กลับหน้าเดิม

อุปาทาน

  คลิกขวาเมนู

                 อุปาทาน  ความยึดมั่น,   ความถือมั่นยึดมั่นด้วยอำนาจของกิเลส   หรือความยึดมั่นถือมั่นให้เป็นไปตามอำนาจของตัณหาความปรารถนาความทะยานอยากของตัวตน  หรือความยึดมั่นถือมั่นเพื่อความพึงพอใจของตัวของตนเป็นสำคัญที่สุด

                 หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง  อุปาทาน เทียบเคียงได้กับสัญเจตนาในเรื่องขันธ์ ๕ กล่าวคือ อุปาทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสตน จึงเกิดเจตนา(ความจงใจ หรือคิดอ่าน)ที่ปรุงจิตให้เห็นเป็นไปตามกิเลสตน จึงทำให้เกิดการกระทำ(กรรม)ต่างๆขึ้น ได้ทั้งทางกาย ทั้งทางวาจา และทั้งทางใจ จึงย่อมเป็นไปตามอำนาจอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นตามกิเลสตนที่ครอบงำ จึงเป็นฝ่ายชั่วหรืออกุศลแต่เพียงอย่างเดียว,  จึงกล่าวได้ว่าอุปาทานก็คือสัญเจตนาฝ่ายอกุศลนั่นเอง  จึงต่างจากสัญเจตนาความคิดอ่านหรือเจตนา ที่ไปปรุงแต่งจิตให้เกิดการกระทำ(กรรม)ต่างๆโดยทั่วไป คือได้ทั้งในทางดี และชั่ว และแม้กลางๆ,   ส่วนอุปาทานนั้นเป็นฝ่ายอกุศลเจตนาอยู่ในอำนาจของกิเลสหรือตัณหาแต่ฝ่ายเดียว  การกระทำต่างๆจึงเป็นไปตามความยึดมั่นหรือความพึงพอใจของตัวตนเป็นสำคัญ (ดู สัญเจตนา กับ อุปาทาน)

                อุปาทาน มี ๔ ประการ คือ

                ๑. กามุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในกาม คือยึดถือในสิ่งต่างๆคือในกามทั้ง ๕ ว่า เป็นเรา เป็นของเรา หรือเราเป็นเจ้าของ จึงเป็นเหตุให้เกิดความริษยาหรือหวงแหน ลุ่มหลง เข้าใจผิด ทำผิด เนื่องด้วยตัณหาความกำหนัดในสิ่งต่างๆเหล่านั้นด้วยอำนาจของกิเลส  ไม่รู้ด้วยอวิชชาว่าสังขารเหล่านั้นทั้งหลายทั้งปวงล้วนอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์ มีความไม่เที่ยง เป็นทุกข์เพราะคงสภาพอยู่ไม่ได้ เป็นอนัตตาไม่มีตัวตนของตนจริง จึงเข้าครอบครองเป็นเจ้าของเพื่อเข้าควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้เป็นธรรมดา  ไม่มีใครๆครอบครองเป็นเจ้าของได้อย่างแท้จริง  จึงไม่เป็นไปตามใจปรารถนาของใครๆแต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย

                (กามุปาทาน-ความยึนมั่นในกาม คือ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ที่น่าใคร่ น่าพอใจ)

                ๒. ทิฏฐุปาทาน  ความยึดมั่นถือมั่นในทิฏฐิ คือ ยึดมั่นในความคิด  ความเห็น  ความเชื่อ ในทฤษฎีของตัวของตน จึงยึดมั่นถือมั่นให้เป็นไปตามกิเลสหรือความต้องการของตัวตน จึงเกิดความเชื่อ หรือความไม่เชื่อ หรืออีกทั้งต่อต้านในสิ่งต่างๆที่ขัดแย้งหรือไม่ลงรอยไปกับความคิด ความเห็น ความเชื่อ หรือทฤษฎีของตัวของตนเหล่านั้นทั้งโดยรู้ตัว หรือโดยไม่รู้ตัว   ดังนั้นจิตจึงไม่ยอมศึกษาหรือพิจารณาอย่างจริงจังในความคิด ความเห็นอื่นๆ แม้ที่ถูกต้องและดีงาม แต่เพราะไปขัดแย้งกับความเชื่อความคิดเห็นเดิมๆของตน  จึงเกิดความรู้สึกต่อต้าน ขัดแย้ง ขุ่นเคือง ไม่พอใจในสิ่งต่างๆ ที่ไม่ตรงความเชื่อความเข้าใจของตัวของตนโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา   จึงทำให้ไม่สามารถเห็นหรือเข้าใจในสิ่งต่างๆตามความเป็นจริงที่เป็นไปของธรรมหรือสิ่งนั้นๆได้อย่างปรมัตถ์หรือถูกต้องดีงาม ดังเช่น อ้อนวอนบนบานเชื่อถือในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆนาๆ,   คล้องพระเพื่อคงกระพัน โชคลาภ,  ทำบุญทำกุศลแต่ฝ่ายเดียวด้วยหวังว่าจะเกิดมรรคผลและผลบุญ,  ล้างบาปกรรมได้ด้วยผลบุญ,  ความเชื่อในความคิดของตนอย่างหัวชนฝาไม่สนใจข้อมูลหรือยอมรับในความเป็นจริงแต่อย่างใด

แสดง เรื่องของวิญญาณ และการเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ ที่จำเป็นต้องรู้  เพื่อการถอดถอนทิฏฐุปาทาน

 แสดง เหตุปัจจัยให้เกิดขึ้นแห่งทิฏฐุปาทานและสีลัพพตปาทาน

                (ทิฏฐุปาทาน - ความยึดมั่นในทิฏฐิหรือทฤษฎี คือความเห็น ลัทธิ หรือหลักคำสอนต่างๆ  : จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดยท่านพระธรรมปิฏก)

พุทธพจน์ที่ตรัสแสดงถึง ทิฏฐุปาทาน แบบต่างๆ

        ผู้ใดไม่ถือมงคลตื่นข่าว  ไม่ถืออุกกาบาต  ไม่ถือความฝัน  ไม่ถือลักษณะดีหรือชั่ว  ผู้นั้นชื่อว่าล่วงพ้นโทษแห่งการถือมงคลตื่นข่าว ครอบงํากิเลสที่ผูกสัตว์ไว้ในภพ อันประดุจคูกั้นเสียได้ ย่อมไม่กลับมาเกิดอีก (ขุ.ชา. ๒๗/๘๗/๒๘)

 

        ถ้าแม้นบุคคลจะพ้นจากบาปกรรมได้ เพราะการอาบนํ้า(ชําระบาป)  กบ เต่า นาค จรเข้ และสัตว์เหล่าอื่นที่เที่ยวไปในแม่นํ้า ก็จะพากันไปสู่สวรรค์แน่นอน.......(กล่าวต่อในอีกมุมมองหนึ่งอันน่าพิจารณายิ่งว่า) ถ้าแม่นํ้าเหล่านี้พึงนําบาปที่ท่านทําไว้แล้วในกาลก่อนไปได้ไซร้  (ดังนั้น)แม่นํ้าเหล่านี้ก็พึงนําบุญของท่านไปได้ด้วย(เช่นกัน) (ขุ.เถรี.๒๖/๔๖๖/๔๗๓)

 

        บุคคลประพฤติชอบเวลาใด  เวลานั้นได้ชื่อว่า  เป็นฤกษ์ดี  เป็นมงคลดี  เป็นเช้าดี  อรุณดี  เป็นขณะดี  ยามดี  และ(นับได้ว่า)เป็นอันได้ทําบูชาดีแล้วในท่านผู้ประพฤติพรหมจรรย์ทั้งหลาย  แม้กายกรรมของเขา(นั้น)ก็เป็นสิทธิโชค  วจีกรรมก็เป็นสิทธิโชค  มโนกรรมก็เป็นสิทธิโชค  ประณิธานของเขาก็(ย่อมต้อง)เป็นสิทธิโชค  ครั้นกระทํากรรม(การกระทําใดๆ)ทั้งหลายที่เป็นสิทธิโชคแล้ว เขาย่อมได้ประสบแต่ผลที่มุ่งหมายอันเป็นสิทธิโชค (สุปุพพัณหสูตร)

 

        ประโยชน์ได้ล่วงเลยคนเขลา ผู้คอยนับฤกษ์อยู่   ประโยชน์เป็นตัวฤกษ์ ของประโยชน์เอง  ดวงดาวจักทําอะไรได้ (หรือโดยพิจารณาว่า ไปเปลี่ยนแปลงดวงดาวได้หรือ? แต่เปลี่ยนแปลงโดยการทำเหตุให้ดีหรือถูกต้อง จึงเป็นปัจจัยในสิ่งที่ดีหรือเป็นไปได้ ) (ขุ.ชา ๒๗/๔๙/๑๖ )

                ๓. สีลัพพตุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในศีล(ข้อสำรวมระวัง ไม่ล่วงละเมิด) และพรต(ข้อที่พึงถือปฏิบัติ)  แต่เป็นการยึดมั่นด้วยอำนาจกิเลส ดังเช่น ตามความเชื่อ หรือตามการปฏิบัติที่ทำตามๆกันสืบต่อมาจึงเชื่ออย่างมั่นคง แต่ไม่ถูกต้องงมงายด้วยอวิชชา  ดังเช่น เชื่อมั่นว่าพ้นทุกข์ได้ด้วยการถือศีลถือพรตแต่ฝ่ายเดียว ไม่ต้องปฏิบัติวิปัสสนาให้เกิดปัญญาญาณ,  ปฏิบัติแต่สมาธิแล้วจะบรรลุมรรคผลต่างๆจากสมาธิได้โดยตรงตามที่เห็นเขาปฏิบัติกันจึงขาดการพิจารณาวิปัสสนา,  ทรมานตนเพื่อหวังผลหรือบรรลุธรรม,  ทำบุญแต่ฝ่ายเดียวโดยเชื่อว่าได้มรรคผลและผลบุญให้บรรลุธรรม,  สวดมนต์แต่เพียงอย่างเดียวแล้วสามารถดับทุกข์หรือสมหวังหรือบรรลุธรรมได้  ไม่เป็นไปตามหลักเหตุและผล

                (สีลัพพตุปาทาน  - ความยึดมั่นในศีลและพรต คือ หลักความประพฤติ ข้อปฏิบัติ แบบแผน ระเบียบ วิธี ขนบธรรมเนียมประเพณี ลัทธิพิธีต่างๆ ถือว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นๆ โดยสักว่ากระทำสืบๆ กันมา หรือปฏิบัติตามๆ กันไปอย่างงมงาย หรือโดยนิยมว่าขลัง ว่าศักดิ์สิทธิ์ มิได้เป็นไปด้วยความรู้ความเข้าใจตามหลักความสัมพันธ์แห่งเหตุและผล : จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดยท่านพระธรรมปิฏก)

                ๔. อัตตวาทุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่นในคำพูด(วาทุ-วาทะ)ที่ใช้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของหรือแสดงความเป็นเจ้าของว่าของตัวเป็นของตน ที่ใช้อยู่เสมอๆเพื่อการสื่อสารกันในชีวิตประจำวัน  แต่เกิดการซึมซ่านย้อมจิตให้หลงผิด คือเกิดการไปหลงคิดหลงยึดหรือจดจำ(สัญญา)เอาอย่างเป็นจริงเป็นจังมั่นหมายในที่สุดโดยไม่รู้ตัวว่า เป็นตัวตน หรือเป็นของตัวของตนอย่างแท้จริง โดยไม่รู้ตัวก็ด้วยอวิชชา จึงสำคัญมั่นหมายดังนั้นอยู่ภายใจจิต  กล่าวคือ เกิดความหลงผิดไปยึดในวาทะคำพูดจา ที่ใช้เพื่อการสื่อสารกันให้เกิดความเข้าใจซึ่งกันและกันในสิ่งต่างๆในทางโลกโดยไม่รู้ตัว ซึ่งย่อมเกิดขึ้นและใช้อย่างเป็นไปประจำสมํ่าเสมอในการดำเนินชีวิต  จึงเกิดการซึมซับ จนซึมซ่านไปย้อมจิตให้หลงไปยึด หลงไปยึดในคำพูดต่างๆเหล่านั้นว่า เป็นจริงเป็นจัง อย่างจริงแท้แน่นอน เช่น คำพูดต่างๆในการสื่อสารเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ  เช่น นี่ของฉัน นี่เงินฉัน นั่นนมฉัน นี่บ้านฉัน  นั่นรถฉัน  แฟนฉัน  สมบัติฉัน ฯ. จิตจึงหลงเข้าไปในวังวนของอวิชชา เกิดการไปหลงคิดหลงยึด และซึมซาบย้อมจิตจากความเคยชินในคำพูดต่างๆ ที่เพียงพูดเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของในทางโลกว่า เป็นตัวตน เป็นของตัวตน  ทั้งๆที่เหล่านี้เพียงมีเจตนาเพื่อใช้สื่อสารแสดงความเป็นเจ้าของในทางโลกๆ เป็นไปโดยไม่รู้ตัวอยู่เป็นประจำเสมอๆ ด้วยอวิชชา(รายละเอียดเพิ่มเติม)   เนื่องด้วยไม่เข้าใจว่า สังขารทั้งปวงล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย เป็นเพียงการประชุมประกอบกันขององค์ประกอบย่อยๆเข้าด้วยกันเพียงชั่วขณะๆ ไม่มีตัวตนของมันเองจริง จึงเข้าครอบครองเป็นเจ้าของไม่ได้ จึงบังคับบัญชามันไม่ได้ตามใจปรารถนา,  ด้วยอวิชชาจึงเกิดความรู้สึกที่ท่านพุทธทาสภิกขุเรียกว่า เกิดความรู้สึกว่าเป็นตัวกู ของกู

                (อัตตวาทุปาทาน  ความยึดมั่นในวาทะว่าตัวตน คือ ความถือหรือสำคัญหมายอยู่ในภายในว่า มีตัวตน เป็นของตัวตน ที่จะได้ จะเป็น จะมี จะสูญสลาย ถูกบีบคั้นทำลายหรือเป็นเจ้าของ เป็นนายบังคับบัญชาสิ่งต่างๆได้ ไม่มองเห็นสภาวะของสิ่งทั้งปวงอันรวมทั้งตัวตนว่า เป็นแต่เพียงสิ่งที่ประชุมประกอบกันเข้า เป็นไปตามเหตุปัจจัยทั้งหลายที่มาสัมพันธ์กันล้วนๆ  : จากพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม โดยท่านพระธรรมปิฏก)

                สิ่งต่างๆทั้ง ๔ เหล่านี้  ล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปอยู่ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว  เริ่มเป็นไปตั้งแต่เกิดจวบจนปัจจุบัน คือเริ่มตั้งแต่ประมาณว่าทารก ที่รู้ความว่า นมของฉัน แม่ฉัน ฯ. ไปจวบจนวันตายว่า สมบัติของฉัน เงินฉัน ลูกฉัน ฯ. คือเป็นไปดังนี้เสียนานจนไม่รู้ว่าสักกี่ภพ กี่ชาติมาแล้วนั้น  โดยไม่เคยคิดที่จะหยุดยั้งหรือเข้าใจกระบวนการจิตเหล่านี้เลย เนื่องเพราะความไม่รู้(อวิชชา)นั่นเอง จึงปล่อยให้เกิดขึ้นและเป็นไปตามธรรมชาติของปุถุชนหรือสรรพสัตว์ทั่วไป

                ดังนั้นอุปาทานนี้จึงมีอยู่แล้วตามที่ได้สั่งสมมาแต่ช้านานดังข้างต้น  แต่ในสภาพที่นอนเนื่องอยู่ ยังไม่ได้ถูกกระตุ้นเร่งเร้าด้วยตัณหา  จึงอยู่ในสภาพที่เรียกกันโดยทั่วๆไปว่า ดับ อยู่   กล่าวคือ นอนเนื่องอยู่อยู่ในสภาพเดียวกับอาสวะกิเลส หรือกิเลสที่นอนเนื่องรอเวลาผุดขึ้นมาซึมซาบย้อมจิตนั่นเอง

                เมื่ออุปาทานที่นอนเนื่อง ในรูปของอาสวะกิเลสชนิดหนึ่ง  เกิดการถูกกระตุ้นปลุกเร้า  เหตุปัจจัยโดยตรงที่ปลุกเร้าก็คือตัณหา(อันเป็นอกุศลสังขารขันธ์หรืออารมณ์อย่างหนึ่ง) อันเป็นการดำเนินไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทนั่นเอง กล่าวคือ  เมื่อเกิดตัณหาหรืออารมณ์ความอยากหรือไม่อยากจาก เวทนา (การรู้สึกรับรู้อันเกิดแต่การผัสสะ) อย่างใดอย่างหนึ่งขึ้นในจิตแล้ว   สิ่งเหล่านั้นยังเป็นเพียงแค่อารมณ์ความปรารถนาอันเกิดมาแต่เวทนา แต่ยังไม่เกิดขึ้นหรือเป็นเพียงนามธรรมอยู่ยังไม่สัมฤทธิ์ผล   โดยธรรมชาติของจิต จึงต้องเกิดปฏิกริยาต่อตัณหาเหล่านั้นตามอุปาทานใดๆข้างต้น  โดยการตั้งเป้าหมายหรือตั้งเจตนา(สัญเจตนา)ตามที่ยึดถือยึดมั่น ก็เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายหรือสัมฤทธิ์ผลเป็นเรื่องเป็นราว หรือเป็นตัวเป็นตนขึ้นตามความปรารถนา  ให้เป็นไปตามตัณหาความปรารถนาของตัวของตนนั้นๆที่เกิดขึ้น  ก็เพื่อให้ตัวตนของตนได้รับความพึงพอใจจากการได้รับการตอบสนองอันเป็นไปตามตัณหาความอยากนั่นเอง   อันเป็นพื้นฐานโดยธรรมชาติในการดำรงคงชีวิตอย่างหนึ่งของสรรพสัตว์ทั้งหลาย    และในทางธรรมะก็จัดว่าสิ่งเหล่านี้ก็เป็นธรรมชาติ  เพียงแต่เป็นธรรมชาติที่ก่อให้เกิดทุกข์ขึ้นของสรรพสัตว์โดยถ้วนหน้าด้วยเช่นกัน

                เมื่ออุปาทานเกิดขึ้นจากสังขารขันธ์อารมณ์ประเภทตัณหาขึ้น  ที่หมายถึง อุปาทานที่สั่งสมนอนเนื่องอยู่ได้ถูกปลุกเร้าให้ผุดขึ้น หรือเกิดขึ้นด้วยตัณหาเป็นปัจจัยแล้ว  สิ่งต่างๆที่ดำเนินเกิดขึ้นและเป็นไปต่อจากนั้นในจิต  จึงย่อมถูกครอบงำไว้ด้วยกำลังของอุปาทาน ที่มีจุดมุ่งหมายอยู่ที่ให้บรรลุถึงความพึงพอใจของตัวของตนหรือกิเลสตนเป็นสำคัญโดยไม่รู้ตัว  จึงไม่เห็นสิ่งต่างๆตามที่มันเกิดขึ้นและเป็นไปตามความเป็นจริง  แต่เห็นและอยากให้เป็นไปตามความพึงพอใจของตัวของตนเป็นสำคัญแต่ฝ่ายเดียวและโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชา   จึงผูกมัดสัตว์ทุกตัวไว้กับกองทุกข์มาตลอดกาลนานแสนนานและตลอดไป

 

        อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ก็คือขันธ์ที่ถูกครอบงำด้วยอุปาทานนั่นเอง  อันเป็นทุกข์ที่พระองค์ท่านกล่าวไว้ว่า " โดยสรุป อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ " จึงหมายถึงทุกข์จริงๆหรืออุปาทานทุกข์ ไม่ใช่ทุกข์ธรรมชาติ จึงสามารถดับลงไปได้ในทางพระพุทธศาสนา เป็นความทุกข์ที่เกิดขึ้นมาจาก ความยึดมั่นถือมั่นตามกิเลสของตัวตน ที่ครอบงำสัตว์ทั้งปวงไว้ได้  แฝงตัวอาศัยอยู่ในขันธ์ต่างๆนั่นเอง ดังเช่น

        ๑.รูปูปาทานขันธ์  คือรูปขันธ์ที่อยู่ภายใต้อำนาจอาสวะ คือการย้อมจิตด้วยอำนาจของ"อุปาทาน"ความยึดมั่นถือมั่นตามกิเลสตน คือยึดมั่น,ถือมั่น,พึงพอใจในกายหรือรูปขันธ์ว่าเป็นตัวตนหรือเป็นของตัวตน จึงสลัดออกได้ยาก  อีกทั้งหมายรวมถึง สิ่งที่ถูกรู้ได้ด้วยอานตนะต่างๆของกายหรือรูปขันธ์ คือ จากตา หู จมูก ลิ้น กาย และทั้งใจ จึงครอบคลุมรวมถึง รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส อีกทั้ง ธรรมารมรณ์ จึงต่างล้วนจัดเป็นรูปูปาทานขันธ์ได้ด้วย

        ๒.เวทนูปาทานขันธ์  ความยึดมั่นถือมั่นให้เห็นเป็นไปตามกิเลสของตนใน เวทนาต่างๆ เช่น สุขเวทนา คือถูกใจ พอใจ ตามอำนาจกิเลสตน ไม่เห็นเป็นไปตามความเป็นจริง

        ๓.สัญญูปาทานขันธ์  ความยึดมั่นถือมั่นให้เห็นเป็นไปตามกิเลสของตนในสัญญา ความจำได้ หมายรู้ต่างๆ เช่น ยึดมั่นถือมั่นในความเชื่อ ความเข้าใจของตัวตน แบบหัวปักหัวปำ ไม่สนความจริง หรือความถูกผิด

        ๔.สังขารูปาทานขันธ์  ความยึดมั่นถือมั่นให้เห็นเป็นไปตามกิเลสของตนตามอารมณ์(อาการต่างๆของจิต)ของตนเป็นสำคัญ เช่น ยึดมั่นถือมั่นในความสงบ ความสุข ความสบายของตน

        ๕.วิญญารูปาทานขันธ์  ความยึดมั่นถือมั่นให้เห็นเป็นไปตามกิเลสของตนในวิญญาณ คือรู้แจ้งในสิ่งที่กระทบเป็นไปตามกิเลส ความเชื่อ ความเข้าใจของตน

 

anired06_next.gif ตัณหา

 

 ภพ

เหตุที่ทำให้เกิดทิฏฐุปาทาน และสีลัพพตุปาทาน

 

 

กลับสารบัญ