นิพพิทาญาณ
|
|
นิพพิทา หมายถึง ความหน่ายที่เกิดขึ้นจากปัญญาพิจารณาจนเห็นความจริง ดังเช่น จึงมีความเบื่อหน่ายในกองทุกข์, ความหน่ายจากการไปรู้เห็นความจริงในการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏ หรือความเบื่อหน่ายในการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์ ที่ไม่รู้วันจบ,ไม่รู้วันสิ้น จึงเป็นความหน่ายที่ประกอบด้วยปัญญาอันยิ่ง ยังให้เกิดนิพพิทาญาณขึ้น จึงย่อมแตกต่างโดยสิ้นเชิงกับความเบื่อหน่ายโดยทั่วๆไปหรือในความหมายในทางโลก หรืออย่างโลกิยะ ที่ย่อมประกอบด้วยตัณหา
ดังในพจนานุกรม พุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่านพระเดชพระคุณเจ้า พระพรหมคุณาภรณ์ (พระธรรมปิฎก) ได้แสดงถึงความเบื่อหน่ายในทางโลกหรือโลกิยะไว้ดังนี้ว่า "ถ้าหญิงชายอยู่กินกันเกิดหน่ายกัน เพราะความประพฤติไม่ดีต่อกัน หรือหน่ายในมรรยาทของกันและกัน อย่างนี้ไม่จัดเป็นนิพพิทา"
ดังนั้น ความเบื่อหน่ายในทางโลก จึงมีความหมายถึง ความเบื่อหน่ายหรือหน่ายกัน เหตุพราะมีกิเลสตัณหามาพัวพัน อย่างเช่น หญิงชายเกิดหน่ายกันดังข้างต้น ก็เกิดมาแต่มีกิเลสตัณหาอื่นๆเข้ามาแทรกนั่นเอง ไม่ได้เกิดแต่ปัญญาไปเห็นความจริง ดังเช่น เกิดการหน่ายขึ้นเพราะไปมีคนรักใหม่ หรือมีตัณหาหรือกิเลสใดๆขึ้น เช่น ไม่ชอบไม่อยากให้คู่หรือคนรักของตนเป็นอย่างนั้น,เป็นอย่างนี้ หรืออยากให้เป็นดังนั้น,เป็นดังนี้ เมื่อไม่เป็นไปตามปรารถนา(ตัณหา)ก็เกิดความเบื่อความหน่ายกันขึ้น, หรือดังได้รถใหม่ แล้วเกิดความเบื่อหน่ายขึ้นในภายหลัง เนื่องจากมันเก่ามันเสียมันรวนอยู่เสมอๆจึงเกิดกิเลสความขุ่นมัว จึงเกิดตัณหาอยากได้คันใหม่ จึงเบื่อหน่ายในรถคันเดิม, หรืออาจเกิดจากตัณหาอยากได้รุ่นใหม่ที่ดีกว่า สวยกว่า จึงเบื่อหน่ายในรถคันเก่า, หรือความเบื่อหน่ายเพราะไม่อยากรอคอย ฯลฯ. อย่างนี้เป็นต้น ล้วนเป็นความเบื่อหน่ายในทางโลกๆ ที่มีพื้นฐานหรือเชื้อไฟอันมาแต่กิเลสตัณหา จึงย่อมไม่ใช่นิพพิทา ความหน่ายอันเกิดจากปัญญาไปเห็นความจริงอย่างปรมัตถ์
นิพพิทาญาณ
ญาณ
แปลว่า ความรู้ ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง, นิพพิทาญาณ จึงหมายถึง ความรู้ความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งที่ทำให้เบื่อหน่ายในสังสารวัฏหรือกองทุกข์,
ความปรีชาหยั่งเห็นสังขารตามความจริง
จึงเกิดความหน่ายในสังขารทั้งปวงว่า
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา, ปรีชาคำนึงถึงสังขารด้วยความหน่าย
เพราะเห็นว่ามีแต่ทุกข์และโทษมากมาย แต่ไม่ใช่การทำลายตนเองเพราะเบื่อสังขารด้วยตัณหา, นิพพิทาญาณจัดเป็นหนึ่งในญาณ
๑๖ หรือโสฬสญาณ
ส่วน นิพพิทานุปัสสนาญาณ เป็นการจำแนกแบบวิปัสสนาญาณ ๙ หมายถึง ความปรีชาคำนึงถึงสังขารด้วยความหน่าย เพราะมีแต่โทษมากมาย หรือก็คือนิพพิทาญาณดังกล่าวข้างต้นนั่นเองเพียงแต่จำแนกแตกธรรมในแบบญาณ ๑๖ หรือโสฬสญาณเท่านั้นเอง
อนึ่งพึงระลึกรู้ด้วยว่า การปฏิบัติทุกรูปแบบ ในที่สุดเมื่อเกิดความรู้ความเข้าใจใดๆ หรือธรรมสามัคคีใดๆอันย่อมเบิกบานเป็นผู้รู้ผู้ตื่น แต่ในที่สุดแล้วต้องประกอบด้วยนิพพิทาในธรรมหรือสิ่งต่างๆ
นิพพิทา จึงมีความหมายว่า ความหน่ายที่เกิดขึ้นมาจากการมีปัญญาไปรู้ไปเข้าใจตามความเป็นจริงในสิ่งต่างๆ(ธรรม)ตามความจริงอย่างปรมัตถ์ เช่น เกิดนิพพิทาจาก
ปัญญาหรือปรีชาไปเห็นเข้าใจในการเวียนว่ายตายเกิดในกองทุกข์หรือสังสารวัฏ ในปฏิจจสมุปบาทธรรม จึงเกิดความหน่าย จึงเกิดการวางใจเป็นกลาง(อุเบกขา)ต่อสังขารปรุงแต่ง หรือ
ปัญญาไปเห็นเข้าใจในอนิจจัง ความไม่เที่ยง ของสังขารทั้งหลายทั้งปวง จึงเกิดความหน่าย จนเกิดการวางใจเป็นกลาง(อุเบกขา)ต่อสังขารปรุงแต่งทั้งปวง หรือ
ปัญญาไปเห็นเข้าใจในทุกขัง ความคงสภาพทนอยู่ไม่ได้ จึงต้องดับไปของสังขารทั้งหลายทั้งปวง จึงเกิดความหน่าย จนเกิดการวางใจเป็นกลาง(อุเบกขา)ต่อสังขารทั้งปวง หรือ
ปัญญาไปเห็นเข้าใจในอนัตตา ว่าล้วนไม่มีตัวตนเป็นแก่นสาร ของธรรมทั้งหลายทั้งปวง เพียงแต่เกิดมาจากการบีบคั้นขององค์ประกอบย่อยๆ มาประชุมปรุงแต่งกันชั่วระยะเวลาหนึ่ง จึงเกิดความหน่าย จึงเกิดการวางใจเป็นกลาง(อุเบกขา)ต่อสังขาร หรือ
ปัญญาการไปเห็นเข้าใจในสังขารสิ่งปรุงแต่ง ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงล้วนอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงเกิดความหน่าย จนเกิดการวางใจเป็นกลาง(อุเบกขา)ต่อสังขาร หรือ
ปัญญาไปเห็นเข้าใจในทุกขอริยสัจ ว่าล้วนหนีไม่พ้น ช่างล้วนเป็นทุกข์ จนเกิดความหน่าย จึงเกิดการวางใจเป็นกลาง(อุเบกขา)ต่อสังขาร ฯลฯ.
ปัญญาไปเห็นเข้าใจธรรม บ้างข้อบางประการ ดังเช่น
ความจริง มีแต่"ทุกข์"เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่"ทุกข์"เท่านั้นที่ตั้งอยู๋ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจาก"ทุกข์"แล้วไม่มีอะไรเกิด นอกจาก"ทุกข์"แล้วไม่มีอะไรดับ
จาก วชิราสูตร
แล้วประกอบกับมีปัญญายิ่ง เข้าใจดีว่าท่านวชิราภิกษุณี หมายถึงว่า "เพราะมีแต่สังขารเท่านั้น ที่เกิดขึ้น และดับไป และสังขารย่อมเป็นทุกข์เป็นที่สุดทั้งสิ้น" ตามทุกขลักษณะอันเป็นธรรมชาติของสังขารทั้งปวง จนในที่สุดเกิดความรู้หรือปัญญาดียิ่งว่า
ความจริง มีแต่"สังขารอันเป็นทุกข์เป็นที่สุด"เท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่"สังขารอันเป็นทุกข์เป็นที่สุด"เท่านั้นที่ตั้งอยู๋ และเสื่อมสิ้นไป
นอกจาก"สังขารอันเป็นทุกข์เป็นที่สุด"แล้วจึงไม่มีอะไรเกิด นอกจาก"สังขารอันเป็นทุกข์เป็นที่สุด"แล้วจึงไม่มีอะไรดับ
จึงเกิดนิพพิทาความหน่ายจากการไปรู้ความจริงยิ่ง แล้วน้อมนำจึงหน่ายต่อสังขารทั้งปวง อันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ จึงไม่ไปยึดถือ หรือปล่อยวางในสังขาร
เมื่อเห็นเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในธรรมต่างๆเหล่าใดเหล่านั้น อันเป็นธรรมใดก็ได้ ตามจริต สติ สมาธิ ปัญญา ตลอดจนแนวทางของการศึกษาปฏิบัติตามที่ได้สั่งสมอบรมมา หรือตามการจำแนกแตกธรรมของท่าน แต่เมื่อถูกต้องดีแล้ว ย่อมต้องล้วนเพื่อทำให้เกิดความหน่าย เมื่อหน่าย จึงย่อมคลายความอยากหรือความกำหนัดในสิ่งต่างๆหรือสังขารทั้งปวงลงไป เป็นของคู่กัน ด้วยเป็นปฏิจจสมุปบันธรรม คือ เป็นเหตุปัจจัยให้คลายความอยาก ความกำหนัด จึงเกิดนิพพิทาในเรื่องนั้นๆตามจริตของนักปฏิบัติเองที่น้อมนำเป็นสำคัญก็ได้ ดังเช่น
อสุภกรรมฐาน ก็เป็นการเอาอสุภมาเป็นกสิณ(อสุภนิมิต) ในการพิจารณาร่างกายว่าล้วนแต่เป็นอสุภ เน่าเสีย หรือปฏิกูลเหมือนกันล้วนสิ้น ก็เพื่อจุดประสงค์ให้เห็นในความจริงของร่างกายตัวตนว่า ล้วนเป็นเช่นนี้เอง ที่สวยงาม ที่ถูกใจนั้น ล้วนไม่เที่ยง คงสภาพทนอยู่ไม่ได้ และเป็นอนัตตา จึงย่อมเกิดอุปาทานทุกข์ขึ้น ถ้าไปอยากด้วยตัณหาหรือไปยึดด้วยอุปาทานว่าเป็นของตัวของตนด้วยคงสภาพอยู่ไม่ได้จึงเน่าเสีย ก็เพื่อให้เกิดปัญญาเข้าใจยิ่งในสังขารร่างกายตามความเป็นจริงอย่างลึกซึ้ง อย่างจดจำ จนเกิดนิพพิทาความหน่ายในสังขารร่างกายอันเน่าเฟะที่เพียรเพ่งหรือนิมิตขึ้น จึงย่อมคลายความอยาก คลายตัณหาความกำหนัดในสังขารร่างกายอันสวยงามต่างๆลงไปทั้งในของตนเองอีกทั้งในบุคคลอื่นลงไป หรือคลายราคะจริตในเรื่องเพศลงไปโดยตรงๆก็ได้นั่นเอง
เมื่อหน่ายแล้ว
ย่อมเป็นไปตามปฏิจจสมุปบันธรรมกล่าวคือย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้คลายความอยากหรือความกำหนัดอันคือดับตัณหาเสียนั่นเอง...จึงย่อมคลายความยึดมั่นในกิเลสหรือในความพึงพอใจของตัวตนอันเป็นอุปาทานตามมาโดยธรรม
กล่าวคือ นิพพิทาเป็นปฏิปักษ์หรือธรรมคู่ปรับกันโดยธรรมหรือธรรมชาติกับตัณหาโดยตรงนั่นเอง,
จึงย่อมดำเนินและเป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาท ฝ่ายดับทุกข์หรือฝ่ายนิโรธวาร
กล่าวคือ เมื่อตัณหาดับ อุปาทานดับ
ภพดับ
ชาติดับ
ชรา-มรณะ
โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ล้วนย่อมดับไปตามธรรมคือสภาวธรรม จึงเป็นการดับไปของกองทุกข์
ความหน่ายหรือความเบื่อหน่ายที่เกิดแต่นิพพิทาญาณนี้ จึงมีความแตกต่างกันอย่างยิ่งกับความหน่าย ความเบื่อ หรือความเบื่อหน่ายอันเกิดแต่กิเลสหรือตัณหาหรือวิภวตัณหาก็ตามที ความหน่ายจากการรู้ความจริงหรือนิพพิทาจึงคลายกำหนัดหรือตัณหานั้นเป็นความหน่าย ที่เบาโล่งสบาย เพราะขาดด้วยกิเลสตัณหาอันเร่าร้อนนั่นเอง ส่วนความเบื่อหน่ายโดยทั่วไปหรือทางโลกนั้นเป็นความเบื่อหน่ายที่เร่าร้อนเผาลนกระวนกระวาย จึงไร้สุขหรือยังความหดหู่มาให้ก็เนื่องจากกิเลสหรือตัณหาต่างๆที่เกิดขึ้นในรูปแบบต่างๆนั่นเอง กล่าวคือเกิดภวตัณหาหรือวิภวตัณหาเข้าแทรกแซงปรุงแต่งนั่นเอง เมื่อไม่ได้ตามตัณหาก็เกิดเป็นอุปาทานทุกข์ เป็นการดำเนินและเป็นไปตามวงจรปฏิจจสมุปบาทฝ่ายสมุทยวาร หรือฝ่ายเป็นทุกข์นั่นเอง
นิพพิทาญาณ จัดเป็นเครื่องวัดในการปฏิบัติได้เป็นอย่างดีว่า ดำเนินมาอย่างถูกต้องหรือไม่? กล่าวคือ ถ้าปฏิบัติแล้วเกิดนิพพิทาหรือนิพพิทาญาณก็เป็นเครื่องชี้นำได้อย่างดีว่าได้ปฏิบัติมาอย่างถูกต้องแนวทางดีแล้ว แต่ถ้าปฎิบัติแล้วมีความรู้สึกอวดดี อวดเก่ง อวดรู้ อวดกล้า มีฤทธิ์มีเดช มีอำนาจ ถือดี วางตัวเป็นผู้รู้ เยี่ยงนี้แล้วให้โยนิโสมนสิการในข้อปฏิบัติของตนให้ดีว่า ได้ปฏิบัติสิ่งหนึ่งสิ่งใดผิดพลาดไปเสียแล้วอย่างแน่นอนเพราะสิ่งเหล่านี้เป็นวิปัสสนูปกิเลสอันเกิดขึ้นมาจากการปฏิบัติเป็นธรรมดา จึงเนื่องด้วยวิปัสสนูปกิเลสแบบใดเป็นสำคัญเท่านั้นเอง แล้วแก้ไขเสีย กล่าวคือ วางฌานสมาธิลงเสีย แล้วเจริญแต่วิปัสสนาเป็นสำคัญ
ด้วยเหตุดังกล่าวเหล่านี้ นิพพิทาญาณ จึงจัดเป็น หนึ่งในญาณหรือความรู้ยิ่งในการปฏิบัติวิปัสสนา คือ นิพพิทานุปัสสนาญาณ ในวิปัสสนาญาณ ๙ เป็นญาณอันสำคัญยิ่งที่ต้องเจริญหรือภาวนาให้เกิดขึ้น(ภาวนาปธาน)ให้ได้ในที่สุด มิฉนั้นก็กล่าวได้ว่าการปฏิบัติที่ผ่านมานั้นยังเป็นไปอย่างไม่ถูกต้องแนวทาง เพราะเป็นญาณหรือความปรีชาที่เป็นปฏิปักษ์โดยตรงต่อตัณหา อันเป็นสมุทัยหรือเหตุแห่งทุกข์ ซึ่งถ้ากล่าวอย่างปรมัตถ์แล้ว สมุทัยก็คือตัณหาอันเเป็นเหตุแห่งอุปาทานทุกข์(อุปาทานขันธ์ ๕)นั่นเอง
อนึ่งพึงพิจารณาโดยแยบคายด้วยว่า นิพพิทาญาณเป็นวิปัสสนาญาณที่เป็นไปทางปัญญา เพื่อการหลุดพ้นจากกิเลสอย่างถาวร ส่วนฌานสมาธิที่เมื่อปฏิบัติแต่ฝ่ายเดียวไม่เน้นการวิปัสสนาอย่างจริงจังนั้น แม้จะยังให้เกิดความสุข,สงบ,สบาย ที่แลดูหรือรู้สึกราวกับว่าเป็นสุขกว่านิพพิทานั้น แต่ตามความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ฌานสมาธิแม้จะเกิดความสุขความสงบความสบายอันเกิดแต่การระงับไปของกิเลสในนิวรณ์ทั้ง ๕ แต่ก็จะเกิดมานะทิฏฐิสูง มีความอวดเก่ง ความอวดกล้า คิดว่ามีฤทธิ์มีเดช จนบางครั้งเกิดก้าวร้าวอยู่ในจิตเป็นเครื่องแทรกอยู่เสมอๆ(จากชีวเคมีที่เกิดขึ้นแต่จิตเป็นเหตุ) และยังเป็นเหตุปัจจัยสำคัญที่สุดในการเกิดวิปัสนูปกิเลส จากการไปติดเพลินหรือเพลิดเพลินในองค์ฌานหรือสมาธิโดยไม่รู้ตัวที่เรียกทั่วไปว่าติดสุข ซึ่งมีอาการของจิตส่งในเป็นเครื่องเคียงหรือเครื่องร่วมเสมอๆ อันจักยังให้โทษทั้งต่อธาตุขันธ์และจิตขันธ์ในที่สุด และยังไม่เป็นการดับทุกข์ไปอย่างถาวร พระองค์ท่านจัดเป็นความสุขอันเกิดแต่ฌานหรือสมาธิว่าเป็นแบบโลกิยวิมุตติหรือวิกขัมภนวิมุตติที่ยังไม่เที่ยง สามารถกลับกลายหายสูญได้ ดังนั้นเมื่อปฏิบัติฌานสมาธิแล้วต้องดำเนินการเจริญวิปัสสนากำกับด้วยทุกครั้งทุกทีไป กล่าวคือนำความสุขสงบสบายอันเป็นเครื่องอยู่เป็นกำลังสำคัญของจิตไปเป็นเครื่องหนุนการเจริญวิปัสสนาเสียนั่นเอง เพื่อให้เกิดปัญญาวิมุตติจึงทำให้ไม่กลับกลายหายสูญ
ส่วนนิพพิทา ความหน่ายที่ฟังจากชื่อแล้ว ชวนทำให้เข้าใจผิดไปว่า เมื่อเป็นความหน่ายจึงเป็นความทุกข์นั้น แต่ตามความจริงกลับยังให้เกิดความสุขอันยิ่งตามมา เพราะเป็นเพียงการหน่ายในอารมณ์ที่ผัสสะเนื่องจากปัญญาหรือปรีชารู้ความจริง ดังนั้นเมื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัดหรือความอยากหรือตัณหานั่นเอง และเมื่อคลายกำหนัดจึงไม่เป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานอันเร่าร้อนขึ้นนั่นเอง อันเป็นการดำเนินไปตามปฏิจจสมุปบันธรรมตามวงจรปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวารหรือฝ่ายดับทุกข์นั่นเอง เมื่อไม่เร่าร้อนเผาลนกระวนกระวาย จึงเป็นสุขอันยิ่ง และเป็นสุข ชนิด สะอาด สงบ และบริสุทธ์ อย่างแท้จริง
นิพพิทาจึงเป็นของดี ไม่ใช่เป็นไปเพื่อทุกข์ แต่เป็นไปเพื่อการดับทุกข์
นิพพิทา จึงเป็นไปเพื่อดับตัณหา เป็นไปเพื่อการตัดทำลายวงจรปฏิจจสมุปบาทฝ่ายสมุทยวาร
นิพพิทา จึงไม่เป็นไปเพื่อทุกข์ แต่เป็นไปเพื่อโลกุตตรสุข อันเป็นสุขยิ่ง
|
พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๒๒ |
|
[๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้ อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับสนิท
เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ และเพื่อนิพพานโดยส่วนเดียว ธรรม ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นว่า ไม่งามในกาย ๑ (เช่นการพิจารณา ปฏิกูลมนสิการ, นวสีวถิกา, อสุภกรรมฐาน)
มีความสำคัญว่า เป็นของปฏิกูลในอาหาร ๑ (เช่น ปฏิกูลมนสิการ, อาหาเรปฏิกูลสัญญา)
มีความสำคัญว่า ไม่น่ายินดีในโลกทั้งปวง ๑ (เช่น โลกธรรม ๘)
พิจารณาเห็นว่า ไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง ๑ (เช่น พระไตรลักษณ์)
ย่อมเข้าไป ตั้งมรณสัญญาไว้ใน ภายใน ๑ (เช่น มรณสติ, พระไตรลักษณ์)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๕ ประการนี้แล อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้ มากแล้ว
ย่อมเป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัด เพื่อดับสนิท เพื่อเข้าไปสงบ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ฯ
จบสูตรที่ ๙