด้วยเหตุดั่งนี้ ในการปฏิบัติเราจึงต้องอุเบกขาใน"มโนกรรม"ความคิดนึกต่างๆที่เกิดขึ้นจากสังขารขันธ์อารมณ์ต่างๆอันเล็งเห็นว่าเป็นโทษเป็นสำคัญ ดังเช่น โทส โมหะ โลภะ หเหู่ ฟุ้งซ่าน ทุกข์ ตัณหา ฯลฯ., ก็ด้วยเจตนาเพื่อไม่ให้เกิดความคิดนึกปรุงแต่งต่างๆ(มโนกรรม)อันเกิดขึ้นจากสังขารขันธ์อารมณ์ต่างๆอันเป็นโทษนั้น ไปทำหน้าที่เป็น"ธรรมารมณ์"ที่ประกอบด้วยโทษหรืออกุศลขึ้นได้อีกนั่นเอง จึงจักเป็นไปได้ตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรมหรืออิทัปปัจยตา ดังภาพที่แสดง
รูป
หรือ ธรรมารมณ์(คิดที่เป็นเหตุ) + ใจ + มโนวิญญูาณขันธ์ หยุด สังขารขันธ์(คิดที่เป็นผล-มโนกรรม)
วงจรแสดงขันธ์ทั้ง๕ ที่วนเวียนปรุงแต่ง |
อีกทั้งมโนกรรม อันเป็นผลที่เกิดขึ้นมาได้จากเหตุปัจจัยของการผัสสะของได้จากทั้ง รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และอีกทั้งธรรมารมณ์เอง จึงเป็นเหตุให้เกิดมโนกรรมที่จะแปรไปทำหน้าที่เป็นความคิดนึกปรุงแต่งได้มากมายหลายทาง โดยไม่รู้ตัวว่า แม้ทางทวารอื่นๆ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็เฉกเช่นกัน จึงกล่าวได้ว่ามโนกรรมเป็นเหตุปัจจัยสำคัญยิ่งให้เกิด"ความคิดนึกปรุงแต่ง"หรืออุทธัจจะ ในสังโยชน์ ๑๐ ขึ้น
รูป
|
ส่วนธรรมารมณ์นั้น ทำหน้าที่ได้ทั้งเป็นความคิดนึกทั่วไป ใช้ในกิจ ในการงาน ในการดำเนินชีวิต อีกทั้งยังทำหน้าที่เป็นความคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านได้อีกด้วย และควบคุมไม่ได้เช่นกัน จึงมีทั้งฝ่ายดี และชั่ว และกลางๆ ด้วยสามารถผุดนึกผุดจำขึ้นมาได้ตามวิสัยของชีวิต ฝ่ายชั่วได้แก่ธรรมารมณ์ที่ผุดเกิดมาแต่อาสวะกิเลสจึงเป็นสังขารกิเลส หรือธรรมารมณ์ที่แฝงกิเลสอยู่ในที จึงแปรเป็น"องค์ธรรม สังขาร"ในวงจรปฏิจจสมุปบาท แล้วดำเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทแทน, ฝ่ายดีนั้นก็ช่วยสร้างสรรค์ในกิจการงาน หน้าที่ ฯ., ส่วนกลางๆนั้น ได้แก่ การคิดนึกในการดำเนินชีวิตประจำวันต่างๆแม้ กิน นอน เดิน นั่ง ฯ., ฝ่ายมโนกรรมนั้นเป็นความคิดนึกอันเป็นผล ก็มีทั้งความคิดนึกทั่วๆไปทั้งดี ชั่วและกลางๆ เช่นเดียวกัน, แต่เมื่อเกิดมโนกรรมอันเล็งเห็นว่าเป็นโทษที่เป็นเหตุปัจจัยมาจากสังขารขันธ์อันเล็งเห็นว่าเป็นโทษเช่น ราคะ โทสะะ โมหะ ตัณหา ฯ. ก็ไม่เอา ปล่อยวาง ไม่ยินดียินร้าย หรืออุเบกขาเสีย ก็เพื่อไม่ให้เกิดแปรไปทำหน้าที่เป็น"ธรรมารมณ์ที่ประกอบด้วยกิเลส"ได้อีกนั่นเอง วงจรของการคิดนึกปรุงแต่งที่ให้โทษก็ย่อมขาดการสืบเนื่องหมุนเวียนต่อไป จึงกล่าวว่ารรมารมณ์ไม่สามารถดับมันได้ มีทั้งคุณและโทษเหมือนยาทั้งหลาย แต่เมื่อดำเนินไปจนเกิดเวทนาหรือสังขารขันธ์มโนกรรมแล้ว สามารถมีสติรู้เท่าทัน และเล็งเห็น(ปัญญา)ว่าเป็นโทษ ก็ไม่เอา หรืออุเบกขาเสียนั่นเอง
แม้ว่าเราย่อมไม่สามารถไปห้ามความคิดนึกได้ ดังความคิดนึก(มโนกรรม) เพราะเป็นผลที่เกิดขึ้นสืบเนื่องมาจากสังขารขันธ์ ซึ่งเป็นอนัตตา มโนกรรมจึงเกิดขึ้นด้วยเป็นธรรมดา และเป็นอิสระจากการควบคุมบังคับของเราเหมือนสังขารขันธ์เช่นกัน เนื่องจากขันธ์และมโนกรรมอีกทั้งสิ่งทั้งปวงล้วนเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จึงไม่สามารถควบคุมสังขารขันธ์และมโนกรรมอันเป็นผลที่เกิดสืบเนื่องได้ จึงต้องรับผลนั้น แต่แม้จะต้องรับผลนั้นๆ คือเกิดความคิดนึกต่างๆเป็นไปตามอิทธิพลของสังขารขันธ์นั้นๆขึ้นมา แม้เป็นอนัตตา แต่สามารถอุเบกขาความคิดนึกที่เป็นผลนี้ คือปล่อยวาง ไม่ยึดถือ จึงไม่แปรไปทำหน้าที่เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ต่อเนื่องอีกได้ ด้วยสติระลึกรู้เท่าทัน และปัญญาพละ ก็ด้วยการอุเบกขาเสียนั่นเอง ซึ่งเมื่ออุเบกขาเสียแล้ว ก็ย่อมขาดการเกิดการสืบเนื่องต่อไปอีกได้ สังขารขันธ์อันเป็นทุกข์ที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้นก็ย่อมเสื่อมคลาย จนดับไป ด้วยอำนาจพระไตรลักษณ์เป็นธรรมดา
ส่วนธรรมารมณ์นั้นเล่า แม้ก็เป็นอนัตตาเช่นกัน จึงควบคุมบังคับบัญชามันไม่ได้เช่นกันก็จริงอยู่ จึงสามารถผุดนึกผุดจำเกิดขึ้นมาได้จากสัญญาขันธ์ความจำที่สั่งสมอบรมไว้ของเราได้เป็นธรรมดาตามวิสัยของชีวิต ดังนั้นเราจึงไม่สามารถไปหยุดความคิดเหล่านั้นได้เช่นกัน ด้วยเป็นอนัตตาและยังจำเป็นยิ่งในการดำรงชีวิต ไม่มีสัญญาและธรรมารมณ์เสียก็ดำรงชีวิตอยู่ไม่ได้เลย จึงพึงทำความเข้าใจด้วยว่าพึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา และเมื่อเป็นเหตุได้เกิดขึ้นแล้ว คือเมื่อผุดขึ้นแล้วเมื่อยังไม่กระทบใจ ก็ย่อมยังไม่มีอะไรคือยังไม่รับรู้อะไร(จึงอุเบกขาเขาก็ยังไม่ได้) เพราะธรรมชาติหรือวิสัยของชีวิต เมื่อธรรมารมณ์ความคิดนึกผุดขึ้นมา ใจก็ย่อมต้องทำหน้าที่ของเขา คือต้องไปรับรู้ธรรมารมณ์นั้นๆ แล้วจะหยุดอยู่เฉยๆก็ไม่ได้ จึงดำเนินไปตามกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ ดังที่แสดงอยู่เนืองๆ ว่าเหมือนดั่งลูกศรที่หลุดออกจากแล่งแล้ว ย่อมต้องทะยานสู่เป้าหมายสุดท้ายเป็นธรรมดาอันคือสังขารขันธ์ เพราะย่อมต้องดำเนินไปตามกฏเหตุปัจจัยหรืออิทัปปัจจยจาหรือปฏิจจสมุปบันธรรม จึงยังต้องเกิดผลขึ้นตามมาเป็นธรรมดาคือเกิดสังขารขันธ์อารมณ์ต่างๆ จึงส่งผลให้เกิดเจตนา ให้กระทำการต่างๆ(กรรม)ต่างๆ เช่น มโนกรรม, อันเป็นไปตามหลักธรรม"อิทัปปัจจยตา" คือ"เมื่อเหตุนี้มี ผลนี้จึงย่อมมี"นั่นเอง จึงต้องดำเนินไปตามกระบวนธรรมของธรรมชาติ อันยังให้ต้องเกิดผลขึ้นเป็นธรรมดา จึงไปหยุดหรือดับเขาไม่ได้เช่นกัน จำต้องรับผลจากเหตุนั้นๆ เป็นธรรมดา(อย่าลืม จำให้แม่น สักว่าเวทนา และอารมณ์ต่างๆ(าังขารขันธ์) มันย่อมเป็นเช่นนี้เอง มันเป็นทุกข์ธรรมชาติ จึงจักไม่รบกวนใจท่านให้เร่าร้อนได้) จึงจะไปอุเบกขาในธรรมารมณ์เสียแต่แรกก็ไม่ได้ด้วยเหตุดังกล่าว จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไปหยุดคิดหยุดนึกธรรมารมณ์ทั้งปวงดื้อๆหรือทำตัวให้ว่างจากความคิดต่างๆทั้งหมดไม่ได้นั่นเอง เพราะยังไม่เกิดขึ้นมาเป็นเหตุเป็นปัจจัยคือกระทบกับ"ใจ"ผู้ที่มีหน้าที่รับรู้ ก็คือยังไม่ได้เกิดการทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์จริงๆ แต่เมื่อเกิดขึ้นมากระทบกับ"ใจ"แลัวจะหยุดเฉยก็ไม่ได้ ย่อมต้องเป็นไปตามเหตุปัจจัย จึงต้องดำเนินไปตามธรรมจนเกิดผลขึ้นคือสังขารขันธ์หรืออารมณ์ต่างๆขึ้น และจะพยายามหยุดคิดหยุดนึกทั้งปวงเสียเลยไม่ได้ก็เพราะจำต้องใช้ในการดำเนินชีวิตอีกด้วย ผู้ที่ไปพยายามห้ามธรรมารมณ์ คือพยายามหยุดการคิดหยุดการนึกทั้งปวงโดยไม่เข้าใจเหตุและผล จึงไม่ประสบความสำเร็จในที่สุดก็ด้วยเหตุนี้
หรือกล่าวง่ายๆ ธรรมารมณ์ กว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมารมณ์ได้ก็ต่อเมื่อดำเนินไปตามกระบวนธรรมของขันธ์ ๕ แล้วนั่นเอง เหมือนดั่งธนูหลุดออกจากแล่ง ย่อมทำงานไปจนจบสิ้นกระบวนธรรมคือสังขารขันธ์ จึงได้แค่รู้เท่าทันเวทนาหรือสังขารขันธ์หรือมโนกรรมที่เกิดขึ้นมานั่นเอง
ด้วยเหตุดั่งนี้ จึงกล่าวว่า เราไม่สามารถไปดับหรือหยุดทุกๆความคิดได้ ดังเช่นความคิดนึกฝ่ายธรรมารมณ์ ส่วนมโนกรรมนั้นแม้ไปหยุดเขาไม่ได้เพราะเป็นผล แต่สามารถที่จะปล่อยวางโดยการอุเบกขา คือไม่เอา ไม่ไปพัวพัน จึงประสบผลสำเร็จได้ ยิ่งถ้าประกอบด้วยปัญญาพละจากความเข้าใจเหตุปัจจัยธรรม ส่วนธรรมารมณ์จะปล่อยวางโดยการอุเบกขาย่อมไม่ได้ดังกล่าวแล้ว เพราะเมื่อเกิดขึ้นนั้นทำหน้าที่เป็นเหตุ จึงจำยอมต้องดำเนินไปจนสิ้นสุดกระบวนธรรมคือจนเกิดผล
กล่าวโดนสรุป ธรรมารมณ์ความคิดนึกเป็นสิ่งจำเป็นและะมีประโยชน์ทั้งต่อการดำเนินและดำรงของชีวิต อีกทั้งสามารถผุดนึกผุดจำได้เองจากสัญญาความจำอันเป็นวิสัยของชีวิตที่พึงต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แท้จริงแล้วจึงไปหยุดไปห้ามเขาไม่ได้เลย จำเป็นยิ่งในการดำเนินชีวิตเพราะเราไม่ใช่มนุษย์กลหรือ robot, เราจะรับรู้การเกิดของธรรมารมณ์ที่เป็นเหตุขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อดำเนินไปจนเกิดเวทนาและมโนกรรมความคิดนึกที่เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งจากสังขารขันธ์คืออารมณ์ต่างๆคิดอ่านทำให้เกิดขึ้น และมักไปทำหน้าที่ให้เกิดการ"คิดนึกปรุงแต่ง" เราจึงสามารถมีสติรู้เท่าทันมันได้เพราะเป็นผลที่เกิดขึ้นมาแล้วนั่นเอง อีกทั้งปัญญาที่รู้ว่าเป็นโทษ จึงปล่อยวาง ไม่เอา ไม่ยินดียินร้าย หรืออุเบกขาเขาเสีย ได้ทั้งเวทนาหรือมโนกรรมก็ได้ตามแต่สติที่รู้เท่าทันตามจริตหรือปัญญาที่สั่งสมไว้นั่นเอง
ในกระบวนธรรมที่แสดงต่อไปนี้ แสดงความคิดนึกฝ่ายมโนกรรมอันเป็นฝ่ายผลที่เกิดขึ้น เนื่องมาจากการกระทบผัสสะของเหตุ(เช่นธรรมารมณ์, รูป,เสียง ฯ.)กับอายตนะต่างๆ ทั้งจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ทั้ง ๖ นั้นก็คือ ผลหรือมโนกรรมที่เกิดขึ้นเนื่องสัมพันธ์จากสังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นนั้นๆ เพราะสังขารขันธ์หรืออารมณ์ย่อมยังให้เกิดสัญเจตนาคือความเจตนาความจงใจให้เกิดการกระทำ(กรรม)ต่างๆขึ้น ซึ่งย่อมรวมมโนกรรมหรือการกระทำทางใจหรือความคิดนึกอันเป็นผลนั่นเองขึ้นได้ด้วย ความคิดนึกฝ่ายผลที่เกิดขึ้นนี้ เนื่องจากเกิดมาจากสังขารขันธ์ ซึ่งเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จึงไปควบคุมบังคับบัญชาเขาไม่ได้เลย ย่อมเกิดขึ้นและเป็นไปตามเหตุต่างๆที่มาปรุงแต่งเป็นปัจจัยกันตามกระบวนธรรม ดังกระบวนธรรมด้านล่างนี้ ซึ่งทำให้ไม่สามารถไปควบคุมบังคับไม่ให้เกิดไม่ได้ ด้วยเป็นผลที่ออกมาจากเหตุแล้วนั่นเอง อันเป็นไปตามหลักเหตุและผล หรือหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง
คิดนึกที่เป็นเหตุ ผัสสะ ธรรมารมณ์ |
รูปเป็นเหตุ ผัสสะ รูป
|
เมื่อเกิดสังขารขันธ์จนเกิดความคิดนึกต่างๆ(มโนกรรม) แล้วมีสติรู้เท่าทัน อีกทั้งอุเบกขาเสีย เหตุที่ก่อให้เกิดเนื่องต่อไปอีกย่อมไม่มี คือเหตุก่อได้ดับไปเสียแล้วนั่นเอง เนื่องจากสังขารขันธ์ทุกข์หรืออกุศลสังขารนั้น ได้อุเบกขาเสียแล้ว จึงไม่เกิดความคิดต่างๆ(มโนกรรม) จึงไม่มีอะไรเปลี่ยนไปทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์วนเวียนอีก กล่าวคือไม่มีเหตุก่อให้เกิดขึ้นอีกนั่นเอง หรือเรียกกันทั่วไปว่าดับไป จึงก่อให้เกิดความสับสนว่าสามารถดับไปจริงๆ แต่แท้จริงแลัวเกิดขึ้นจากการอุเบกขาจึงไม่เกิดขึ้นมาเป็นเหตุให้ไปทำหน้าที่เป็นธรรมารมณ์ได้อีก คือไม่เกิดการสืบเนื่องต่อไปได้อีก เป็นไปดังนี้
ไม่มีเหตุก่ออีก ผัสสะ ธรรมารมณ์(ไม่เกิดขึ้นอีก) |
อีกประการหนึ่ง
พึงพิจารณาให้เห็น ความคิดนึกอันเป็นผลที่เกิดจากสังขารขันธ์นั้น(มโนกรรม) แม้เราควบคุมบังคับบัญชาเขาไม่ได้
เช่น ความคิดนึกที่เกิดขึ้นจากสังขารขันธ์
เช่น โทสะ โลภะ ตัณหา สุข ทุกข์ ฯ. ทั้งหลาย แล้วเป็นผลให้เกิดมโนกรรม(ความคิดนึก)ต่างๆขึ้นนั้น แต่เราอุเบกขาเสียได้ แต่ปุถุชนมักแปรปรวนเปลี่ยนแปลงความคิดนึกเหล่านั้น ด้วยความไม่รู้
ไปเป็นความคิดนึกฝ่ายเหตุหรือธรรมารมณ์ได้อีกเรื่อยไปอีกด้วย จึงทำให้เกิดทุกข์อย่างวนเวียนเป็นวงจร
จึงต่อเนื่องอย่างยาวนานและเร่าร้อนทวีคูณขึ้นเป็นลำดับ ดังวงจรของขันธ์ ๕ และวงจรอุปาทานขันธ์
๕ ในชราของวงจรปฏิจจสมุปบาทที่แสดง การหมุนหนุนเนื่องเป็นวงจร
จึงอยู่ได้อย่างยาวนานและจึงทวีกำลังแรงขึ้นเป็นลำดับ
รูป
หรือ ธรรมารมณ์(คิดที่เป็นเหตุ) + ใจ + มโนวิญญูาณขันธ์ หยุด สังขารขันธ์(คิดที่เป็นผล-มโนกรรม)
วงจรแสดงขันธ์ทั้ง๕ ที่วนเวียนปรุงแต่ง |
รูปูปาทานขันธ์(เหตุ)
+ ใจ + วิญญูาณูปาทานขันธ์ หยุด สังขารูปาทานขันธ์
(คิดที่เป็นทุกข์(ผล)-มโนกรรม) วงจรอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ที่ล้วนถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว ในชราของวงจรปฏิจจสมุปบาท |
พึงพิจารณาโดยละเอียดและแยบคาย จะเห็นความจริงว่า ความคิดนึกฝ่ายผลหรือมโนกรรมนั้นเราสามารถทำไม่ให้เกิดขึ้นมาเป็นเหตุได้อีก จากการอุเบกขาเป็นกลางเสียในสังขารขันธ์ทุกข์(ความคิดอันเป็นผล-มโนกรรม)ที่เกิดขึ้นมานั้น แต่ความคิดนึกที่เกิดจากฝ่ายผลนั้น ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัยของการผัสสะของขันธ์ทั้ง ๕ คือตามสังขารขันธ์อันเป็นผลจึงต้องยอมรับมันเป็นเช่นนั้นเอง เราจึงต้องอุเบกขาในสังขารขันธ์ความคิดนึก(มโนกรรม)ที่เกิดขึ้น เหตุจึงเกิดขึ้นต่อเนื่องไปอีกไม่ได้
ดังที่มีการกล่าวอยู่เนืองๆ ให้หยุดคิดนึกปรุงแต่ง หยุดฟุ้งซ่าน ไม่เอาไปคิด หรืออุเบกขา ทั้งปวงเหล่านั้น จึงหมายถึง การหยุดหรือดับของความคิดนึกของผลที่เกิดขึ้น(คือฝ่ายมโนกรรม)นั่นเอง ก็เพื่อไม่ให้ไปเกิดแปรปรวนไปเป็นความคิดฝ่ายเหตุขึ้นมาอีกนั่นเอง แต่ย่อมไม่สามารถไปดับความคิดนึกต่างๆที่เกิดขึ้นเนื่องจากสังขารขันธ์(มโนกรรม)อันเป็นผลได้โดยตรงด้วยเป็นอนัตตาไม่ใช่ของเรา ด้วยเหตุนี้เราจึงทำได้ด้วยการหยุดการคิดนึกปรุงแต่ง หรือการฟุ้งซ่านหรือมโนกรรมที่เกิดขึ้น ได้ด้วยการอุเบกขาเสียเท่านั้น ที่ต้องมีสติระลึกรู้เท่าทันอีกทั้งปัญญาพละ จากความเข้าใจอันแจ่มแจ้งจึงมีกำลัง สักว่าสังขารขันธ์ เกิดขึ้นแต่เหตุปัจจัยจากการผัสสะ มันจึงเกิดขึ้นและเป็นไปเช่นนี้เอง
สรุปหลักในการปฏิบัติ เมื่อขันธ์ ๕ ดำเนินไปตามกระบวนธรรม คือเมื่อเกิดการกระทบกันของอายตนะภายนอกและภายใน ย่อมเกิดการผัสสะ จนในที่สุดคือเกิดสังขารขันธ์หรืออารมณ์ในทางโลกต่างๆ อันทำให้จิตเศร้าหมองหรือเป็นโทษ ดังเช่น เช่น โลภ โกรธ หลง ทุกข์ ตัณหา หดหู่ ฟุ้งซ่าน ฯลฯ. อย่างใดก็ตามขึ้นมา ล้วนเป็นผลที่เกิดขึ้นจากกระบวนธรรมการทำงานประสานกันของขันธ์ทั้ง ๕ ทั้งสิ้น ซึ่งย่อมไม่สามารถควบคุมบังคับหรือไปปรารถนาให้ขันธ์ทั้ง ๕ ทำงานอย่างที่ต้องการได้เลย เป็นเรื่องที่ย่อมต้องเกิดขึ้นเช่นนี้เป็นธรรมดา ตามเหตุปัจจัย จึงสักว่ามันเป็นเช่นนี้เอง ไม่มีสาระให้ยึดถือ ยังไงๆก็เกิดขึ้นและเป็นไปเช่นแค่นี้เอง ดังนั้นผู้ปฏิบัติต้องมีสติระลึกรู้เท่าทัน อีกทั้งเข้าใจแจ่มแจ้งจึงมีปัญญาพละ จึงไม่เอาความคิดนึกต่างๆที่เกิดขึ้นมาอันเป็นผลมาจากสังขารขันธ์นั้นๆ(มโนกรรม) มาปรุงแต่งฟุ้งซ่านต่อให้เป็นเหตุก่อให้เกิดการต่อเนื่องวนเวียนเป็นวงจรของทุกข์ ด้วยการอุเบกขาเสียนั่นเอง แล้วสังขารขันธ์ทุกข์ต่างๆที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้น ก็จักย่อมเสื่อมสิ้นไปด้วยอำนาจธรรมนิยามอันเป็นวิสัยของโลก, ส่วนสังขารขันธ์ที่เกิดขึ้นแล้วทำให้จิตผ่องแผ้วเช่น สุขใจ สบายใจ ความสงบ ฯลฯ. เมื่อรู้เท่าทันแล้ว ก็อย่าพึงติดเพลิน ฟุ้งซ่านไปเช่นกัน การปฏิบัติแบบนี้เรียกว่าจิตตานุปัสสนา
หรือเมื่อสติระลึกรู้เท่าทันในเวทนา และอีกทั้งปัญญาพละจากการรู้แจ้ง ว่าสักว่าเวทนา ยังไงๆก็เกิดขึ้นและเป็นไปเช่นแค่นี้เอง ตามการผัสสะเช่นนี้เอง จิตจึงมีปัญญาพละจากการรู้แจ้งในการเกิดขึ้นและดับไปของเวทนา ว่าเป็นเช่นนี้เอง จึงปล่อยวางเวทนาลงได้ ด้วยสักว่าเวทนา ดังนี้เรียกว่าเวทนานุปัสสนา
ส่วนความคิดนึกที่ ผุดคิด ผุดนึก ผุดจำ ผุดลอยขึ้นมา ผุดใช้ในกิจการงานต่างๆ ผุดใช้ในชีวิตประจำวัน หรือผุดขึ้นแม้ในความฝัน เรียกกันทั่วๆไปว่าธรรมารมณ์ ก็เป็นธรรมชาติของชีวิตอย่างหนึ่ง แม้เกิดการผุดคิดผุดนึกขึ้นมาเอง ย่อมไปทำหน้าที่เป็นเหตุ (แม้จะเป็นผลมาจากสัญญาเดิมๆ หรือจากเหล่าอาสวะกิเลสที่นอนเนื่องนั่นเอง ย่อมเกิดขึ้นได้เป็นธรรมดา และควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามความปรารถนาไม่ได้ เปรียบได้ดั่งองค์ธรรม"สังขาร"ในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง ที่ทำหน้าที่เป็นเหตุเมื่อผุดขึ้นมา) เมื่อเกิดเหตุแล้ว จึงย่อมเกิดผลขึ้น ตามหลักอิทัปปัจจยตานั่นเอง จึงย่อมเกิดเวทนาและสังขารขันธ์(อาการของจิตหรืออารมณ์ต่างๆทางโลก)ขึ้นได้เหมือนกันเป็นธรรมดา การที่ผุดคิดผุดนึกขึ้นมานั้น(หรือสังขารในปฏิจจสมุปบาท)ไม่ใช่เป็นเรื่องผิดปกติอันใด ไม่ใช่ว่าจิตเราเป็นอกุศลแต่อย่างใด มันเป็นเช่นนี้เอง เป็นเรื่องของธรรมชาติธรรมดาๆของชีวิตหรือวิสัยของโลก ตามที่ได้เคยสั่งสมอบรมประพฤติปฏิบัติไว้ เพราะสัญญาทั้งปวงเป็นอนัตตา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา จึงควบคุมบังคับไม่ได้ มันเป็นเช่นนี้เอง อย่าได้ให้จิตหลอกล่อไปฟุ้งซ่านปรุงแต่ง สักว่าแต่รู้ เพียงแต่ว่าเมื่อมีสติรู้เท่าทันแล้ว ปัญญาพึงรู้อีกว่าถ้าความคิดนึกนี้มาจากสัญญาอันเป็นอกุศล ก็อย่าให้ไปทำหน้าที่เป็นเหตุเสียอีก ก็ด้วยการอุเบกขาเสีย เพียงสักว่าสัญญา มันทำหน้าที่ของเขาเช่นนี้เอง สักว่าเกิดขึ้นเป็นไปแค่ผัสสะแรกเท่านั้นเอง แล้วสลายเสื่อมดับไปด้วยไตรลักษณ์
ดังนั้นความคิดนึก(ทั้งธรรมารมณ์และมโนกรรม)ที่ใช้ในการดำรงชีวิตและกิจการงาน หรือธรรมวิจยะ อันเกิดขึ้นนั้น ก็ให้เป็นไปตามปกติธรรมดา อย่าไปพยายามหยุดคิดหยุดนึกเสีย อย่าไปพยายามยึดความว่างด้วยเข้าใจว่าเป็นสุญญตาว่าเป็นความว่างทั้งปวงจึงไม่เป็นทุกข์ด้วยความเข้าใจผิด เพียงว่างจากทุกข์หรือมโนกรรมปรุงแต่งอันเป็นโทษ
หลักการปฏิบัติที่ถูกต้อง จึงต้องอุเบกขาในมโนกรรมความคิดนึกที่เป็นผลจากสังขารขันธ์ ไม่ใช่ในธรรมารมณ์ความคิดนึกที่เป็นธรรมชาติของจิตอันจำเป็นในการดำเนินชีวิตอีกด้วยนั่นเอง จึงจักเกิดผลคือดับทุกข์ได้
ธรรมารมณ์ เมื่อเกิดผุดขึ้นมาแล้วย่อมทำหน้าที่เป็นเหตุกับขันธ์ทั้ง ๕ เมื่อเกิดเหตุแล้ว ย่อมต้องเกิดผล อันเป็นไปตามหลักธรรมอิทัปปัจจยตา จึงย่อมต้องรับผล คือรับรู้ทั้งเวทนา และสังขารขันธ์ อีกทั้งมโนกรรม ที่ล้วนเป็นผลเกิดขึ้นตามมา เป็นไปตามความเป็นจริง ดังที่กล่าวไว้แล้วว่า ขันธ์ทั้ง ๕ ทำงานเป็นอิสระจากใครๆ ทำงานเพียงดุจดั่งเครื่องจักรกลคือทำงานตามหน้าที่ของตนของขันธ์เท่านั้น ไม่ทำอื่น แต่ถึงแม้ว่ามีผลเกิดขึ้น แต่สามารถทำให้ไม่เกิดการสืบเนื่องต่อไปอีกได้คือเกิดการเสื่อมจนดับไป ด้วยการหยุดไม่ปรุงแต่งมโนกรรมนั่นเอง คือหยุดคิดปรุงแต่งต่อไปนั่นเอง หรืออุเบกขา
ภาพแสดงกระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง๕ ที่มักยังให้พลาดท่าเกิดทุกข์หรือการคิดนึกฟุ้งซ่าน จึงสามารถปรุงแต่งวนเวียนเป็นวงจรได้อย่างไม่รู้จบ