กลับสารบัญ

 คลิกขวาเมนู

        อุปาทานขันธ์  ขันธ์ที่ประกอบด้วยอุปาทาน ได้แก่ เบญจขันธ์หรือขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วยอุปาทาน คือ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร, วิญญาณที่ประกอบด้วยอาสวะ คือมีกิเลสครอบงำอยู่ในขันธ์ต่างๆแล้ว,  ซึ่งมีชื่อเรียกเฉพาะว่า รูปูปาทานขันธ์,  เวทนูปาทานขันธ์,  สัญญูปาทานขันธ์,  สังขารูปาทานขันธ์  วิญญาณูปาทานขันธ์

        อุปาทานขันธ์ ก็คือขันธ์ ๕ ที่แฝงเจตนาหรือความคิดอ่านที่ประกอบด้วยกิเลสของตัวตน

อุปาทานขันธสูตร

        [๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้ ๕ ประการ เป็นไฉน

คือ รูปูปาทานักขันธ์ ๑   เวทนูปาทานักขันธ์ ๑    สัญญูปาทานักขันธ์ ๑   

สังขารูปาทานักขันธ์ ๑   วิญญาณูปาทานักขันธ์ ๑   

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุปาทานขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯลฯ   

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ เพื่อละ อุปาทานักขันธ์ ๕ ประการนี้แล ฯ  

(พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓)

พุทธพจน์ แสดงขันธ์ ๕ และอุปาทานขันธ์ ๕

ปัญจขันธสูตร

        [๙๕] ....."ภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงขันธ์ ๕  และอุปาทานขันธ์ ๕    เธอทั้งหลายจงฟัง"

        "ขันธ์ ๕  เป็นไฉน ?    รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ    อันใดอันหนึ่ง   

ทั้งที่เป็นอดีต    อนาคต    ปัจจุบัน    เป็นภายในก็ตาม    ภายนอกก็ตาม    หยาบก็ตาม    ละเอียดก็ตาม    

ทรามก็ตาม    ประณีตก็ตาม    ไกลหรือใกล้ก็ตาม   เหล่านี้  เรียกว่า  ขันธ์ ๕".....

         [๙๖] ....."อุปาทานขันธ์ ๕  เป็นไฉน ?    รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ    อันใดอันหนึ่ง    

ทั้งที่เป็นอดีต    อนาคต    ปัจจุบัน    เป็นภายในก็ตาม    ภายนอกก็ตาม    หยาบก็ตาม    ละเอียดก็ตาม    

ทรามก็ตาม    ประณีตก็ตาม    ไกลหรือใกล้ก็ตาม    

ที่ประกอบด้วยอาสวะ  เป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน(หรือถูกอุปาทานครอบงำในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง)...เหล่านี้  เรียกว่า    อุปาทานขันธ์ ๕"....

(สํ.ข. ๑๗ / ๙๕-๙๖ /๕๘-๖๐)

         "ภิกษุทั้งหลาย  เราจักแสดงธรรมทั้งหลายซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน   และตัวอุปาทาน   เธอทั้งหลายจงฟัง.

"รูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ   คือ ธรรม(สิ่ง)อันเป็นที่ตั้งแห่งอุปาทาน     

(ส่วน)ฉันทราคะ(ก็คือตัณหา) ในรูป...เวทนา..สัญญา...สังขาร...วิญญาณ  นั้นคือ  อุปาทานในสิ่งนั้นๆ"

(ฉันทะราคะ คือความชอบใจจนติด  หรืออยากอย่างแรงจนยึดติด  กล่าวคือตัณหา  จึงเป็นเหตุปัจจัยจึงมีอุปาทานครอบงำ)

(สํ.ข. ๑๗ / ๓๐๙ / ๒๐๒)

 

         ในทางพระพุทธศาสนา  เราสามารถแยกกระบวนการทำงานของจิต  หรือกระบวนธรรมของจิตได้เป็น ๒ แบบใหญ่  อันต่างก็ล้วนเป็นกระบวนการธรรมชาติของจิต  แต่ฝ่ายหนึ่งเป็นการดำรงชีวิตอย่างเป็นปกติ  และอีกฝ่ายหนึ่งเมื่อดำเนินเกิดขึ้นแล้วก่อให้เกิดความทุกข์อุปาทาน คือความทุกข์ที่ประกอบหรือถูกครอบงำด้วยอุปาทานอันเร่าร้อนเผาลนขึ้นทั้งต่อกายและใจ อันเป็นไปตามกระบวนธรรมปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง

         ขันธ์๕  เป็นกระบวนธรรมของจิต แบบไม่เป็นทุกข์อุปาทาน  เป็นกระบวนธรรมที่จำเป็นยิ่งในการดำเนินชีวิตอย่างเป็นปกติ  มีเหมือนกันทั้งในปุถุชน และพระอริยเจ้าผู้ยังมีชีวิตอยู่

         อุปาทานขันธ์๕   เป็นกระบวนธรรมของจิต ชนิดที่ก่อให้เกิดอุปาทานทุกข์ขึ้น  เป็นสภาวะธรรมชาติเหมือนกัน  แต่เป็นฝ่ายที่ก่อให้เกิดทุกข์โทษภัยแก่ผู้ดำเนินอยู่  มีอยู่แต่ในปุถุชน กล่าวคือเป็นกระบวนธรรมของจิตที่ดำเนินเป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทจนเกิดทุกข์อุปาทานอันแสนเร่าร้อนเผาลนขึ้นเป็นที่สุด  เป็นกระบวนธรรมของจิตฝ่ายก่อให้เกิดความทุกข์   อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้จึงไม่มีเกิดในเหล่าพระอริยเจ้า

         อุปาทาน ความยึดมั่น, ความถือมั่น  อันเป็นไปตามกำลังอำนาจกิเลส เพื่อความพึงพอใจของตัวของตน  หรือ

         อุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น เพื่อความพึงพอใจของตัวของตน เป็นสําคัญในสิ่งใดๆทุกๆสิ่ง  อันท่านตรัสว่า อุปาทาน มี ๔

                ๑. กามุปาทาน  คือการยึดมั่นพึงพอใจติดพันในกาม ในสิ่งที่อยากได้หรือไม่อยากได้ ในกามหรือทางโลกๆ เช่นใน รูป, รส, กลิ่น, เสียง, โผฏฐัพพะ(สัมผัส)

                ๒. ทิฏฐุปาทาน  คือการยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสหรือความพึงพอใจของตัวของตน ในความเชื่อ, ความเข้าใจ(ทิฏฐิ), ทฤษฎี, ความคิด, ลัทธิของตัวของตน. อันมักมีความอยากให้เป็นไป หรือไม่อยากให้เป็นไปตามที่ตนเชื่อ, ตามที่ตนยึดถือ, หรือตามที่ตนยึดมั่น, ตามที่ตนเข้าใจ   ถ้าผิดไปจากที่ตนพึงพอใจยึดถือหรือเข้าใจ ก็จะไม่เห็นด้วยหรือต่อต้าน โดยไม่รู้ถูกรู้ผิดตามความเป็นจริงของธรรม

                ๓. สีลัพพตุปาทาน  คือการยึดมั่น ถือมั่น ยินดียินร้ายในศีล(ข้อบังคับ)และพรต(ข้อปฏิบัติ) อันมักเติมแต่งด้วยกิเลสหรือตัณหาอย่างเข้าใจผิดๆ หรืออย่างงมงาย หรือตามความเชื่อที่สืบต่อตามๆกันมาแต่ไม่ถูกต้อง เช่น การทรมานกายเพื่อให้บรรลุธรรม,  ถือคีลหรือทําแต่บุญอย่างเดียวแล้วจะพ้นทุกข์หรือบรรลุธรรมจึงขาดการวิปัสสนา,  เชื่อว่าขลังว่าศักสิทธิ์,  เชื่อว่าปฏิบัติสมาธิอย่างเดียวจนแก่กล้าแล้วปัญญาบรรลุมรรคผลจักเกิดขึ้นเองจึงไม่จําเป็นต้องปฏิบัติวิปัสสนา(พิจารณาธรรม)จนมีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้อง(สัมมาญาณ),  ทําบุญเพื่อไปสวรรค์แต่ฝ่ายเดียว,  กราบพระหรือสิ่งศักสิทธิ์หรือทําบุญเพื่อบนบานหวังความสุข ขอทรัพย์ ขออย่าให้มีทุกข์ โศก โรคภัย เสนียดจัญไรต่างๆมาแผ้วพาน, การบนบาน ฯลฯ.  อันล้วนเกิดขึ้นแต่อวิชชา คือยังไม่รู้ไม่เข้าใจตามความเป็นจริง  จึงไปยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆก็เพื่อเป็นที่ยึด ที่วางจิต คือให้เป็นกำลังจิตเป็นกำลังใจโดยไม่รู้ตามความเป็นจริงด้วยอวิชชา

                ๔. อัตตวาทุปาทาน  คือความยึดมั่นในวาทุ หรือวาทะ(ถ้อยคํา,คําพูด)ของตนเอง คือเกิดการยึดมั่นถือมั่นเป็นที่สุดว่าเป็นของตนของตัวโดยไม่รู้ตัว เหตุเนื่องมาจากคําพูดหรือถ้อยคำที่ใช้ในการสื่อสารเพื่อแสดงความเป็นตัวตน,ของตน,หรือของบุคคลอื่น   อันเป็นเพียงแค่สื่อถ้อยคําอันจำเป็นเพื่อให้เกิดความเข้าใจในการสื่อสารซึ่งกันและกันในสังคม  แต่ก็ก่อกลายให้เกิดเป็นความหลงผิดขั้นพื้นฐาน ที่เกิดในชีวิตประจําวันอย่างสมํ่าเสมอจนเป็นสังขารความเคยชินหรือการสั่งสมอันยิ่งใหญ่โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว,   เนื่องเพราะความจําเป็นที่ต้องใช้ในการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่นๆนี้เองโดยทางวาจาหรือถ้อยคํา และยังต้องมีการช่วยเสริมด้วยถ้อยคําภาษาสมมุติต่างๆเพื่อใช้สื่อสารต่อกันและกันเพื่อความเข้าใจอย่างละเอียดละออถูกต้องในชีวิตประจําวัน  จึงก่อให้เกิดการสั่งสม  การหลง ความเคยชิน อันก่อเป็นความจำอย่างอาสวะกิเลสแล้วยังเป็นสังขารในปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง,   ทําให้เกิดการมองเห็นสิ่งต่างๆเกิดการแยกออกจากกันและกัน คือก่อตัวก่อตนขึ้นตามคําพูดนั้นๆโดยไม่รู้ตัว  ทําให้เกิดความจำว่าเป็นของตัวของตน, ของบุคคลอื่นเด่นชัดขึ้นในจิตโดยไม่รู้ตัว เป็นประจําทุกขณะจิตที่สื่อสารพูดคุยกัน  จึงก่อให้เกิดความหลงผิดหลงยึดถือด้วยความเคยชินตามที่สั่งสมโดยไม่รู้ตัว ดังเช่น ของๆผม, ของๆคุณ, บ้านผม, รถฉัน, ลูกฉัน, เงินฉัน, สมบัติฉัน, นั่นของคุณ, นี่ของผม, นี่ไม่ใช่ของผม ฯลฯ. จนเกิดการไปยึดถือ, ยึดติด, ยินดียินร้ายหรือพึงพอใจตามภาษาที่ใช้สื่อสารกันนั้นโดยไม่รู้ตัวอยู่ตลอดเวลา ในทุกขณะจิตในชีวิตประจําวัน โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่มีสังคมและการแข่งขันสูง และการสื่อสารที่ทันสมัย   

มองทุกข์ที่เกิดในแง่มุมของอุปาทานขันธ์๕

        อุปาทานขันธ์ ๕ มองในมุมของปฏิจจสมุปบาท คือ กระบวนธรรมของขันธ์ทั้ง ๕ หรือกระบวนการทำงานที่เนื่องสัมพันธ์กันของขันธ์ทั้ง๕ ของชีวิตที่ดำเนินอยู่  แต่มีตัณหาหรือนันทิความติดเพลินเกิดขึ้น  จึงเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน อันคืออกุศลสัญเจตนาความคิดอ่านหรือจงใจที่เป็นไปตามอำนาจกิเลสตน จึงส่งผลให้เกิดอกุศลกรรมต่างๆขึ้น, อุปาทานจึงเป็นปัจจัยให้ขันธ์ทั้งหลาย ถูกครอบงําหรือประกอบด้วยอุปาทาน,   ถ้าพิจารณาจากวงจรปฏิจจสมุปบาทก็เกิดขึ้นในองค์ธรรม "ชาติ และ ชรา"

        หรือ อุปาทานขันธ์๕ ก็คือ ขันธ์ ๕ ที่ประกอบด้วยอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในกิเลส ให้เป็นไปตามความพึงพอใจของตัวตนเป็นใหญ่ คือมีความยึดมั่นเยี่ยงนี้แฝงอยู่ในเหล่า รูป  เวทนา  สัญญา  สังขาร  และวิญญาณ ในขันธ์ต่างๆของขันธ์ ๕  ตามภพที่ได้เลือกไว้โดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี  เช่นกามภพชนิดขุ่นเคืองคับแค้นเกิดจากอุปาทานไม่ได้รับการตอบสนองความพึงพอใจตามที่ตัวตนคาดหวัง   กามภพชนิดสุขใจก็เกิดจากอุปาทานได้รับการตอบสนองเป็นไปตามความพึงพอใจของตัวตน ดั่งเช่น ถ้าพูดถึงหรือคิดถึงหรือกระทําอะไรให้บุคคลบางคนเช่น ลูก พ่อแม่ คนรัก ซึ่งจะเป็น " รูป " คือสิ่งที่ถูกรู้ชนิดที่แฝงอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในสุขหรือความพึงพอใจของตัวตนเองอยู่ในที คือมีอุปาทานยึดมั่นพึงพอใจในรูปนั้นติดมาด้วยแบบรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ดี  อันถ้ามีตัณหากระตุ้นเพียงเล็กน้อยก็จักเป็นเหตุปัจจัยให้อุปาทานที่นอนเนื่องอยู่  เกิดการทำงาน แล้วดำเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทได้อย่างง่ายๆทันที คือ เป็นรูปที่ก่อเป็นสุขหรือทุกข์ก็ได้แทบทันที  เพราะความคุ้นเคยหรือดุจดั่งฟืนที่เคยไฟ  และท่านเรียกรูปที่เกิดอย่างนี้ และรูปขันธ์หรือตัวตนที่มีอุปาทานครอบงําหรือทํางานร่วมด้วยแล้วว่า "รูปูปาทานขันธ์ หรือ อุปาทานรูป"

        เวทนา ก็เรียกว่า เวทนูปาทานขันธ์ หรือ อุปาทานเวทนา   เวทนาความรู้สึก ที่ประกอบหรือแอบแฝงด้วยความยึดมั่นด้วยกิเลส เพื่อความพึงพอใจของตัวตน

        สัญญา ก็เรียกว่า  สัญญูปาทานขันธ์ หรือ อุปาทานสัญญา  สัญญาความจำ ที่ประกอบหรือแอบแฝงด้วยความยึดมั่นด้วยกิเลส เพื่อความพึงพอใจของตัวตน

        สังขาร ก็เรียกว่า สังขารูปาทานขันธ์ หรือ อุปาทานสังขาร  การกระทำต่างๆ ที่ประกอบหรือแอบแฝงด้วยความยึดมั่นด้วยกิเลส เพื่อความพึงพอใจของตัวตน

        วิญญาณ ก็เรียกว่า วิญญานูปาทานขันธ์ หรือ อุปาทานวิญญาณ   การรู้แจ้ง ที่ประกอบหรือแอบแฝงด้วยความยึดมั่นด้วยกิเลส เพื่อความพึงพอใจของตัวตน

 

        พอจําแนกการเกิดอุปาทานขันธ์ ๕ เป็นได้ ๒ จําพวก

        ๑. เกิดจากขันธ์ ๕ ปกติ  แล้วมีเวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา หรือก็คือมีตัณหามากระทําต่อเวทนาที่เกิดขึ้นนั้น ตามกระบวนการเกิดขึ้นแห่งทุกข์(ปฏิจจสมุปบาท)จึงเกิดอุปาทานขึ้น  ดังนั้นขันธ์ที่เหลือที่เกิดต่อไปในขบวนหรือกระบวนธรรมจึงกลับกลายเป็นขันธ์ที่มีอุปาทานร่วมหรือครอบงําด้วย  หรือก็คือกระบวนของขันธ์ ๕ ที่ยังดำเนินไปไม่จบกระบวน จึงต้องดำเนินเกิดต่อเนื่องจากเวทนาต่อไป  จึงดำเนินต่อเนื่องไปแต่ครั้งนี้ล้วนประกอบหรือแฝงด้วยอุปาทาน  กล่าวคือดำเนินต่อไปใน ชาติ และ ชรา อันเป็นทุกข์เร่าร้อนเสียแล้ว   อันเมื่อแสดงเป็นแผนภูมิร่วมระหว่างขันธ์ ๕ และปฏิจจสมุปบาท เพื่อขยายให้เกิดความเข้าใจ พอแสดงได้ดังนี้

ตา รูป วิญญาณ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ เกิดอันคืออุปาทานสัญญา อุปาทานสังขารขันธ์

หรือแบบมีรายละเอียด

ตา รูป วิญญาณ ผัสสะ สัญญาจํา เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ เกิดคือขันธ์ที่เหลือ เกิดต่อไปเป็นอุปาทานสัญญา(หมายรู้) อุปาทาน(มโน)วิญญาณ อุปาทานสังขารขันธ์

        แล้วเกิดอุปาทานขันธ์ ๕ แบบข้อ ๒ ที่แสนเร่าร้อนเผาลนต่อเนื่องไปอีกหลายๆครั้ง วนเวียนเป็นวงจรย่อยๆอยู่ในชรา  จนกว่าจะดับไป(มรณะ)

        ๒. เมื่อเกิดอุปาทานขันธ์ ดังข้อที่๑ แล้ว  ก็จักเกิดอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ อันเกิดขึ้นจากความคิดนึกปรุงแต่งที่เกิดขึ้นต่อเนื่องในเรื่องนั้นๆ คือ เกิด ดับๆ อีกหลายๆครั้งหลายๆหนอยู่ในชรา จนกว่าจะดับ(มรณะ)ไป  กล่าวคือ อุปาทานสังขารขันธ์ จากที่เกิดขึ้นในข้อที่ ๑ นั้น เช่น เป็นความคิดใดๆ ก็จะถูกหยิบยกมาปรุงแต่งใหม่ขึ้นอีก ดังนั้นอุปาทานสังขารขันธ์ข้างต้นนี้ จึงถูกทำหน้าที่เป็น รูปูปาทานขันธ์ หรือเป็นอุปาทานรูป ของความคิดนึกปรุงแต่งครั้งใหม่  ดังนั้นขันธ์ต่างๆที่เกิดต่อเนื่องไปในชราดังที่แสดงด้านล่างนี้  จึงล้วนถูกครอบงําไว้ด้วยอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจในตนของตนอย่างเรียบร้อยบริบูรณ์กล่าวคือทุกขันธ์ ตั้งแต่ต้นขบวนจนย่อมส่งผลไปถึงทุกๆขันธ์ที่เนื่องสัมพันธ์ต่อไป  จนกว่าจะมรณะดับไป  ดังวงจร

รูปูปาทานขันธ์   +  ใจ   +   วิญญูาณูปาทานขันธ์   anired06_next.gif   เวทนูปาทานขันธ์

มโนกรรม                 อุปาทานขันธ์๕ต่างๆ อันเกิดๆดับๆ วนเวียนอยู่ในชรา               

สังขารูปาทานขันธ์ > มโนกรรมคิดที่เป็นทุกข์      สัญญูปาทานขันธ์

          แล้วกระบวนจิตก็ดำเนินการคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านไปปรุงแต่งต่อไปเนื่องด้วยกำลังอำนาจของอุปาทานจึงหยุดไม่ได้ กล่าวคือ สังขารูปาทานขันธ์* (อุปาทานสังขารขันธ์)ที่เกิดจากความคิดแรกๆหรือความคิดที่ทำหน้าที่เป็นรูป(รูปูปาทานขันธ์ - อุปาทานรูปขันธ์)ที่ถูกครอบงำด้วยอุปาทาานความยึดมั่นในความพึงพอใจของตัวของตนแล้วในวงจรข้างต้น จึงเป็นเหตุปัจจัย  ให้เกิดรูปูปาทานขันธ์ขึ้นใหม่อีก  ดำเนินและเป็นไปเยี่ยงนี้  อย่างต่อเนื่องหรือค่อนข้างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ  ดังวงจรข้างต้น โดยไม่มีสติรู้เท่าทัน  หรือรู้เท่าทันแต่ไม่สามารถหยุดได้เสียแล้วเพราะประกอบด้วยกำลังของอุปาทาน  อันแรงกล้า  อันเป็นไปโดยอาการธรรมชาติของปุถุชนผู้ยังไม่มีวิชชา   อันคือดำเนินไปตามวงจรการเกิดขึ้นของทุกข์ปฏิจจสมุปบาทอันเป็นปรมัตถธรรม

        หรือคือขันธ์ ๕ ที่ดําเนินไปตามภพอันคือสภาวะหรือบทบาทที่เลือก อันถูกครอบงําภายใต้อิทธิพลของอุปาทานนั่นเอง

        ตัวอย่าง อุปาทานขันธ์ในแบบ ข้อ ๒

        มีภพขัดข้องขุ่นเคือง มีความกลุ้มใจคิดอยากได้เงิน และเป็นทุกข์ใน"ชาติ-ชรามรณะ"แล้ว เนื่องจากความอยาก(ตัณหา)หรือความจําเป็นต้องใช้เงิน  ดังนั้นเมื่อครุ่นคิดปรุงแต่งในเรื่องนี้ อันคือการเกิดของขันธ์ ๕ แต่เป็นอุปาทานขันธ์๕อันเป็นทุกข์  เนื่องจากยังไม่ได้รับการตอบสนองตามตัณหาความอยากได้ อยากมี อยากให้เป็นไป ตามความพึงพอใจของตัวของตน

๑.ใจ คิด(อยากได้เงิน) ๓.(มโน)วิญญาณ ผัสสะ ๔.สัญญา ๕.เวทนา ๖.สัญญา ๗.(มโน)วิญญาณ ๘.สังขาร

        ๑.ใจ คือสฬายตนะหรืออายตนะภายในเหมือนตา หู จมูก ลิ้น กาย อันรวมเป็น ๖  อันปกติมีอวิชชาแฝงตัวอยู่แล้ว

        ๒."ความคิดอยากได้เงิน" อันเป็นธรรมารมณ์ทำหน้าที่เป็น"รูป" คือสิ่งที่ถูกรู้ แต่เป็นชนิดที่มีตัณหาอันก่ออุปาทานติดมาด้วยแล้วตามวงจรปฏิจจสมุปบาท จึงเป็นอุปาทานรูป(รูปูปาทานขันธ์) มีอุปาทานแฝงอยู่แล้วในรูปหรือเงินนั้น คือมีความพึงพอใจของตัวของตนในเงินหรือรูปนั้นร่วมอยู่ในจิตอยู่แล้ว

        ๓.(มโน)วิญญาณที่เป็นตัวกลางในการสื่อนํา ย่อมนําความพึงพอใจที่ยังไม่ได้รับการสนองที่มีนั้นไปด้วยตามหน้าที่ กลายเป็นวิญญาณที่มีแฝงความขุ่นเคืองขัดข้องตามภพที่ครอบงำร่วมติดไปด้วยในที จึงเรียกวิญญาณูปาทานขันธ์ หรืออุปาทานวิญญาณ

        ๔.สัญญา ความจําได้ในรูปที่เกิดขึ้นย่อมนึกถึง คุณค่าของเงิน และจํารู้ว่าใช้จ่ายเพื่อสิ่งใดๆได้ ร่วมมากับภพปฏิฆะจากการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองตามความพึงพอใจของตนในความคิดเรื่องเงินนั้นๆ จึงเป็นสัญญูปาทานขันธ์ หรือ อุปาทานสัญญา

        ๕.เวทนาที่เกิดเป็น "ทุกขเวทนา" เพราะความคิดอยากได้เงินนั้นแต่ยังไม่ได้ จึงเป็นเวทนูปาทานขันธ์ อันมีภพขัดข้องขุ่นเคืองเพราะอุปทานความพึงพอใจยินดียังไม่ได้รับการตอบสนองดังใจตน ตามตัณหาความอยาก

        ๖.สัญญาเกิดอีกครั้ง รวบรวมข้อมูลต่างๆทั้งเวทนา, ทั้งอุปาทานความพึงพอใจที่มีอยู่จึงยังคงเป็นสัญญูปาทานขันธ์ เพื่อหมายรู้สรุปโดยมีอุปาทานร่วมในขบวนการหมายรู้นี้เช่นกัน จึงหมายรู้เข้าลักษณะเอนเอียงไปตามความพึงพอใจของตนเป็นแก่นเป็นแกน

        ๗.(มโน)วิญญาณเกิดอีกครั้ง มารับรู้ สรุปข้อมูล ตัดสินใจ แล้วนําข้อมูลทั้งหมดอันล้วนแต่มีอุปาทานแฝงอยู่ทั้งสิ้น นําส่ง"สังขารขันธ์" เพื่อตอบโต้หรือสนองข้อมูลอันเกิดจากเวทนาและสัญญา

        ๘.สังขาร ก็คิดอ่านเจตนาขึ้นว่า(สัญเจตนา)  จะทําอย่างไร อันแน่นอนว่าย่อมอยู่ภายใต้อิทธิพลของอุปาทานต่างๆตามที่แอบแฝงมานั้น เกิดเป็นสังขารูปาทานขันธ์ หรือ อุปาทานสังขาร คือเกิดเจตนาคิดอ่านเพื่อกระทํา, พูด , คิด(อันคือการกระทําทาง กาย, วจีสังขาร, มโนสังขาร) เพื่ออย่างใดอย่างหนึ่ง  หรือหลายอย่างก็ได้ หลายๆครั้งหลายๆหน ซึ่งล้วนถูกครอบอยู่ในอิทธิพลของอุปาทานที่ไม่ได้รับการสนองหรือภพปฏิฆะอันขุ่นข้องและขัดเคืองทั้งสิ้น ซึ่งล้วนแต่ก่อให้เป็นทุกข์

        กายสังขาร-ออกไปทํางานหาเงินตามเจตนา หรือเล่นการพนัน ซื้อสลากกินแบ่ง

        หรือ เกิดวจีสังขาร บ่นอยากได้เงิน บ่นถึงความจน ความจําเป็นต่างๆนาๆ

        หรือ เกิดมโนสังขาร คิดฟุ้งซ่านหาเงิน หรือวางแผนหาเงิน วางแผนใช้เงิน อิจฉาคนมีเงิน ปล้น...ฯลฯ. ล้วนก่อทุกข์ใจทั้งสิ้น ทําให้จิตขุ่นมัวเศร้าหมองไปคิดนึกปรุงแต่งในเรื่องอื่นๆบานปลายออกไปอีก

        และสังขารคิดใดๆที่ขึ้นเกิดอีก ก็จักเป็นอุปาทานขันธ์๕เกิดใหม่ขึ้นอีก เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในทุกข์ คือความคิดที่อยากจะได้เงิน, หาเงินอย่างไร ซึ่งเป็นไปตามวงจรในช่วง "ชาติ-ชรามรณะ" ในสภาพชราหรือความแปรปรวนต่างๆนาๆ แล้วก็ดับไปและเก็บสะสมเป็นอาสวะกิเลส (ดูภาพวงจร สีแดงที่กําลังกระพริบคืออุปาทานขันธ์๕ที่เกิดๆดับๆอย่างต่อเนื่อง)

        เห็นได้ว่าอุปาทานเริ่มมาตั้งแต่หัวขบวนของขันธ์๕คือรูปจนจบสังขาร, และยังจะเกิดอุปาทานขันธ์๕อย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีสติ หรือถูกเบี่ยงเบนบดบังด้วยสาเหตุอื่นๆ

        ตัวอย่างอุปาทานขันธ์๕ มองแบบขันธ์๕, ใจคิดถึงคนที่เกลียดหรือทําให้เราโกรธหรือเรื่องที่เกลียด

        ใจ + ธรรมารมณ์(คิดในเรื่องคนที่เกลียดนั้น) + มโนวิญญาณหรือวิญญาณของใจรับรู้.....เกิดสัญญาขั้นแรกจําได้ถึงความเกลียดโกรธนั้น ทําให้เกิดทุกขเวทนาขึ้นทันทีเพราะเป็นทุกขเวทนาที่จําได้อยู่แล้ว สัญญาหมายรู้ทั้งหลายรวบรวมสรุปภายใต้อิทธิพลของความจําเดิมๆ..... มโนวิญญาณใจรับรู้ข้อมูลทั้งหมดตัดสินใจ..... สังขารขันธ์อันมีอิทธิพลของความจําเดิมๆครอบงำอยู่ ทําให้ความคิดอ่าน(สัญเจตนา-เจตนา)ในการกระทําใดๆทางกาย ทางวาจา ใจ-คิดอันใด ล้วนแต่เป็นสิ่งที่กระทําตอบโต้หรือตอบสนองต่อทุกขเวทนาที่เกิดนั้นทั้งสิ้น (เช่น ทางกาย-ลงมือลงไม้คนที่เกลียด, ทางวาจา-นินทา ด่าทอต่างๆนาๆ, ทางใจ-ครุ่นคิดด่อทอ สาปแช่งอยู่ในใจ)  มีอาการปฏิฆะเกิดขึ้นชั่วขณะตามสภาวะธรรม(ชาติ)แล้วก็ดับไปถ้าไม่คิดปรุงแต่งให้เกิดตัณหาขึ้นมา  ต้องยอมรับและเข้าใจเวทนาที่เกิดขึ้นนั้นก็จักไม่เป็นทุกข์   นี้เป็นเพียงตัวอย่างของขันธ์๕ปกติธรรมดายังไม่ใช่อุปาทานขันธ์๕แท้ๆ  เป็นแค่ขันธ์๕ในความทุกข์เดิมๆ ดับได้ง่ายถ้ารู้เท่าทัน

 

ข้อคิด

        ตัณหา เป็นสังขารขันธ์อย่างหนึ่ง ที่เกิดขึ้น ในบางครั้งเราสามารถสังเกตุเห็นได้อย่างชัดเจนเช่นความทะยานอยากหรือไม่อยากในสิ่งหนึ่งสิ่งใดอย่างรุนแรง แต่เดิมเรามีอวิชชาความไม่รู้ว่าเป็นโทษจึงมักปล่อยปละละเลย หรือสนองตอบตัณหาความต้องการนั้น  อันทําให้กิเลสตัณหานั้นเติบโตกล้าแข็ง จนในที่สุดก็ไม่สามารถสนองตามตัณหานั้นได้ในที่สุด

        และในความเป็นจริงนั้นส่วนใหญ่ตัณหา ทำให้เกิดสัญเจตนาคือเจตนาจงใจหรือความคิดอ่านให้เกิดการกระทำต่างๆขึ้น เช่นมโนกรรมความนึกคิดปรุงแต่งต่างๆนาๆที่เกิดขึ้น อันล้วนยังให้เกิดเวทนาขึ้นอีก, ความเพลิดเพลิน(นันทิ)ตลอดจนคิดเรื่อยเปื่อย สารพัดรูปแบบ อันมักทําให้ผู้ปฏิบัติตามไม่ทันเล่เหลี่ยมมายาของจิตตนเอง ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดคือเมื่อสังขารขันธ์ในขันธ์๕ทํางานเรียบร้อยตามหน้าที่ของตัวแล้ว ออกมาเป็นสังขารขันธ์ใดๆก็ตามแม้แต่ความโกรธ หรือตัณหา ก็ไม่เป็นไร เขาเพียงแต่ทําหน้าที่ของเขาอย่างถูกต้องตามข้อมูลที่มี, หน้าที่อันพึงกระทําของเราคือละ สิ่งปรุงจิตให้เกิดมโนกรรมความคิดอ่านมากับความคิดนึกปรุงต่างๆ   โดยการหยุดมโนกรรมความนึกคิดปรุงแต่งเสียนั่นเอง อย่าให้จิตมีโอกาสหลอกล่อปรุงแต่งให้เป็นเรื่องเป็นราวยืดยาวออกไป อันคือการเกิดของขันธ์๕ขึ้นอีกครั้งหรือหลายๆครั้ง อันย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้นอีกด้วยอย่างแน่นอน อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา อันเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ขึ้นมา, อันนี้แหละที่จักเป็นโอกาสอันดีงามของตัณหาในอันที่จักคืบคลานแอบแฝงเข้ามากับความนึกคิดปรุงแต่งนั้นๆ   หรือก็คือสมควรถืออุเบกขาเสียนั่นเอง

 

เหตุที่ทำให้เกิดอุปาทานแบบทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน

 

 กลับหน้าเดิม

กลับสารบัญ