include($_SERVER['DOCUMENT_ROOT'] . "/netChimes_send.php"); sendChime("XXXXXXXX"); ?>
แสดงวงจรปฏิจจสมุปบาทโดยละเอียด ขยายความโดยพิศดารของอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ใน"ชรา"
ที่เกิดดับ..เกิดดับ..อย่างต่อเนื่องในองค์ธรรมชรา อันเป็นอุปาทานทุกข์ อันเร่าร้อนเป็นทุกข์แท้จริง
อาสวะกิเลส
มรณะ สฬายตนะ สัญญูปาทานขันธ์
เวทนูปาทานขันธ์
ชาติ (สังขารขันธ์ แปรเป็นสังขารูปาทานขันธ์เกิดมโนกรรมคิดนึก เวทนา (มโนสังขาร) (อกุศลสัญเจตนา) (สังขารขันธ์) ภาพวงจรปฏิจจสมุปบาท แบบขยายความเต็มรูปแบบโดยพิศดาร |
วงจรที่แสดงนี้เป็นการประมวลทั้ง
ปฏิจจสมุปบาท และ
อุปาทานขันธ์ ๕
ที่แสดงให้เห็นรายละเอียดทั้งหมดของกระบวนการจิตในการเกิดขึ้นแห่งทุกข์
เบื้องแรกหยุดวงจรได้ที่ เวทนา และตัณหา(อีกทั้งมโนกรรมที่เกิดร่วมด้วย) ด้วยปัญญาชอบว่า สักว่า มันเป็นเช่นนี้เอง
ส่วนวงจรเล็กที่กําลังเคลื่อนไหวอยู่เป็นวงจร แสดงการเกิดของขันธ์ ๕ ที่เป็นอุปาทานขันธ์ ๕ แล้วคือขันธ์ ๕ ในการดําเนินชีวิตอยู่ในสภาวะถูกครอบงําแล้วโดยอุปาทาน(หรือก็คือเกิดภพแล้ว)อย่างสมบูรณ์ และยังคงดําเนินต่อไปโดยการคิดนึกปรุงแต่งต่างๆนาๆโดยไม่รู้ตัว(สติ) หรือรู้ตัวแต่สติรู้นั้นเกิดขึ้นภายหลังจากการถูกครอบงําเสียแล้ว, จึงหยุดได้ยากเพราะกําลังอันกล้าแข็งของอุปาทานอันสามารถครอบงํามวลมนุษย์ชาติ ได้เข้าครอบงําเสียแล้ว, วงจรเล็กนี้เกิดขึ้นในกองธรรมชราอันแปรปรวน เปลี่ยนแปลง เกิด-ดับ...เกิด-ดับ.....อย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆโดยไม่รู้ตัว หรือหยุดไม่ได้นั่นเอง
ณ.ที่ชรานี้ เราต้องมีสติรู้ว่าความทุกข์หรืออุปาทานขันธ์๕ได้เกิดขึ้นแล้ว ต้องใช้เวทนานุปัสสนา หรือจิตตานุปัสสนา สติเห็นเวทนาหรือเห็นจิตสังขาร(ความคิด ความนึก กริยาจิต)ตามความเป็นจริงว่าเป็นเยี่ยงไร แล้วใช้อุเบกขาในโพชฌงค์ ไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงแต่ง เป็นกลางวางที โดยการไม่เอนเอียง ไม่แทรกแซงด้วยกริยาจิตใดๆ จึงจะทําให้วงจรเล็กนี้ดับ ทําให้เกิดความทุกข์แบบสั้นลงและเบาบางกว่าปุถุชนโดยสติและปัญญา
ดังนั้นการมีสติรู้เท่าทันในการปฏิบัติ จึงควรพิจารณาปฏิบัติให้ดับได้เสียก่อนการเกิดอุปาทานขันธ์๕อันเป็นทุกข์ (อ่านปฏิจจสมุปบาท)จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด แต่การปฏิบัติในระยะแรกเราต้องใช้ทุกอย่างที่ถูกต้องตามความเป็นจริงตามที่สติรู้เท่าทันนั้นๆ
พิจารณาที่ชาติ อันถือว่าเป็นการเริ่มเกิดขึ้นของทุกข์ ที่พึงถูกครอบงำด้วยอุปาทานความยึดมั่นในพึงพอใจของตัวของตน ความหมายรู้นั้นจึงถูกชักนําให้เห็นผิด ไปหมายรู้อันแอบแฝงด้วยความพึงพอใจแห่งตนโดยไม่รู้ตัว ดังนั้นขันธ์ต่างๆที่จักต้องเกิดสืบเนื่องต่อมาจึงล้วนถูกครอบงําเป็นอุปาทานขันธ์ต่างๆไปด้วย อันล้วนเป็นทุกข์โดยไม่รู้ตัวเช่นกัน หรือรู้ตัวแต่สายไปเสียแล้วเพราะถูกครอบงำแล้วด้วยอุปาทานอันแรงกล้า
พิจารณาวงจรเล็กที่เกิดในกองธรรมชรา นั่นเป็นอาการของอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ ที่เกิดเนื่องต่อจาก ชาติ, เป็นทุกข์ที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะ และดับไป แต่การเกิดนั้นเป็นไปอย่าง เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป...เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป...เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป.....เป็นเช่นนี้อย่างเป็นระยะๆ หรืออย่างค่อนข้างจะต่อเนื่องกัน และถ้าอุปาทานนั้นรุนแรงก็จะเป็นอย่างต่อเนื่องกันไปไม่ขาดสาย ดังวงจรอุปาทานขันธ์๕(วงจรเล็ก)ที่แสดง
ภาพขยายในชรา ล้วนเป็นอุปาทานขันธ์ ๕ อันเป็นทุกข์ เพราะเกิดจากสังขารูปาทานขันธ์ในชาติ อันถูกครอบงําโดยอุปาทานแล้ว |
ภาพขยายวงจรในชรา ในวงจรปฏิจจสมุปบาท
สังเกตุด้วยว่าทั้งเวทนาขันธ์และสังขารขันธ์ที่เกิดในวงจรเล็กที่เกิดในกองธรรมชรานี้ต่างล้วนเป็น อุปาทานเวทนาขันธ์(เวทนูปาทานขันธ์) และ อุปาทานสังขารขันธ์(สังขารูปาทานขันธ์)แล้วทั้งสิ้น ดังนั้นแม้จะมีสติเห็นอุปาทานเวทนาและอุปาทานสังขารที่เกิดขึ้นบ่อยและถี่ๆ อันเป็นการปฏิบัติเวทนานุปัสสนาและจิตตานุปัสสนาอันถูกต้องดีงามแล้วก็จริงอยู่ แต่ล้วนถูกครอบงำเสียแล้วด้วยอำนาจของอุปาทานหรือความพึงพอใจของตัวของตน หรือความเป็นตัวกูของกูอันกล้าแกร่งได้ครอบงำเสียจนไม่สามารถหยุดยั้งมันได้ง่ายๆเสียแล้ว เพราะเมื่อเกิดขึ้นแล้ว,ในขณะที่ตั้งอยู่อย่างแปรปรวน, และกําลังจะดับลงไปนั้นซึ่งเป็นไปในลักษณะแปรปรวนแบบค่อยๆมอดลง มอดลง...ดุจดั่งกองไฟอันเกิดแต่ฟืนที่อันจักค่อยๆ...มอดดับไป, แต่ตามปกติในวิถีจิตของปุถุชนนั้น ขณะที่ไฟกําลังค่อยๆ...มอดลง...มอดลงนั้น ได้มีการเติมฟืนหรือเชื้อไฟ อันคือเวทนา,ตัณหา,อุปาทานอันล้วนแต่มีอุปาทานครอบงำแล้วทั้งสิ้น อันเกิดขึ้นเนื่องจากการคิดนึกปรุงแต่งที่เกิดเป็นระยะๆเพิ่มเติมเข้าไปอีกตลอดเวลา จึงเป็นเหตุทําให้กองไฟที่กำลังเผาลนแห่งทุกข์อันกำลังมอด...ดับลงไปนั้น เมื่อได้เชื้อไฟหรือฟืนเพิ่มขึ้นใหม่ๆอีก จึงย่อมต้องลุกกระพือขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถมอดดับลงไปได้ กลับกลายเป็นกองทะเลเพลิงแห่งทุกข์เผาลนอย่างเร่าร้อนและยาวนาน, เพราะแต่ละเวทนาของความคิดนึกปรุงแต่งที่ก่อให้เกิดอุปาทานขันธ์๕อันเป็นทุกข์นั้นอยู่ในอํานาจของพระไตรลักษณ์คอยควบคุมกํากับอยู่เช่นกันจึง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ชั่วขณะ แล้วดับไป แต่เป็นเพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจในเรื่องทุกข์และการดับทุกข์(อวิชชา)และความไม่รู้ตัว(สติรู้ไม่เท่าทัน) ตลอดจนกำลังอันแข็งกล้าของอุปาทาน จึงทําให้เกิดอุปาทานขันธ์๕อันเป็นทุกข์ขึ้นนานๆ อันเกิดจากการอุปาทานเวทนาของการคิดปรุงแต่งหลายสิบหลายร้อยครั้งโดยไม่รู้ตัวอย่างต่อเนื่อง หรือต่อเนื่องเป็นระยะๆ จนแลดูหรือรู้สึกเชื่อมต่อเป็นชิ้นหรือมวลเดียวกัน จนเกิดเป็นความทุกข์ที่กัดกร่อนใจยาวนาน ยิ่งคิดหรือยิ่งนึกปรุงแต่งเท่าใดๆก็ยิ่งเกิดเวทนา..ตัณหา..อุปาทาน..ก็ยิ่งกัดกร่อนใจ. (พิจารณาขันธ์๕ ที่เกิดการสืบเนื่อง)
อันอุปมาได้ดังการทํางานของหลอดไฟอันยังให้เกิดแสงสว่าง ซึ่งตามความเป็นจริงแล้วแสงสว่างอันเกิดแต่หลอดไฟนั้นทํางานแบบ เกิดดับ เกิดดับ อยู่ตลอดเวลาตามความถี่กระแสสลับของกระแสไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง จนเรามองเห็นเป็นแสงสว่างอย่างต่อเนื่องไม่ขาดตอน แต่ตามความเป็นจริงนั้นเกิดแต่ตาเราแยกจําแนกความถี่ที่เกิดๆดับๆอย่างรวดเร็วนั้นไม่ออกโดยตาธรรมชาติ จึงมองเห็นเป็นแสงสว่างต่อเนื่องกันเช่นนั้นเอง, อันเหล่ามนุษย์ผู้มีปัญญาได้รู้เห็นความจริงข้อนี้ได้ก็เพราะเหล่านักวิทยาศาสตร์ผู้มีตาปัญญาในเรื่องเหล่านี้ได้เห็นและทดสอบมาแล้ว อันดุจดั่งธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง, ความทุกข์ ก็เฉกเช่นเดียวกันกับหลอดไฟที่ให้กําเนิดแสงสว่าง เกิดจากความคิดนึกปรุงแต่งในรูปอุปาทานขันธ์๕ที่วนๆเวียนๆ เกิดดับ เกิดดับโดยไม่รู้ตัว(สติ)เป็นระยะๆจนรู้สึกต่อเนื่องเป็นความทุกข์ที่ราวกับว่าเกิดจากความคิดครั้งเดียว แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นดุจดั่งแสงสว่างจากหลอดไฟ คือเกิดการเกิดดับๆๆๆของความคิดนึกปรุงแต่งอย่างโดยต่อเนื่องเป็นระยะๆโดยไม่รู้ตัว
การปฏิบัติที่ดีที่สุดคือมีสติรู้เท่าทันตามความเป็นจริงเห็นเวทนาคือเวทนานุปัสสนาที่ตําแหน่งเวทนาในวงจรปฏิจจสมุปบาท อันจะทําให้วงจรของทุกข์นั้นขาดการสืบเนื่อง ไม่เป็นทุกข์อุปาทานใดๆ วงจรของการเกิดทุกข์หยุดลง ณ.ที่นี้ แล้วย่อมดําเนินไปตามกระบวนการขันธ์๕แทนวงจรของการเกิดทุกข์ คือ
เกิดสัญญาหมายรู้อันย่อมหมายรู้ตามความเป็นจริงไม่ถูกครอบงําด้วยอุปาทานไปให้เห็นผิดไปตามความพึงพอใจของตัวของตน >> สังขารขันธ์ของขันธ์๕คือการกระทําต่างๆ ทางกาย วาจา ใจ ตามธรรมชาติอันไม่ถูกครอบงำ อันไม่เป็นทุกข์
อันสัญญาหมายรู้นี้จักเกิดสืบเนื่องต่อจากเวทนานั้น แทนวงจรของการเกิดขึ้นแห่งทุกข์, และให้มีสติวางอุเบกขา วางทีเฉยต่อเวทนาหรือสังขารขันธ์นั้นโดยที่มีความรู้สึกอย่างไรก็เป็นอย่างนั้นเป็นธรรมดา แต่ไม่ปล่อยให้เลื่อนไหลไปแทรกแซงคิดนึกปรุงแต่งต่างๆ เป็นกลาง ไม่เอนเอียง ไม่ฝักใฝ่ทั้งกุศลและอกุศล คือ ดีก็ไม่-ชั่วก็ไม่, ถูกก็ไม่-ผิดก็ไม่ (คิดนึกปรุงแต่งไปว่าเราดีก็ไม่ ปรุงแต่งไปว่าเขาชั่วก็ไม่, คิดนึกปรุงแต่งไปว่าเราถูกก็ไม่ ปรุงแต่งไปว่าเขาผิดก็ไม่, คิดปรุงแต่งไปว่าทำดีก็ไม่ คิดปรุงแต่งว่าชั่วก็ไม่) อันเป็นอุบายวิธี ตัดไฟแต่ต้นลม ป้องกันการเกิดเวทนาของความคิดนึกปรุงแต่งที่จะเกิดขึ้นมาภายหลังนั้นนั่นเอง อันอาจเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา..อันเป็นปัจจัยให้เกิดทุกข์ขึ้นมาอีกได้.
เหตุที่ต้องตัดไฟแต่ต้นลมโดยการหยุดคิดนึกปรุงแต่งอันเกิดหลังจากรับรู้ตามความเป็นจริงแล้ว เป็นอุบายวิธีไม่ให้เกิดเวทนาอื่นๆอีก เพราะเวทนาเป็นกระบวนการรับรู้ตามธรรมชาติเป็นสภาวะธรรม เมื่อเกิดอย่างไรเป็นอย่างนั้น อันทําการหยุดโดยตรงไม่ได้, ส่วนตัณหาความรู้สึกทะยานอยากหรือไม่อยาก และคิดนึกปรุงแต่งอันเป็นสังขารขันธ์เกิดจากเจตนาของตัวตนเองถึงแม้ว่าจะหยุดได้ยากแสนยาก แต่เมื่อทราบเหตุปัจจัยชัดแจ้งด้วยปัญญาก็สามารถฝึกฝนอบรมได้ในที่สุด
ท่านสามารถพิจารณาธรรมะวิจยะโดยใช้ขันธ์๕ได้เช่นกัน, ผลก็เป็นดังเช่นปฏิจจสมุปบาทนั้นนั่นเอง
หลักปฏิบัติในสติปัฏฐาน๔ ก็เป็นเช่นเดียวกันนั่นเอง แต่เน้นอยู่ที่วิธีปฏิบัติและเจริญสติ อันจักบังเกิดปัญญาขึ้นจากการพิจารณาการปฏิบัตินั้นและจากหมวดธัมมานุปัสสนา อันถ้าไม่บังเกิดปัญญาขาดความเข้าใจในธรรมก็จะติดขัดเป็นวิจิกิจฉาหรือเป็นมิจฉาสมาธิเช่นกัน
อริยสัจ ๔ ก็มีกําเนิดเฉกเช่นเดียวกัน อันเป็นหลักการปฏิบัตที่เกิดจากปฏิจจสมุปบาท ผู้เขียนจึงได้กล่าวไว้ว่าปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมอันเป็นเหตุปัจจัยให้ตรัสรู้อริยสัจ๔ อันเป็นการแสดงธรรมถึงเหตุและผลและรวบรวมเป็นแนวการปฏิบัติของมรรค๘ ตั้งแต่ขั้นปัญญา ศีล สมาธิ เพื่อเป็นแนวทางปฏิบัติให้เกิดมรรคองค์ที่๙ อันคือสัมมาญาณ(ปัญญาในขั้นดับทุกข์)อันเป็นปัจจัยก่อให้เกิดมรรคองค์ที่๑๐ สัมมาวิมุตติ สุขจากการหลุดพ้นอันเป็นที่สุด
เราจึงต้องปฏิบัติอย่างถูกต้องด้วยความเข้าใจในธรรมคําสอนของพระพุทธองค์จนเป็นมหาสติ หรือสังขารในปฏิจจสมุปบาท แต่เป็นสังขารใหม่อันมิได้เกิดแต่อวิชชา เป็นสังขารแห่งการพ้นทุกข์ วันนั้นจึงจักเป็นวันสิ้นสุดการปฏิบัติของเรา เสวยแต่ผลคือวิมุตติ
จงมีแต่คิดของขันธ์๕โดยเฉพาะสติและปัญญา แล้วอุเบกขาเป็นกลางวางเฉย
โดยการไม่ปรุงแต่งเอนเอียงไปทั้งในด้านดีหรือด้านร้าย
อันเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดเวทนาอันเป็นปัจจัยให้อาจเกิดตัณหา