|
แสดงจิตฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ) |
|
เพราะการคิดนึกปรุงแต่งอย่างต่อเนื่อง จึงย่อมยังให้"เวทนา"เกิดดับๆ...ขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วย
แสดงจิตฟุ้งซ่านหรือก็คือจิตที่มีการคิดปรุงแต่งอย่างต่อเนื่อง อุปมาดั่งปาก้อนหินลงนํ้าอย่างไม่หยุดหย่อนหรือต่อเนื่อง

ผิวนํ้าที่เปรียบเสมือนดังจิต จึงไม่เคยสงบราบคาบลงไปได้เลย ด้วย"เวทนา"ต่างๆย่อมเกิดขึ้นทุกครั้ง ดั่งเมื่อมีหินกระทบน้ำย่อมเกิดระลอกขึ้นทุกครั้งไป
คิดฟุ้งซ่านหรืออุทธัจจะ เป็นสังโยชน์ขั้นละเอียด ข้อที่ ๙ ธรรมหรือสิ่งที่ผูกมัดหมู่สัตว์ให้ติดอยู่ในวงจรของความทุกข์ ไม่สามารถเจริญในธรรม จึงเป็นสิ่งที่ควรโยนิโสมนสิการโดยละะเอียดและแยบคาย เพื่อให้เห็นความจริง เพราะปุถุชนนั้นมักปล่อยให้เกิดการฟุ้งซ่านต่างๆโดยไม่รู้ตัวและไม่รู้โทษ จึงปล่อยให้ดำเนินเป็นไปตามความเคยชินที่สั่งสมมา
อานตนะภายนอก กระทบ อายตนะภายใน วิญญาณย่อมเกิดขึ้น การประจวบกันของปัจจัยทั้ง ๓ เรียกว่าผัสสะ ยังให้เกิด เวทนา ขึ้นทุกครั้งไป แล้วจึงยังให้เกิดสังขารขันธ์ต่างๆเป็นลำดับไป
ธรรมารมณ์(คิด)หรือเวทนานั้นๆ เป็นเวทนาที่ประกอบด้วยอุปาทานอันครอบงำแล้ว
รูปูปาทานขันธ์(คิด)พิจารณาการเกิดขึ้นของทั้งเวทนา หรือเวทนูปาทานขันธ์ ที่เมื่อมีการเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกัน โดยอุปมากับการปาก้อนหินลงนํ้า ผิวนํ้าที่ตามปกติสงบราบคาบ มีเพียงการพริ้วของผิวนํ้าเล็กน้อยบ้างจากลมตามธรรม(ธรรมชาติ) แต่เมื่อมีการปาก้อนหินหนึ่งลงไปในนํ้า ย่อมสังเกตุเห็นการเกิดขึ้นของระลอกคลื่นขึ้นทุกคราวไป เมื่อหินไปกระทบสัมผัสกับผิวนํ้า เป็นวงจรทะยอยแผ่ซ่านทะยานออกไป แล้วค่อยๆจางคลายแผ่วเบาลงๆ ไปเป็นลำดับเป็นธรรมดา จนดับไปเป็นที่สุด อันอุปมาได้ดั่งความคิดหรือเหล่าอายตนะภายนอกทั้งหลายที่มากระทบกับจิตหรือใจ และถ้าในขณะที่ระลอกคลื่นที่เกิดขึ้นยังไม่ทันสงบราบเรียบหรือดับลงไป กล่าวคือ ยังมีการพริ้วเป็นระลอกคลื่นอยู่บ้างนั้น ก็มีการปาก้อนหินก้อนใหม่ใกล้ๆที่เดิมลงไปอีก จึงย่อมเกิดระลอกคลื่นใหม่ขึ้นไป ผสมปนเปหักล้าง หรือเพิ่มเติมเสริมแต่งกับระลอกคลื่นเดิมนั้นอย่างจริงแท้ที่สุด และถ้ายังทะยอยปาก้อนหินลงไปเยี่ยงนั้นเรื่อยๆอีก ก็ย่อมจะเห็นระลอกคลื่นที่แปรปรวนปนเปเกิดดับและเสริมแต่งหักล้างกันขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งถี่บ่อยยาวนานเท่าใด ก็ย่อมเกิดระลอกมากและยาวนานเพราะเกิดการแต่งเสริมเติมแต่งกันขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็เปรียบได้ดังจิตของปุถุชนที่ตามปกติก็ค่อนข้างสงบดุจดังผิวนํ้า อันพึงมีระลอกของทุกข์ธรรมชาติ(ทุกขเวทนาที่ไม่ประกอบด้วยอุปาทาน)เพียงเล็กน้อยตามสภาวธรรมชาติ เมื่อเกิดการกระทบ(ผัสสะ)ไม่ว่าจากเหตุปัจจัยภายนอกหรือภายใน(คิด) ก็ตามที ย่อมเกิดเวทนาขึ้น อันเป็นไปดุจระลอกคลื่น อันย่อมเกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบกันของผิวนํ้ากับวัตถุต่างๆเป็นธรรมดา ขณะที่เวทนาหรือระลอกคลื่นเมื่อเกิดขึ้นนั้น ตั้งอยู่ แต่ล้วนกำลังแผ่ซ่านและจางคลายลงไปนั้นโดยธรรมชาติหรือพระไตรลักษณ์ ก็เกิดการคิดปรุงแต่งขึ้น อุปมาดั่งการปาก้อนหินลงไปในนํ้าอีกอย่างต่อเนื่องนั่นเอง ผิวนํ้าย่อมเกิดการกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นอย่างต่อเนื่องเสริมแต่งกันไปเป็นธรรมดา จิตก็เป็นเฉกเช่นนั้น ย่อมเกิดระลอกคลื่นกระเพื่อมหวั่นไหวอย่างต่อเนื่องของเวทนา จึงยาวนานเป็นลำดับ เฉกเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ผิวนํ้าทั้งผืนผิวหรือจิตจึงไม่สามารถสงบราบเรียบลงไปได้ เกิดการกระเพื่อมเป็นระลอกคลื่นไปมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ดังภาพที่แสดง และเวทนาเหล่านั้นก็ย่อมอาจเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังขารขันธ์ทุกข์ต่างๆขึ้นได้ในที่สุดคือ ตัณหา ความโกรธ หดหู่ ทุกข์ใจ ฯลฯ.
โยนิโสมนสิการ การปาก้อนหินลงไปในนํ้าแล้วเกิดระลอกคลื่นนั้น ก็เป็นไปดังจิตที่เมื่อเกิดธรรมารมณ์หรือความคิดกระทบใจย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้น จึงเกิดระลอกหวั่นไหวขึ้นเช่นกัน กล่าวคือ ย่อมคล้ายดั่งการเกิดระลอกคลื่นของนํ้าดุจเดียวกัน ทั้งสองต่างล้วนเป็นสภาวะธรรม หรือธรรมชาติ อันเป็นอสังขตธรรม จึงเที่ยงแท้และคงทน หรือต้องเป็นไปดังนี้เป็นธรรมดา พิจารณาต่อก็พบได้ว่า เมื่อต้องการให้ผิวนํ้านั้นสงบราบคาบลงต้องทำเยี่ยงไร กล่าวคือ เพียงหยุดการกระทำคือการปาก้อนหินลงไปกระทบกับผิวนํ้าเสียเท่านั้นเอง หรือด้วยปัญญาพละหยุดการกระทำคือความคิดนึกปรุงแต่งที่จะไปกระทบจิตด้วยความอยากหรือยึดนั้นเสีย อันเกิดขึ้นด้วยความเคยชินตามที่สั่งสมอบรมมา เสียด้วยการอุเบกขาวางทีเฉยไม่แทรกแซงเข้าไปปาก้อนหินลงไปใหม่ หรือการหยุดคิดฟุ้งซ่านปรุงแต่งขึ้นใหม่อีกเท่านั้น เมื่อหยุดการกระทบหรือผัสสะลงจึงจะค่อบๆสงบหยุดระลอกอันปั่นป่วนเหล่านั้นได้ ด้วยระลอกคลื่นหรือเวทนาที่เกิดขึ้นมาแล้วนั้น ก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้ ยังคงต้องเกิดมีเป็นเช่นนั้นเองเป็นธรรมดา แล้วจางคลาย สลายดับไปเป็นธรรมดาอีกเช่นกันดุจระลอกคลื่นนั่นเอง เพราะเมื่อถูกปรุงแต่งขึ้นแล้ว ล้วนเป็นเพียงสังขารหรือสังขตธรรม อันไม่เที่ยงและคงทนอยู่ไม่ได้
พึงพิจารณาโดยแยบคาย มีผู้หนึ่งผู้ใดในใต้หล้านี้หรือไม่ ที่ปาก้อนหินลงนํ้าแล้วไม่เกิดระลอกคลื่นขึ้นได้ ดังนั้นการพยายามระงับไม่ให้เกิดระลอกคลื่นหรือระงับเวทนาไม่ให้เกิดขึ้น เมื่อเกิดการกระทบผัสสะกันขึ้นแล้ว จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะล้วนเป็นไปตามธรรม หรือสภาวธรรม หรือธรรมชาตินั่นเอง จึงไม่สมควรทำให้เป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการไร้สาระและสูญเวลาเปล่าโดยสิ้นเชิง จึงสมควรเพียงมีสติรู้เท่าทัน และรู้ตามความเป็นจริงด้วยปัญญา ว่าสักว่าเวทนา แล้วปล่อยวาง โดยถืออุเบกขา สติระลึกรู้เท่าทันและยอมรับตามความเป็นจริง แล้วไม่เอนเอียงไม่แทรกแซงด้วยถ้อยคิดหรือกริยาจิตใดๆ เฉพาะ ในเรื่องที่เกี่ยวเนื่องสัมพันธ์กับทุกข์นั้นๆ
เวทนาทั้งหลายเหล่านี้ ย่อมดำเนินไปตามธรรมหรือธรรมชาติ คือย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดสังขารขันธ์ต่างๆขึ้น จึงเป็นผลให้เกิดมโนกรรมขึ้น และมโนกรรมความคิดนึกต่างๆนี้อันเป็นผลที่เกิดขึ้นมาจากสังขารขันธ์ ก็ไปทำหน้าที่แปรไปเป็นธรรมารมณ์อีก จึงเกิดการปรุงแต่งฟุ้งซ่านวนเวียนเป็นวงจร ฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ
ภาพแสดงความคิดฟุ้งซ่าน หรือความคิดนึกปรุงแต่งไม่หยุดหย่อน จึงเกิดเป็นทุกข์ในที่สุด
(รูป-ธรรมารมณ์) + ใจ + มโนวิญญูาณขันธ์ มโน สังขารขันธ์
จึงเกิดมโนกรรมขึ้น วงจรแสดงขันธ์ทั้ง๕ ที่วนเวียนฟุ้งซ่านจนเป็นทุกข์ในที่สุด | รูปูปาทานขันธ์ + ใจ + วิญญูาณูปาทานขันธ์ มโน สังขารูปาทานขันธ์
จึงเกิดมโนกรรมทุกข์ขึ้น วงจรอุปาทานขันธ์ทั้ง๕ที่ล้วนถูกครอบงําโดยอุปาทาน จึงเร่าร้อนยิ่ง |
โยนิโสมนสิการ จะเห็นว่าเมื่อเกิดการผัสสะของความคิด(ธรรมารมณ์)
ย่อมเกิดเวทนาทุกคราไป จึงย่อมอาจเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดตัณหาขึ้นนั่นเอง ดังวงจรปฏิจจสมุปบาท ข้อที่ ๙
ยิ่งปรุงแต่งมาก ก็ย่อมเปิดโอกาสให้เกิดตัณหามากขึ้นเป็นลำดับ
เป็นไปดังนี้
จิตส่งออกนอกไปคิดนึกปรุงแต่ง
คิดนึกปรุงแต่ง ๑ ครั้ง, คือการเกิดการทำงานของขันธ์ทั้ง
๕ ขึ้น ๑ ครั้ง
![]()
เกิดการทำงานของขันธ์ ๕ ขึ้น ๑ ครั้ง, ย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้น ๑ ครั้ง
ดังนั้นคิดนึกปรุงแต่ง ๑๐๐ ครั้ง, ย่อมต้องเกิดเวทนาขึ้น ๑๐๐ ครั้งเช่นกัน
เวทนาเกิดขึ้น ๑๐๐ ครั้ง ย่อมเปิดโอกาสให้เกิดตัณหาได้ ๑๐๐ ครั้งเช่นกัน
ตัณหาเกิดขึ้นเมื่อใด อุปาทานเกิดขึ้นเมื่อนั้น
การเกิดขึ้นของทุกข์จึงมีขึ้นเช่นนี้
ดังนั้นจงมีแต่คิดนึก(ธรรมารมณ์), แต่ไม่มีคิดนึกปรุงแต่งหรือฟุ้งซ่านจากมโนกรรม.
พนมพร