จิต เกิดอย่างไร? มีตัวตนอยู่ที่ใด? และธรรมชาติของจิต |
|
เป็นที่สงสัย ใคร่รู้ของปุถุชนมาแต่โบราณกาล ตลอดมาทุกยุคทุกสมัย ด้วยความต้องการใคร่รู้ว่า จิตบ้าง วิญญาณบ้าง เป็นอะไร อยู่ที่ใด เพื่อหวังเข้าใจบ้าง หวังเพื่อหาทางควบคุมและบังคับจิตหรือวิญญาณเพื่อใช้ประโยขน์บ้าง หรือใช้ประโยชน์จากจิตหรือวิญญาณไปในทางอิทธิฤทธิ์หรืออำนาจบ้าง หวังในภพภูมิหรือชาติหน้าบ้าง และแม้แต่นักปฏิบัติธรรมเพื่อหวังประโยชน์ไปในทางดับทุกข์อันดีงามยิ่ง ดังนั้นจึงมีผู้พยายามแสวงหาคำตอบเหล่านี้ทั้งจาก ปัญญา สมาธิ อีกทั้งไสยศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ มาเป็นเวลาช้านานมาโดยตลอดตั้งแต่โบราณกาล จนกล่าวได้ว่าเป็นปัญหาโลกแตก ที่ไม่มีผู้ใดสามารถตอบปัญหาข้องใจเหล่านี้ได้อย่างถูกต้องดีงาม จวบจนกระทั่งบังเกิดมี องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง พระองค์นั้น ที่ได้ทรงหงายของที่คว่ำอยู่ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ด้วยการตามประทีปในที่มืด ด้วยเห็นว่าผู้มีจักษุคือปัญญาคงเห็นได้ เพื่อโปรดเวไนยสัตว์ด้วยพระมหากรุณาคุณอันยิ่งนั่นเอง
จิตนั้นถ้าพยายามหาตัวหาตนว่าเป็นอะไร อยู่ที่ใดแล้ว โดยไม่เข้าใจธรรมหรือสภาวธรรม(ธรรมชาติ)แล้ว ก็จะเป็นดังที่ท่านหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ได้กล่าวแสดงไว้ในเรื่อง "จิตคือพุทธะ" อันเป็นส่วนหนึ่งของ"คำสอนของฮวงโป"ในนิกายเซ็นด้วยเช่นกัน
"จิตหนึ่ง นี้เป็นสิ่งที่เห็นตำตาเราอยู่แท้ๆ แต่ลองไปใช้เหตุผล(ว่ามันเป็นอะไร เป็นต้น) กับมันเข้าดูซิ เราจะหล่นลงไปสู่ความผิดพลาดทันที สิ่งนี้เป็นเสมือนกับความว่าง อันปราศจากขอบทุกๆด้าน ซึ่งไม่อาจจะหยั่ง หรือวัดได้" (จาก อตุโล ไม่มีใดเทียม, น.๔๒๓) |
จิต ในทางพุทธศาสตร์ให้คำจำกัดความไว้ว่า ธรรมชาติที่รู้อารมณ์(สิ่งที่กำหนดหมาย) ที่บ้างก็เรียกกันว่าใจ บ้างก็เรียกว่าวิญญาณ บ้างก็เรียกว่ามโน บ้างก็เรียกว่าหทัย บ้างก็เรียกว่ามนายตนะ บ้างก็เรียกว่ามนินทรีย์ ฯ. หลายท่านพยายามหาว่า จิตคืออะไร? เกิดขึ้นอย่างไร? มีตัวตนไหม? และอยู่ที่ใด? บ้างก็ว่าเจตภูต บ้างก็ว่าปฏิสนธิวิญญาณที่ลอยละล่องท่องเที่ยวแสวงหาภพใหม่หรือที่เกิดบ้าง บ้างก็ว่ากายทิพย์ บ้างก็ว่าคือสมอง บ้างก็ว่าหัวใจ บ้างก็ว่าอยู่ที่กลางอก บ้างก็ว่าอยู่ที่กลางศูนย์กาย บ้างก็ว่ากลางหน้าผาก บ้างก็ว่าคือสมอง บ้างก็ว่าระบบประสาท บ้างก็ว่าเกิดมาแต่ชาติปางก่อน บ้างก็ว่าเป็นอาตมันเป็นของติดตัวของตน ฯลฯ. ล้วนแล้วแต่เป็นการปรุงแต่งกันไปต่างๆนาๆด้วยอำนาจของทิฏฐุปาทานและสีลัพพตุปาทานทั้งสิ้น กล่าวคือ ไม่ได้เห็นเป็นไปตามความเป็นจริงอย่างปรมัตถ์ด้วยตนเอง แต่ล้วนเป็นความเห็นความเชื่อ เป็นไปตามที่มีการถ่ายทอดสืบต่อๆกันมา หรือตามความเข้าใจหรือความเชื่อของตัวของตนที่สั่งสมอบรมมาด้วยอธิโมกข์ ฯ. จึงต่างล้วนตกลงสู่หลุมพรางของความผิดพลาด หรือมายาของจิตทันที เกิดการปั้นจิตเป็นตัวตนบ้าง เป็นผู้รู้บ้าง เป็นดวงสว่างบ้าง เป็นดั่งมณีบ้าง เป็นวัตถุธาตุต่างๆอยู่กลางอกบ้าง ฯ. ล้วนแล้วแต่จะปรุงแต่งกันไปตามความเชื่อ ความเข้าใจ แต่ล้วนเป็นแบบผิดๆทั้งสิ้น, จึงเป็นไปดังคำกล่าวของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล ที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นนั่นเอง คือ หล่นลงสู่หลุมพลาง, ด้วยจิตนั้นแท้จริงแล้วไม่มีตัวตน เป็นของตนอย่างแท้จริง ด้วยเป็นอนัตตา เปรียบเสมือนกับความว่าง หรือเงา คือปราศจากขอบเขตทุกๆด้าน หรือปราศจากรูปทรงหรือรูปร่างให้หยั่งวัดได้ จึงคล้ายดั่ง อยู่ในสภาวะที่เรียกได้ว่า จะมีก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีก็ไม่ถูก
จิตนั้น ตามความเป็นจริงขั้นปรมัตถ์แล้วก็เป็นเพียงสังขารอย่างหนึ่ง อันคือ สิ่งปรุงแต่ง คือ สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมาอย่างหนึ่ง, เมื่อเป็นสังขารจึงเกิดขึ้นแต่การที่ต้องมีเหตุต่างๆ มาเป็นปัจจัยกันจึงเกิดขึ้น หรือเกิดการทำงานขึ้น, หรือเกิดการทำหน้าที่ขึ้น เป็นชั่วขณะๆ ระยะๆ คือ เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆๆ...และเมื่อเป็นสังขาร ย่อมอยู่ภายใต้กฎพระไตรลักษณ์หรือธรรมนิยามของสังขารทั้งปวงที่ว่า ย่อมอนิจจังมีความไม่เที่ยง, ทุกขังคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้จึงเสื่อมดับไป,จึงเป็นทุกข์ในที่สุด, อนัตตาไม่ใช่ตัวใช่ตน คือไม่มีตัวไม่มีตนของตัวจิตเองจริงๆ, ด้วยเป็นอนัตตา เพราะจิตเกิดมาจากการที่มีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยแก่กันและกันชั่วขณพระยะหนึ่ง หรือมาประชุมรวมกันอยู่ชั่วขณะหนึ่งๆหรือระยะเวลาหนึ่งๆ จึงเกิดจิตหนึ่งขึ้นเป็นธรรมดา ดังการเกิดของจิตหรือวิญญาณ ที่เมื่อ ตา กระทบ รูป ย่อมเกิด จักขุวิญญาณ ขึ้นเป็นธรรมดา อันคือจิตหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา กล่าวคือ เมื่อมีการเกิดการกระทบกันของอายตนะภายนอกและภายในในผู้ที่ยังดำรงขันธ์หรือชีวิตอยู่ จิตหรือก็คือวิญญาณหนึ่งๆก็ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา แล้วตั้งอยู่อย่างแปรปรวน แล้วย่อมต้องดับไปเป็นธรรมดา จิตจึงมีสภาพที่เกิดดับ คือเกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆๆ.....เป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลาที่ดำรงขันธ์ทั้ง ๕ อยู่ อันเป็นไปดังเช่นกระบวนธรรมต่างๆของขันธ์ ๕ นั่นเอง ดังที่พระองค์ท่านทรงแสดงไว้ใน"ฉฉักกสูตร"
[๘๑๔] ก็ข้อที่เรากล่าวดังนี้ว่า พึงทราบหมวดวิญญาณ ๖ นั่น เราอาศัย อะไรกล่าวแล้ว คือ บุคคลอาศัยจักษุและรูป จึงเกิด จักษุวิญญาณ อาศัยโสตะ และเสียง จึงเกิด โสตวิญญาณ อาศัยฆานะ และกลิ่น จึงเกิด ฆานวิญญาณ อาศัยชิวหา และรส จึงเกิด ชิวหาวิญญาณ อาศัยกาย และโผฏฐัพพะ จึงเกิด กายวิญญาณ อาศัยมโน(ใจ) และธรรมารมณ์ ์ จึงเกิด มโนวิญญาณ (พระไตรปิฎก ฉบับสยามรัฐ เล่ม ๑๔ ) |
เมื่อนำมาเขียนเป็นกระบวนธรรม เพื่อให้ง่ายต่อการพิจารณา ได้ดังนี้ คือเมื่อ
จิตหนึ่งหรือวิญญาณหนึ่ง จึงมีการเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เมื่อมีการกระทบกันของอายตนะภายนอกและภายในในผู้ที่ยังดำรงขันธ์หรือชีวิตอยู่ จิตหรือวิญญาณหนึ่งๆนี้ก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เกิดขึ้นและเป็นไปเหมือนดังการเกิดขึ้นของ เงา
ในอายตนะภายในหรือทวารอื่นๆในผู้ที่ยังดำรงขันธ์อยู่ ก็เป็นเฉกเช่นกัน กล่าวคือ เมื่อ หู กระทบ เสียง จิตหนึ่งจึงย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา คือเกิดโสตวิญญาณคือเกิดอีกจิตหนึ่งขึ้น ซึ่งรู้แจ้งในเสียงนั้น แล้วทั้ง ๓ ย่อมเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดการผัสสะกัน, จิตหนึ่งนี้จึงเกิดขึ้นและตั้งอยู่อย่างแปรปรวน แล้วเสื่อมดับไปเป็นธรรมดา, เมื่อ คิดหรือธรรมารมณ์ กระทบกับ ใจ อีกจิตหนึ่งก็ย่อมต้องเกิดขึ้นด้วยเป็นธรรมดา คือย่อมเกิด มโนวิญญาณหรือจิตหนึ่งขึ้น ที่รู้แจ้งในธรรมารมณ์หรือความคิดนึกนั้นๆ ขึ้นจากการกระทบกันเป็นธรรมดา ตั้งอยู่อย่างแปรปรวน แล้วเสื่อมดับไปเป็นธรรมดา ฯลฯ. ดังนั้นจิตจึงเกิดแต่เหตุต่างๆอันหลากหลาย มาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน ซึ่งครอบคลุมหมายรวมไปถึงอายตนะภายนอกหรืออารมณ์คือสิ่งต่างๆที่ไปกระทบสัมผัสอีกด้วยคือเหล่าอายตนะภายนอกทั้ง ๖ อันมี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์(สิ่งที่รับรู้ได้ด้วยใจ) ดังเช่น เมื่อตากระทบรูป รูปหรือภาพที่เห็นอันทำหน้าที่เป็นอารมณ์ของจิตนั้น ก็ย่อมกลายเป็นส่วนหนึ่งของจิต กล่าวคือมีอิทธิพลหรือเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งของจิตที่เกิด ณ ขณะนั้นๆ, จิตนั้นถ้าแยกออกมาเป็นกองเป็นกลุ่มหรือเป็นขันธ์ ท่านจัดเป็น ๔ ขันธ์ คือ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งแต่ละกองหรือแต่ละขันธ์นั้น ก็ล้วนเป็นสังขาร-สิ่งปรุงแต่ง อันเกิดมาแต่เหตุปัจจัยต่างๆอีกมากหลายมาปรุงแต่งกันเช่นกัน จึงต่างล้วนเป็นส่วนหนึ่งหรือเป็นเหตุเป็นปัจจัยหนึ่งของจิตอีกด้วยทั้งสิ้น ดังนั้นเมื่อประกอบด้วยเหตุปัจจัยอันแปรปรวนได้มากหลายดังนี้ จิตจึงย่อมมีความแปรปรวนง่ายดายเป็นที่สุด คือย่อมแปรปรวนไปตามเหตุต่างๆที่มาเป็นปัจจัยกันเหล่านั้นด้วยนั่นเอง จึงมีพระพุทธดำรัสไว้ว่า
เราไม่เล็งเห็นสิ่งอื่นแม้สักอย่างหนึ่ง ที่จะเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วเหมือนจิตเลย (เอกนิบาต ๒๐/๙) จิตมีธรรมชาติดิ้นรน กวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก (ธรรมบท ๒๕/๑๗) "ภิกษุทั้งหลาย การที่ปุถุชนผู้มิได้เรียนรู้ จะเข้าใจไปยึดถือว่าร่างกายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ ว่าเป็นตัวตน (webmaster-ขยายความว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นความเข้าใจที่ผิดก็ตามที แต่ก็นับว่า) ยังดีกว่าจะยึดถือจิตว่าเป็นตัวตน เพราะว่า กายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ นี้ ยังปรากฎให้เห็นว่าดำรงอยู่ (webmaster-ขยายความว่า ยังแสดงให้เห็นว่าคงทนอยู่ไม่ได้อย่างแท้จริง คืออยู่ได้) เพียงปีหนึ่งบ้าง ๒ ปีบ้าง ๓ - ๔ - ๕ ปีบ้าง ๑๐ - ๒๐ - ๓๐ - ๔๐ - ๕๐ ปีบ้าง ๑๐๐ ปีบ้าง เกินกว่านั้นบ้าง แต่สิ่งที่เรียกว่า จิต มโน หรือวิญญาณนี้ ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป เกิดดับอยู่เรื่อย ทั้งกลางวันทั้งกลางคืน(Webmaster-ขยายความว่า เกิดแล้วดับ เกิดแล้วดับๆ อยู่ทั้งในขณะตื่น และแม้ขณะหลับไป เช่นการฝัน)" (พระไตรปิฏก เล่มที่ ๑๖ หัวข้อที่ ๒๓๑) |
สังขารทั้งปวง แม้ชีวิต อีกทั้งจิตหนึ่งนี้ เกิดขึ้นมาอุปมาดั่ง "เงา"
จิตหนึ่งนี้ ตลอดจนสังขารทั้งปวง ล้วนไม่เที่ยงจึงมีการแปรปรวนหรือเปลี่ยนแปลง ทุกขังคือคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ จึงเสื่อมจนดับไปเป็นที่สุด จึงเกิดดับๆๆๆ....เป็นขณะๆหรือระยะๆอยู่ตลอดเวลาเสมอๆ และเป็นอนัตตา จึงควบคุมบังคับให้เป็นไปตามใจปรารถนาไม่ได้ จึงทำงานตามหน้าที่ตน คือเป็นไปตามเหตุต่างๆอันมาเป็นปัจจัยกันดังกล่าวข้างต้นนั่นเอง จิตท่านจัดเป็นสันตติอย่างหนึ่ง คือ การเกิดดับต่อเนื่องกันไปโดยอาการที่เป็นปัจจัยสืบเนื่องต่อกันไป จึงเป็นการยืนยันได้อีกประการหนึ่งว่า จิตนั้นเกิดแล้วดับ เกิดดับๆ อยู่ตลอดเวลา, อุปมาเฉกเช่นดัง เงา ซึ่งเป็นของว่างเปล่า หรือว่าง ซึ่งเมื่อเกิดขึ้นก็เป็นรูปธรรมคือสิ่งที่รู้ได้ด้วยตา ที่เมื่อใดก็ตามเมื่อมีเหตุต่างๆมาเป็นปัจจัยกันครบองค์ประกอบก็เกิดขึ้น เมื่อไม่ครบองค์ก็ดับไป หรือว่าง จึงอยู่ในสภาวะเกิดดับๆ เป็นสันตติเช่นกัน...เป็นอนัตตาคือไม่มีตัวตนของมัน(เงา)เองจริง เป็นของว่าง หรือว่างเปล่า จิตจึงเหมือนดัง"เงา"นั่นเอง, ในขันธ์ ๕ จิตหมายถึงวิญญาณหรือวิญญาณขันธ์นั่นเอง ดังแสดงในอัสสุตวตาสูตรข้างต้น หรือดังแสดงอยู่พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม (หัวข้อที่ ๓๕๖)ของพระเดชพระคุณเจ้าพระธรรมปิฏก
เราทั้งหลายก็รู้กันอยู่อย่างตำตา ตำใจ ว่ามีจิต-เพราะรับรู้ในอารมณ์กำหนดหมายต่างๆได้, มีเงา-เพราะเห็นอยู่ได้ตำตา จนตำใจ แต่ไฉนจึงหาตัวตนของมันว่าอยู่ที่ใดไม่ได้ หรือหาตัวหาตนไม่เจอ หรือว่าไม่มีตัวไม่มีตน เป็นอย่างใดกันแน่? เหตุเพราะจิตนั้นอุปมาเหมือนดั่งเงา ที่ไม่มีตัวตนของมันเองจริงๆ เป็นของไม่มี เป็นของว่างเช่นเดียวกัน ถ้าไปถามใครๆในโลกนี้ว่า "มี"หรือเคยเห็น "เงา"กันไหม" ทุกคนก็ต้องตอบเสียงเดียวกันว่า"มี" ก็เพราะเห็นกันอยู่ทั้งตำตา จนตำใจคือรับรู้กันอยู่ทุกคนทั้งโลก แต่ถึงจะมีก็จริงอยู่ แต่ก็หามีตัวตนของมันเองจริง คือไร้แก่นสาระ เพราะอยู่ในสภาวะที่ไม่มีตัวตนของมันเองจริงตามพระไตรลักษณ์ คืออนัตตานั่นเอง อยู่ในสภาวะที่ว่าจะ "มี"(ตัวตน)ก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มี(ตัวตน) ก็ไม่ถูก, ที่ถูกต้องจึงควรกล่าวว่า "เมื่อมีเหตุปัจจัยครบองค์ประกอบก็เกิดขึ้น เมื่อเหตุปัจจัยไม่ครบองค์ก็ดับไป" เพราะเงาล้วนเกิดขึ้นและเป็นไปตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม หรือหลักอิทัปปัจจยตากล่าวคือ เกิดขึ้นมาจากการที่มีเหตุคือสิ่งที่ทำให้เกิดขึ้นต่างๆ อันประกอบด้วย วัตถุทึบแสง๑, แสง๑, พื้นที่รับแสง๑ มาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เมื่อมีแรงบีบคั้นใดมาประจวบกันจนครบองค์ประกอบดังกล่าว เงาก็เกิดขึ้น แต่เมื่อใดเมื่อเหตุปัจจัยไม่ครบองค์ก็ดับไป จึงเกิดดับๆ....อยู่เยี่ยงนี้เป็นธรรมดา ก็ด้วยความไม่เที่ยงของเหตุต่างๆที่มาเป็นปัจจัยกัน จึงคงทนอยู่ในสภาพเดิมอยู่ไม่ได้ เป็นจริงอยู่เช่นนี้ตลอดกาลนาน จริงแท้เยี่ยงนี้เองและเป็นอกาลิโก ลองโยนิโสมนสิการในเงา(shadow) ในภาพด้านล่างนี้
|
เงา นั้นเป็นอนัตตา ย่อมไม่มีตัวตนของตนเองจริง เงานั้นก็ไม่มีอยู่ใน แสง-เช่นแสงแดด (light) |
|
|
เงา นั้นเป็นอนัตตา ย่อมไม่มีตัวตนของตนเองจริง เงานั้นก็ไม่มีอยู่ใน วัตถุทึบแสง-เช่นมือ (opaque object-hand) |
|
|
เงา นั้นเป็นอนัตตา ย่อมไม่มีตัวตนของตนเองจริง เงานั้นก็ไม่มีอยู่ใน พื้น(ที่รับการตกกระทบของแสง) (floor) |
|
--- floor
แต่เมื่อเหตุทั้ง ๓ หรือองค์ประกอบย่อยทั้ง ๓ มาประกอบเป็นปัจจัยแก่กันและกันตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม หรืออิทัปปัจจยตา และเมื่อมีแรงบีบคั้นมากระทำที่เหตุ คือมีแรงมาเคลื่อน "วัตถุทึบแสง" มาบังกั้น "แสง" ที่ตกกระทบบน "พื้นที่รับแสง" ได้อย่างลงตัว จึงครบองค์(ประกอบ)ให้เกิด "สังขาร-สิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้น" จากเหตุทั้ง ๔ ที่มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกันจนครบองค์ประกอบ จึงเกิดหรือปรากฏสิ่งที่เราเรียกกันโดยภาษาสมมติหรือสมมติสัจจะหรือภาษาโลกไว้สื่อสารกันว่า"เงา"ขึ้น จึงเกิดขึ้นเป็นไปตามธรรมหรือสภาวธรรมหรือธรรมชาติที่เป็นเช่นนี้เองเป็นธรรมดา ที่หมายถึงเมื่อเหตุปัจจัยมาประกอบกันครบองค์ดังนี้แล้ว ก็ย่อมต้องเกิดขึ้น จะไปห้ามไม่ให้เกิด,ไม่ให้เป็นตามใจปรารถนาย่อมไม่ได้ เมื่อเจริญวิปัสสนาโดยการโยนิโสมนสิการจะเห็นว่า เมื่อเหตุต่างๆอันคือวัตถุทึบแสง, แสง, พื้นที่รับแสง ที่มาเป็นปัจจัยแก่กันและกันชั่วขณะหรือระยะหนึ่งๆเหล่านั้น เมื่อเหตุตัวใดตัวหนึ่งซึ่งต่างก็ย่อมล้วนเป็นสังขารอันไม่เที่ยงเช่นกัน ย่อมมีอาการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงจนดับสูญไปในที่สุด เงาอันเป็นผลที่เกิดขึ้นตามหลักปฏิจจสมุปบันธรรม ย่อมต้องเกิดอาการแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไปด้วย หรือดับไปที่ย่อมเนื่องสัมพันธ์ไปด้วยกัน กล่าวคือจึงขึ้นอยู่หรืออิงอยู่กับเหล่า "เหตุ" ต่างๆที่เป็นปัจจัยแก่กันและกันนั่นเอง ไม่ได้อิงอยู่กับเราหรือใครๆ ที่จะไปสั่งให้เกิด ให้ดับ ให้เป็นไปตามใจปรารถนาไม่ได้เลย (ขันธ์ทั้ง ๕ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ, กระบวนธรรมของขันธ์ ๕, ปฏิจจสมุปบาท อีกทั้งสังขารทั้งปวงก็เป็นเฉกเช่นกันนี้) ได้แต่เป็นไปตามเหตุปัจจัย เงาอันเป็นสังขารจึงมีการแปรปรวนหรือเปลี่ยนแปลงรูปร่างและขนาดจนไม่อาจหยั่งหรือวัดได้ด้วยแปรปรวนไปตามเหตุ อีกทั้งการเกิดดับๆๆๆ...เป็นไปตามเหตุปัจจัยดังกล่าวข้างต้น เมื่อเหตุปัจจัยครบองค์ประกอบก็เกิดขึ้น เมื่อเหตุปัจจัยไม่ครบองค์ก็ดับไป ภายใต้ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นไปเช่นดั่งจิต ที่ก็เป็นไปตามเหตุ ที่มาเป็นปัจจัยต่อกันและกัน ดังเช่นเงาเหมือนกัน เมื่อไม่มีเหตุ หรือไม่มีปัจจัยปรุงแต่งกันก็ไม่เกิดขึ้น ดังนั้นการพยายามหาตัวหาตนของจิต หรือไล่จับจิตหรือวิญญาณ หรือเงา จึงเป็นการพลัดหลงสู่วังวนของความคิด หรือมายาของจิต จึงอุปมาได้ดั่งการพยายามวิ่งไล่จับเงา อันย่อมไม่มีวันประสบผลสำเร็จ ไม่ว่าจะเนิ่นนานสักกี่ร้อยภพ กี่พันชาติ ก็ตามที
จิตนั้นก็เกิดขึ้นแต่เหตุปัจจัยเหมือนดั่งเงา คือเกิดขึ้นมาได้ด้วยเหตุต่างๆดังนี้ มาเป็นปัจจัยปรุงแต่งกัน
รูป
|
แสง
|
รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์(จิต) อีกทั้ง สุข ทุกข์ โทสะ โมหะ ตัณหา หดหู่ คือสังขารขันธ์ทั้งปวง ฯลฯ. อีกทั้งสังขารที่ถูกปรุงแต่งขึ้นทั้งปวง จึงต่างล้วนเป็นไปประดุจดั่งเงานั่นเอง เมื่อมีเหตุปัจจัยครบองค์ประกอบก็เกิดขึ้น เมื่อไม่ครบองค์ก็ดับไป เป็นไปดั่งนี้ทั้งสิ้น จึงเป็นไปดังคำกล่าวที่ว่า
เว้นแต่จากเหตุปัจจัย มิได้มีเลย
แม้ชีวิต ของทุกรูปนามคือทุกคนเช่นกัน ก็เกิดแต่เหตุปัจจัยของขันธ์ทั้ง ๕ ที่เมื่อมีเหตุต่างๆคือขันธ์ทั้ง ๕ มาเป็นปัจจัยแก่กันและกันครบองค์ ก็เรียกกันว่า"เกิด"ขึ้น เป็นตัวเป็นตนขึ้นขณะระยะหนึ่ง แต่เมื่อเหตุต่างๆคือขันธ์ต่างๆแปรปรวนหรือไม่ครบองค์ประกอบด้วยประการใดก็ดี ก็นับว่าดับไปคือตาย, ชีวิตนั้นจึงย่อมแปรปรวนหรือดับไปเช่นกัน เฉกเช่นดั่งเงา, ส่วนร่างกายนั้นเพียงแต่ว่าวงจรชีวิตของขณะหรือระยะหนึ่งๆของรูปขันธ์หรือกายนั้นยาวนานกว่าจิต จึงยาวนาน...๑๐ปี..๒๐ปี..๓๐ปี........๗๐ปีบ้าง..จนถึง ๑๐๐ปีบ้าง ฯ. แต่ก็ต้องเสื่อมและดับไปเป็นที่สุดเช่นกัน
นอกจากจิตแล้ว สังขารทั้งปวงก็เช่นกันดั่งนี้ ดุจดั่งเงา เพียงแต่ว่าเงามีวงจรชีวิตที่เกิดดับๆ...สั้นๆ จึงสามารถทดลองหรือใช้ในการพิจารณาให้เห็นธรรม(ธรรมชาติหรือสภาวธรรม)ต่างๆได้ง่ายและชัดเจน ให้เห็นสังขารตามความเป็นจริงในธรรมนิยาม ที่ว่าเพราะเกิดแต่เหตุปัจจัย จึงไม่เที่ยง ทุกขังคงสภาพอยู่ไม่ได้จึงเสื่อมดับไป จึงเป็นทุกข์ในที่สุด เป็นอนัตตาไม่มีตัวตน ที่หมายถึง ไม่มีตัวตนของตัวมันเองจริงๆ เป็นของว่าง จึงเข้าไปครอบครองเป็นเจ้าของไม่ได้ จึงบังคับบัญชาไม่ได้ เมื่อไปยึดด้วยตัณหา จึงเป็นทุกข์ในที่สุดเมื่อไม่เป็นไปตามปรารถนา เพราะมันเป็นไปตามเหตุปัจจัยอันไม่เที่ยง และคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้นั่นเอง
เงา เมื่อเป็นสังขารสิ่งที่ถูกเหตุปัจจัยปรุงแต่งขึ้นชนิดหนึ่ง ดังกล่าวข้างต้น จึงย่อมต้องเป็นไปตามกฎพระไตรลักษณ์ เกิดแต่เหตุปัจจัยมาเนื่องสัมพันธ์กัน ชั่วขณะหรือระยะหนึ่งเท่านั้น สังขารเงาจึงมีความไม่เที่ยง คงสภาพทนอยู่ไม่ได้ จึงต้องดับไปเป็นที่สุด เป็นอนัตตา ไม่มีตัวตนของตนอย่างแท้จริง จึงเข้าไปครอบครองเพื่อเป็นเจ้าของไม่ได้ จึงควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ให้เป็นไปตามใจปรารถนา แต่เป็นไปหรืออิงตามเหตุปัจจัยหรือหลักปฏิจจสมุปบันธรรม ดังนั้นเมื่อไปยึดหรือไปอยากให้เป็นไปตามใจปรารถนา(ตัณหา) จึงเป็นทุกข์เป็นที่สุดก็ด้วยการคงสภาพเดิมอยู่ไม่ได้จึงต้องดับไปนั่นเอง, จิตก็เป็นเช่นดังเงานั้นนั่นเอง ดังนั้นการพยายามหาตัวตนของจิตหรือนิยามของจิตอย่างเฉพาะเจาะจงเป็นรูปธรรม ก็จะเป็นการตกสู่หลุมพรางของความคิดหรือมายาของจิตทันที ดังนั้นการที่ไปยึดหรือไปอยากใดๆในผลอันเกิดแต่จิตอันไม่เที่ยง ผลอันเกิดขึ้นมาแต่เหตุที่ไม่เที่ยงนั้น ผลก็ย่อมไม่เที่ยงไปด้วย จึงย่อมต้องเกิดทุกข์ขึ้นเป็นที่สุดจากการคงสภาพอยู่ไม่ได้ การเสื่อม การสูญเสีย จึงเกิดความอาลัย ความอาวรณ์ ความคิดคำนึงถึงต่างๆ เพราะความดับไป ด้วยอำนาจธรรมนิยามหรือพระไตรลักษณ์เป็นที่สุด
"จิต" จึงไม่มีตัวตนของตนเองจริง เป็นของว่าง เป็นมายาเหมือนดั่ง"เงา"นั่นเอง เมื่อมีเหตุปัจจัยก็เกิดขึ้น อุปมาดั่ง"เงา" |
เมื่อขาดเหตุปัจจัยก็ดับไป จิตจึงมีสภาวะเกิดดับ..เกิดดับ เหมือนดัง เงา ซึ่งนำมาเขียนเป็นกระบวนธรรม ให้เห็นการเกิดขึ้นของจิต ได้ดังนี้
อายตนะภายนอก
|
เกิดขึ้นแล้ว ก็ดับไป เป็นไปตามธรรมหรือตามการกระทบของอายตนะในผู้ที่ยังดำรงขันธ์หรือมีชีวิตินทรีย์อยู่ กล่าวคือย่อมเกิดจิตหรือวิญญาณตามอายตนะภายในที่ใช้งานนั้นๆ เป็นไปดังพระสูตรใน"มหาตัณหาสังขยสูตร" ที่ได้ตรัสแสดงไว้แจ่มแจ้งดังนี้
[๔๔๔] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณ อาศัยปัจจัยใดๆ เกิดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ วิญญาณ อาศัยจักษุและรูปทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าจักษุวิญญาณ (ได้เกิดขึ้น กล่าวคือเกิดรู้แจ้งในอารมณ์อันคือรูป หรือรับรู้ในรูป) วิญญาณ อาศัยโสตและเสียงทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าโสตวิญญาณ (รู้แจ้งในอารมณ์อันคือเสียง หรือรับรู้ในเสียง) วิญญาณ อาศัยฆานะและกลิ่นทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าฆานวิญญาณ (รู้แจ้งในกลิ่น หรือรับรู้ในกลิ่น) วิญญาณ อาศัยชิวหาและรสทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่าชิวหาวิญญาณ (รู้แจ้งในรส หรือรับรู้ในรส) วิญญาณ อาศัยกายและโผฏฐัพพะทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ากายวิญญาณ (รู้แจ้งในกายสัมผัส หรือรับรู้ในกายสัมผัส) วิญญาณ อาศัยมนะและธรรมารมณ์ทั้งหลายเกิดขึ้น ก็ถึงความนับว่ามโนวิญญาณ (รู้แจ้งในธรรมารมณ์ หรือรับรู้ในธรรมารมณ์) เปรียบเหมือนไฟอาศัยเชื้อใดๆ ติดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยเชื้อนั้นๆ ไฟอาศัยไม้ ติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟไม้ ไฟอาศัยป่าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟป่า ไฟอาศัยหญ้าติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟหญ้า ไฟอาศัยโคมัยติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟโคมัย ไฟอาศัยแกลบติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟแกลบ ไฟอาศัยหยากเยื่อติดขึ้น ก็ถึงความนับว่า ไฟหยากเยื่อ ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล วิญญาณอาศัยปัจจัยใดๆเกิดขึ้น ก็ถึงความนับด้วยปัจจัยนั้นๆ |
จิตนั้นแม้มีอยู่ แต่ไม่มีตัวตนของตนจริง จึงไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ควบคุมบังคับไม่ได้ แท้จริงแล้วก็เป็นดั่งที่นิกาย Zen กล่าวถึงเสมอๆไว้ว่า จิตคือความว่างเปล่าหรือ"ความว่าง" จึงเหมือนดั่งเงา ที่เป็นของว่าง ไม่มีตัวตนใดๆ แต่มีการเกิดดับ เกิดดับ...หรือก็คือเกิดแล้วว่าง เกิดแล้วว่าง...เกิดขึ้นได้เพียงแต่เป็นไปตามเหตุปัจจัยมาประชุมปรุงแต่งกันจึงเกิดขึ้นแล้วก็ดับคือว่างเปล่าหรือความว่างนั่นเอง จึงมีการเกิดดับตามเหตุปัจจัยดังแสดงข้างต้นในมหาตัณหาสังขยสูตร จึงขึ้นหรืออิงอยู่กับเหตุปัจจัย จึงไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราหรือของเราหรือใครๆ จึงควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ตามปรารถนาอย่างแท้จริง มันจึงต้องเป็นไปเช่นนี้เองในทุกสรรพสิ่ง, ดังนั้นจิตจึงเกิดขึ้นชั่วขณะที่มีการกระทบกันของอายตนะภายนอกและอายตนะภายในในผู้ยังดำรงขันธ์หรือชีวิตินทรีย์อยู่ ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดาเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติ แต่เพราะความที่ไปควบคุมเหตุบางประการได้ระยะหนึ่งเท่านั้น เช่นการทำงานของกาย ซึ่งแท้จริงเป็นเพียงกรรมการกระทำทางกาย ที่แสดงออกมาเป็นกริยาหรืออิริยาบถต่างๆ (แต่ย่อมไม่สามารถควบคุมสภาวธรรมของรูปขันธ์หรือขันธ์ใดๆได้แท้จริง) จึงก่อให้เกิดมายาหลอกลวงจิตให้เห็นผิดไปว่า ควบคุมบังคับมันคือรูปขันธ์ร่างกายได้ คือการเดิน นอน กิน นั่ง พูด คิดนึก ทำการงาน ฯ. จึงซึมซ่านย้อมจิตเป็นมายาล่อลวงจนหลงมาตั้งแต่เกิดว่า มันเป็นของเรา เราเป็นเจ้านาย เราบังคับบัญชามันได้ เป็นไปดั่งนี้ตลอดมาตั้งแต่เกิด, แท้จริง จิตนั้นแปรปรวนไปตามเหตุหรือสิ่งที่กระทบสัมผัสอันเป็นไปตามธรรมหรือธรรมชาติ โดยอาศัยส่วนหนึ่งของกายเป็นประตูหรือทวารเชื่อมอีกด้วยโดยอาศัยอายตนะภายในต่างๆนั่นเอง และกายก็ยังเป็นแหล่งแสดงผลของจิตอีกทางหนึ่งด้วยคือกรรม การกระทำต่างๆได้ทั้งทาง กาย วาจา ใจ, ดังนั้นแม้แต่กายจริงๆแล้วก็เป็นส่วนหนึ่งหรือเหตุปัจจัยหนึ่งของจิตอีกด้วย ตลอดจนขันธ์ต่างๆของจิตเองอันมีเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ต่างก็ล้วนเป็นสังขารสิ่งปรุงแต่งขึ้นทั้งสิ้นเช่นกัน จึงต่างก็ล้วนมีเหตุมีปัจจัยของตัวมันเองทั้งสิ้น ด้วยเหตุดังนี้นี่เอง จิตจึงเป็นสิ่งที่แปรปรวน ลึกลับสุดหยั่ง และควบคุมบังคับได้ยาก เพราะเกิดแต่เหตุปัจจัยมากหลายดังที่กล่าวมา และยังมีมายาของจิตนั่นเองที่พยายามเสกสรรปั้นแต่งด้วยอำนาจของตัณหาอันยังให้เกิดอุปาทานให้เห็นว่าเป็นตัวเป็นตน หรือเป็นของตัวของตนอย่างแท้จริง ดังที่ท่านกล่าวไว้ว่ามีตัณหา ๑๐๘
ตันหา ๑๐๘ ที่กล่าวๆกันว่าตัณหามีร้อยแปดอย่างมากมายนัก นั้นมาจาก
ตัณหา ๓ กามตัณหา, ภวตัณหา, วิภวตัณหา = ๓
ตัณหา ๖ ใน รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ = ๓ X ๖ อย่าง จึงรวมได้ ๑๘
ตัณหา ๖ จาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ = ๓ X ๖ อย่าง จึงรวมได้อีก ๑๘
รวมเป็น ๑๘+๑๘ = ๓๖ X กาลทั้ง ๓ คือ อดีต ปัจจุบัน อนาคต = ๑๐๘ อย่าง
ดังนั้นตัณหาจึงมีเหตุทางเกิดได้ถึง ๑๐๘ อย่าง มากมายเสียเหลือเกิน
จิตนั้น เฉพาะผู้ปฏิบัติเป็นภิกษุและแม้นักปฏิบัติที่ต้องการปฏิบัติเพื่อโลกุตระหรือการดับทุกข์หลุดพ้นแล้ว (ไม่นับปุถุชนคนทั่วไปที่แม้พระองค์ท่านก็กล่าวในลักษณะว่ามีวิญญาณ แต่เพียงเพื่อสั่งสอนปุถุชนแบบโลกียธรรมเท่านั้น ก็เพื่อให้ตั้งใจทำความดี ละเว้นความชั่ว), แต่ถ้าเป็นผู้ปฏิบัติ แล้วไปตีความว่าจิตมีตัวตน เช่น เจตภูต หรือกายทิพย์ หรือปฏิสนธิวิญญาณที่หมายถึงวิญญาณที่ท่องเที่ยวหรือล่องลอยไปเพื่อแสวงหาที่อุบัติหรือภพใหม่ หาที่เกิดใหม่ได้ ตามที่ปุถุชนได้กล่าวขานกันมาเป็นสารพัดตำนาน พระองค์ทรงตรัสตำหนิติเตียนว่า เป็นมิจฉาทิฏฐิ(ความคิด)อันลามกชั่วร้ายเลยทีเดียว ดังมีแสดงอยู่ในพระสูตร "มหาตัณหาสังขยสูตร" ว่าด้วย สาติภิกษุมีทิฏฐิลามก แล้วแสดงธรรมการเกิดขึ้นของจิตหรือวิญญาณไว้อย่างปรมัตถ์ ในพระสูตรนี้
ด้วยธรรมชาติของชีวิตดั่งนี้นี่เอง เมื่อใจหรือจิตคิดนึกปรุงแต่งด้วยความฟุ้งซ่าน ย่อมเกิดความคิด กระทบ ใจ จิตหนึ่งย่อมเกิดขึ้น และเกิดขึ้นได้หลายครั้งตามความคิดฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ)นั้น ซึ่งแต่ละความคิดย่อมยังให้เกิดเวทนาและสังขารขันธ์ต่างๆ เป็นไปตามความคิดนั้นๆ ดังที่ได้กล่าวไว้ในเรื่องขันธ์ ๕ ด้วยเหตุดังนี้จึงจำเป็นต้องมีสติรู้เท่าทันจิต ที่ครอบคลุมทั้งเวทนาและสังขารขันธ์คือจิตตสังขาร(ย่อมรวมมโนกรรมด้วย) แล้วหยุดฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ)ปรุงแต่งเสีย ด้วยการอุเบกขา คือ ไม่เอา ปล่อยวาง ไม่เอามโนกรรม(การกระทำทางใจ เช่น คิด)ไปคิดนึกปรุงแต่งต่อ
ดังนั้นเราจึงพอให้แค่ความหมายแก่จิต เพียงเพื่อใช้ในการสื่อสารให้เกิดความเข้าใจกันว่า
จิต คือ องค์ประกอบอันสำคัญยิ่งของชีวิตทั้งหลาย ส่วนที่นอกเหนือไปจากส่วนรูปหรือรูปขันธ์(ร่างกายหรือตัวตน) แต่ถึงกระนั้นจิตนั้นก็ต้องพึ่งพาอาศัยกายหรือรูปขันธ์อีกด้วย หรือ
จิต คือ ธรรมชาติที่รู้อารมณ์ กล่าวคือ เป็นธรรมชาติอย่างหนึ่ง คือสภาวธรรมหรือธรรมชาติของชีวิตที่รับรู้อารมณ์ กล่าวคือ รู้แจ้งในสิ่งที่กำหนดหมาย เช่น รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์ ที่กระทบ หรือก็คือวิญญาณ ที่มีความหมายเดียวกันคือ ความรู้แจ้งในอารมณ์
จิตตั้งอยู่ที่ใด
ส่วนคำถามที่ว่า จิตอยู่ที่ใด? นั้น เป็นคำตอบเดียวเช่นกับเงานั่นเอง กล่าวคือ จิตไม่มีตัวตนของตนจริง เป็นอนัตตาเหมือนดังเงาดังที่กล่าวข้างต้น เมื่อมีเหตุเป็นปัจจัยกัน จิตหนึ่งจึงเกิดขึ้น ไม่มีเหตุก็ไม่เกิดคือดับไป, จึงอิงหรือขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัย ไม่มีใครเป็นเจ้าของเข้าไปควบคุมบังคับได้อย่างแท้จริง กล่าวคือ ในผู้มีชีวิตินทรีย์อยู่ เมื่ออายตนะภายนอกกระทบหรือประจวบกับอายตนะภายใน จิตหนึ่งหรือวิญญาณหนึ่งก็ย่อมต้องเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
แต่ถ้าจะเอาคำตอบกันให้ได้ว่าจิตอยู่ที่ใด ก็ให้พิจารณาโยนิโสมนสิการได้จาก"เงา", เงานั้น แท้ก็เป็นเพียงเป็นของว่าง ไม่มีตัวตน ไม่มีขอบเขต หรือรูปร่าง ลักษณะจำเพาะเจาะจงใดๆ เพราะไม่มีตัวตนถาวรแท้จริงดังกล่าว จะเกิดขึ้นแต่ขณะที่ครบองค์ แล้วจะปรากฏอยู่ที่ใด? ย่อมปรากฏตัวชั่วขณะอยู่ที่พื้นที่รับแสงนั่นเอง, จิตหรือวิญญาณก็ฉันนั้น แท้จริงก็เป็นความว่าง เกิดขึ้นมาโดยอาศัยอายตนะที่เป็นแดนเกิดนั่นเอง ดังเช่น จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฯ. ดังอาศัย รูป กระทบ ตา ย่อมเกิดจิตหนึ่งหรือจักขุวิญญาณ(คือธรรมชาติที่รู้อารมณ์)ย่อมเกิดขึ้นที่จักขุเป็นธรรมดา แท้จริงจิตจึงไม่มีตัวตนแท้จริงเป็นอนัตตา ไม่มีที่ตั้งอยู่เป็นหลักแหล่งถาวรอีกด้วย ในบางท่านที่พยายามกำหนดหาจิต จึงมีความรู้สึกว่า จิตอยู่ที่ใดกันแน่ ว่าอยู่ตรงนั้นบ้าง ว่าตรงนี้บ้าง แปรเปลี่ยนไปเรื่อย ด้วยจิตนั้นแปรไปอยู่ตามอายตนะภายในที่กระทบนั่นเอง, ส่วนความคิด กระทบ ใจ ย่อมเกิดมโนวิญญาณ ย่อมเกิดอยู่ที่ใจ(อายตนะภายใน ที่ ๖)ที่ไม่มีตัวตน เป็นเพียงธรรมชาติที่รับการกระทบกับอารมณ์นั่นเอง แต่ถ้าจะเอาคำตอบกันจริงๆให้ได้ก็ขอตอบว่า สมองอันเป็นเหตุปัจจัยอันหนึ่งของใจด้วยนั่นเอง, ขณะร่ายรำมวยจีนอย่างช้าๆเป็นสมาธิ จิตก็ไปอยู่ที่กายที่เคลื่อนไหวร่ายรำ ให้สังเกตุได้ชัดเจน และแม้ที่กายเองบางครั้งก็ไปอยู่ที่แขนบ้าง ที่ขาบ้าง ที่กลางอกบ้าง ที่ศีรษะบ้าง แล้วแต่การกำหนดหมายนั่นเอง จึงพอกล่าวได้ว่า จิตตั้งอยู่ที่อายตนะภายในที่เป็นแดนเกิดนั่นเอง เมื่อรู้ความจริงดั่งนี้แล้ว ลองสังเกตุดูซิว่า จิตอยู่ที่ใด
จิตหรือวิญญาณ จึงเป็นไปดังพระดำรัสที่ตรัสไว้ดีแล้ว ใน มหาตัณหาสังขยสูตร ตอนหนึ่งว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย วิญญาณ(หรือจิต)อาศัยปัจจัยประชุมกันเกิดขึ้น เรากล่าวแล้วโดยปริยายเป็นอเนกมิใช่หรือ ความเกิดแห่งวิญญาณ(หรือจิต) เว้นจากปัจจัย มิได้มี |
ในพจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม (หัวข้อที่ ๓๕๖)ของพระเดชพระคุณเจ้าพระธรรมปิฏก ก็ได้กล่าวถึงจิตหรือวิญญาณไว้ดังนี้
(๓๕๖) จิต ๘๙ หรือ จิต ๑๒๑ (ธรรมชาติที่รู้อารมณ์, สภาพที่นึกคิด, ความคิด, ใจ, วิญญาณ) "จิต
มีไวพจน์
คือ คำที่ต่างเพียงรูป แต่มีความหมายเหมือนกันหรือคล้ายกัน
ใช้แทนกันได้หลายคำ เช่น มโน มานัส หทัย บัณฑร มนายตนะ มนินทรีย์ และ วิญญาณ เป็นต้น
คำเหล่านี้มีความหมายเกยกัน มิใช่ตรงกันโดยสมบูรณ์ ใช้แทนกันได้ในบางโอกาส
มิใช่เสมอไป |
ดังคำอรรถกถาธิบายข้างต้นในพจนานุกรมพุทธศาสตร์
จะเห็นการจำแนกจิต
จิตโดยตามความเป็นจริงแล้วจึงมีหรือเกิดได้หลายดวง
ดังท่านจัดไว้แบบ ๘๙ ดวงบ้าง หรือ ๑๒๑ ดวงบ้าง, ดวง ที่เป็นเพียงสรรพนามที่มีความหมายถึงอาการ ไม่ได้มีความหมายถึง
ความเป็นตัวตน เช่นเป็นร่าง เป็นดวง เป็นจิต เป็นแสง
เป็นกลุ่มก้อน, จึงหมายถึงว่า จิตเกิดอาการของจิตได้หลายอาการในขณะหนึ่งๆเช่นกัน
ดังเช่น เมื่อตากระทบรูป
จิตหนึ่งหรือวิญญาณหนึ่งก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
และในขณะเดียวกันนั้นเอง หูก็กระทบในเสียงก็ย่อมมีจิตอีกดวงย่อมเกิดขึ้นร่วมด้วยเป็นธรรมดา
และถ้าในขณะนั้นธรรมารมณ์(เช่นคิด)กระทบใจ
ก็ย่อมมีอีกจิตหนึ่งร่วมเกิดขึ้นด้วยอีกเป็นธรรมดา
ฯ. จึงเกิดจิตได้หลายดวงหรืออาการในขณะหนึ่งๆ เพียงแต่ว่าจิตดวงใดเด่นหรือเป็นเอกอยู่ในขณะนั้นๆ
หมายถึงแสดงอาการออกมาอย่างเด่นชัดที่สุดในขณะนั้นๆนั่นเอง
อุปมาได้ดังพลุที่ยิงขึ้นท้องฟ้าในงานเทศกาล อันย่อมประกอบด้วยพลุจำนวนมากนับสิบนับร้อย
แต่ ณ ขณะหนึ่งๆนั้น ย่อมมีพลุที่งามเด่นในสายตาอยู่หนึ่ง แต่แล้วต่างก็ล้วนต้องดับไปเป็นที่สุด
จิตก็เป็นไปเช่นดังพลุ
หรือดังเงาที่กล่าวข้างต้นนั่นเอง
เงานั้นเกิดแต่เหตุปัจจัย เช่น วัตถุทึบแสง แสง ตลอดจนพื้นผิว(ที่รับการตกกระทบของแสง) แรงบีบคั้นปรุงแต่ง เมื่อสิ่งเหล่านี้กล่าวคือเหตุ มีอาการแปรปรวนอันใดเป็นธรรมดา เงานั้นก็ต้องแปรปรวนหรืออิงขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยนั้นๆ มิสามารถควบคุมบังคับบัญชาให้เป็นไปตามปรารถนา เพราะแปรปรวนหรืออิงกับเหตุอันมาเป็นปัจจัยแก่กันและกันเหล่านั้นเป็นธรรมดาอย่างจริงแท้แน่นอน ไม่มีตัวตนที่แท้จริง หรือตัวตนไม่เป็นแก่นเป็นแกนอย่างแท้จริง จิตก็เช่นเดียวกัน แต่เงานั้นเมื่อมีอาการแปรปรวนไปเป็นธรรมดาแล้ว เป็นทุกข์ไหม? ย่อมไม่เป็นทุกข์เพราะไม่ประกอบด้วยตัณหาความทะยานอยากหรือไม่อยากใดๆในเงานั้นนั่นเอง อันเป็นสิ่งที่เราพึงต้องพยายามปฏิบัติให้เป็นเช่นนั้น
เนื่องจากจิต(คือธรรมชาติที่รู้อารมณ์)เกิดแต่เหตุอันมากหลาย มาเป็นปัจจัยกัน จิตจึงกวัดแกว่ง แปรปรวนได้ง่าย ควบคุมบังคับได้ยาก จึงต้องหัดควบคุมจิตไม่ให้กวัดแกว่ง แปรปรวน และเพราะย่อมไปเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดทั้งเวทนาและสังขารขันธ์ดังเช่นคิดนึกฟุ้งซ่าน(อุทธัจจะ)ขึ้นได้ เราจึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดในการฝึกจิตให้มีสติ ระลึกรู้เท่าทันในเวทนาและสังขารขันธ์(อารมณ์ทางโลกหรืออาการต่างๆของจิตในชั่วระยะหนึ่ง)เมื่อปรุงแต่ง คืออาการอุทธัจจะ และมีปัญญาอย่างแจ่มแจ้งจึงไม่คิดนึกปรุงแต่ง เพราะรู้เข้าใจว่า ถ้าคิดปรุงแต่งฟุ้งซ่านเสียแล้วย่อมอาจเป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดทุกข์อุปาทานหรืออุปาทานขันธ์ ๕ ขึ้นนั่นเอง
แสดงความ "จิต กับ ใจ แตกต่างกันอย่างไร" ที่มีความหมายเกยคือคล้ายกันอยู่ แม้ไม่สมบูรณ์นัก แต่มักใช้แทนกันได้
ธรรมชาติของจิตและนํ้า
อันเป็นสภาวะโดยปกติธรรมชาติ(ปรมัตถ์)ที่เป็นจริงอยู่เช่นนี้
(เพื่อให้เห็นจิต เป็นรูปธรรมหรือภาพพจน์ได้ชัดเจนขึ้น)
ธาตุจิต นั้นเปรียบประดุจดั่ง ธาตุนํ้า
นํ้า นั้นไร้รูปร่าง ไร้ขอบเขต สามารถแผ่ขยายหรือแปรปรวนไปตามสิ่งแวดล้อมหรือภาชนะที่บรรจุหรือรองรับ, ฝ่าย จิต นั้น ก็ไร้รูปร่าง ไร้ขอบเขต แปรปรวนไปตามอารมณ์ [สิ่งที่จิตยึดเหนี่ยวหรือสัมผัสในขณะนั้น] หรือก็คือสิ่งแวดล้อมอันได้แก่อายตนะภายนอก เช่น รูป เสียง ฯ. ที่กระทบสัมผัส(ผัสสะ)นั่นเอง
นํ้า อันเป็นวัตถุธาตุประกอบด้วยเหตุปัจจัยต่างๆมาประชุมรวมกันชั่วระยะหนึ่งคือ H และ O กล่าวคือมีอะตอมของ H 2 อะตอม และ O และแรงบีบคั้นดังไฟเป็นตัวเร่ง(catalyst)ให้เกิดแรงบีบคั้น เป็นเหล่าเหตุ ที่มาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เกิดสิ่งที่เราเรียกว่านํ้า หรือ H2O, ฝ่ายจิต แม้เป็นนามธรรม แต่ก็เป็นสังขารหรือสิ่งที่ถูกปรุงแต่งขึ้นเช่นกัน จึงเกิดมาแต่เหตุมาเป็นปัจจัยแก่กันและกัน เฉกเช่นนํ้านั่นเอง และประกอบด้วยเหตุปัจจัยยิ่งมากหลายมาประชุมกันชั่วขณะหรือระยะหนึ่ง จิตประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น ชีวิตินทรีย์ การกระทบกันของอายตนะภายนอกกับอายตนะภายในอันเป็นส่วนหนึ่งของกาย ตลอดจนอารมณ์(สิ่งที่จิตยึดเหนี่ยวหรือกระทบสัมผัส เช่น รูป เสียง กลิ่น...)และเหตุปัจจัยต่างๆอีกมากมาย
นํ้า
มีคุณสมบัติไหลลงสู่ที่ตํ่า(เพราะแรงดึงดูดโลก),
ธรรมชาติของจิตก็มีคุณสมบัติเหมือนดั่ง
นํ้า ที่ย่อมไหลลงสู่ที่ตํ่า
แต่ตามแรงดึงดูดของกิเลสและความเคยชินที่ได้สั่งสมอบรมนอนเนื่องอยู่(อาสวะกิเลสอันเป็นปัจจัยร่วมกับอวิชชายังให้เกิดสังขารต่างๆ)หรือกิเลสตัณหาแลอุปาทานนั่นเอง
,
อันคือย่อมต้องหมุนไปตามภวจักรปฎิจจสมุปบาท เหมือนดังโลกย่อมหมุนรอบตัวเองนั่นเอง
คือเป็นไปตามสังขารที่สั่งสมอบรมไว้อันเกิดขึ้นแต่อาสวะกิเลสร่วมด้วยอวิชชา
ถ้าเราต้องการยกระดับ นํ้าให้สูงขึ้น ย่อมต้องออกหรือใส่แรงกระทำหรือปฏิบัติฉันใด, จิตจักยกระดับให้สูงขึ้นเป็นโลกุตระ คือสภาวะเหนือจากทางโลกๆได้ ก็ย่อมต้องการการพยายามปฏิบัติฉันนั้น,
การยกระดับ นํ้า ให้สูงขึ้นต้องใช้ความคิดหาวิธีการและการปฏิบัติที่ถูกต้อง เช่นคิดใช้เครื่องกล,ภาชนะหรืออุปกรณ์ที่ถูกต้อง ไม่มีรูรั่ว แล้วปฏิบัติดั่งนั้น จึงย่อมยกระดับนํ้าได้รวดเร็วฉันใด, จิต ก็ย่อมต้องการการคิดเพื่อการปฏิบัติอย่างถูกต้องจึงจักยกระดับจิตให้สูงขึ้นได้เร็วฉันนั้น,
ธรรมชาติของ นํ้า เดือดพล่านเพราะไฟอันเป็นของร้อนฉันใด, จิตย่อมเดือดพล่าน เร่าร้อน เพราะไฟ อันร้อนแรงของกิเลส ตัณหา อุปาทานที่เผาลนฉันนั้น อันล้วนมักเกิดจากเวทนาและสังขารขันธ์คืออารมณ์ทางโลกต่างๆ ที่เกิดจากการคิดนึกปรุงแต่ง
นํ้าบริสุทธ์ คือนํ้าที่ไม่มีสิ่งเจือปน, จิตบริสุทธ์ ก็คือจิตเดิมแท้ที่ไม่เจือด้วยกิเลสตัณหาอุปาทานนั่นเอง หรือจิตเดิมแท้นั่นแหละคือจิตพุทธะ อันมีอยู่แล้วในทุกผู้คน เพียงแต่ถูกเจือปน บดบังหรือครอบงําด้วยกิเลส ตัณหา อุปาทาน
จึงช่างพ้องจองเหมาะสมกับคำว่า นํ้าจิต หรือ นํ้าใจ เสียนี่กระไร
เปรียบเทียบสภาวธรรมของจิตกับนํ้า
ความทุกข์ จิตอันขุ่นมัวเศร้าหมองด้วยกิเลสและเดือดพล่านด้วยตัณหาความทะยานอยาก เปรียบประดุจ นํ้าอันขุ่นมัวที่ต้มเดือดพล่าน เมื่อดื่มเข้าไปย่อมเกิดความไม่สบายกายไม่สบายใจ จากสิ่งขุ่นมัวและความร้อนอันเดือดพล่านนั้นเป็นธรรมดา และย่อมเป็นทุกข์ด้วยสิ่งเจือปนและความร้อนอันแสนระคาย
นิโรธ หรือสภาวะนิพพาน หรือตทังคนิพพานหรือสภาวะจิตปลอดจากทุกข์ ปลอดจากความเผาลนกระวนกระวาย เปรียบประหนึ่ง นํ้าธรรมดาอันสะอาดบริสุทธิไร้สิ่งปรุงแต่งหรือปราศจากสิ่งขุ่นมัว เมื่อดื่มเข้าไปจึงมีแต่คุณประโยชน์ล้วนสิ้นต่อชีวิต ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว
ความสุข สภาวะจิตของความสุข และหมายรวมถึงฌานหรือสมาธิ อันอิ่มเอิบ ซาบซ่าน เปรียบประดุจ นํ้าอันเย็นฉํ่าอันยังมีสิ่งขุ่นมัวปะปนอยู่บ้าง แม้เมื่อดื่มเข้าไปย่อมยังความอิ่มเอิบซาบซ่านเป็นธรรมดา จึงย่อมเป็นที่ถูกใจของปุถุชน แต่ก็ยังมีโทษเพราะยังมีสิ่งเจือปนแอบแฝงอยู่นั่นเอง ตลอดจนเมื่อความเย็นซาบซ่านเหล่านั้นหายไปคือคงสภาพอยู่ไม่ได้ ก็เกิดความเร่าร้อนกระวนกระวาย คำนึงถึง อยากได้อีกเป็นธรรมดา ตลอดจนเมื่อบริโภคมากเกินไปหรือบริโภคในบางสภาวะก็ก่อให้เกิดโทษทุกข์ภัยจากความเย็นอันอิ่มเอิบซาบซ่านจนเป็นความเจ็บไข้ได้ป่วยเป็นธรรมดา
หมายเหตุ webmaster - คำอุปมาอุปไมย ที่หลวงปู่ดูลย์ อตุโล หรือคำสอนของฮวงโป ได้กล่าวถึงจิตไว้ว่า "สิ่งนี้เป็นเสมือนกับความว่าง อันปราศจากขอบทุกๆด้าน ซึ่งไม่อาจจะหยั่ง หรือวัดได้" เป็นเพียงการยกตัวอย่างเปรียบเทียบทางด้านกายภาพลักษณะรูปร่าง ที่เหมือนดั่งเงา ดังยกมากล่าวไว้ข้างต้นแล้ว แต่มักมีผู้ไปเข้าใจผิดๆ ไปคิดไปยึดความว่างนั้นอย่างเป็นอรูปฌานไปเสีย หรือไปทำให้ว่างๆจากความคิดความนึกทั้งปวง คือทั้งธรรมารมณ์และมโนกรรม เป็นการตีความที่ผิด ซึ่งถ้าว่างต้องว่างจากราคะ โทสะ โมหะ หรือว่าว่างจากการคิดฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งอันเกิดจากมโนกรรม, จึงเป็นการเข้าใจที่ไม่ถูกต้องตามความเป็นจริงตามที่หลวงปู่ได้สื่อไว้ เพราะความหมายที่แท้จริงย่อมหมายถึง แสดงจิตนี้เป็นเสมือนความว่าง เพราะความเป็นอนัตตาไม่มีตัวไม่มีตนอย่างแท้จริงหรือสภาวะอนัตตา ดุจดั่งเงา ล้วนเกิดแต่เหตุปัจจัยประชุมกันชั่วขณะๆ แล้วก็ดับไป จึงย่อมไม่มีตัวตนเป็นก้อนเป็นมวลเป็นฆนะอย่างแท้จริง จึงไร้ขอบเขตหรือรูปร่างลักษณะให้วัดหยั่งหรือจับต้องได้ ดังเช่น ความว่าง ความว่างเปล่า หรือดังเงาทั้งปวงนั่นเอง
พุทธพจน์
จิตประภัสสร มีความหมายว่า จิตนี้โดยธรรมชาติเดิมแท้ หรือสภาวธรรมของมันเองนั้น ผ่องใสหรือบริสุทธิ์ มิได้แปดเปื้อนสกปรกหรือมีสิ่งเศร้าหมองเจือปนอยู่ แต่สภาพเศร้าหมองด้วยอุปกิเลสนั้นเป็นของแปลกปลอมเข้ามาภายหลัง กล่าวคือ เหล่ากิเลสได้จรเข้ามาเจือปนเสีย ฉะนั้น การชำระจิตให้สะอาดหมดจด จึงเป็นสิ่งที่เป็นไปได้ กล่าวคือเพียงแต่นำออกเสียซึ่งกิเลสนั่นเอง"
จิตไม่มีตัวไม่มีตน เกิดแต่เหตุปัจจัย ดุจดั่งเงา ก็จริงอยู่ แต่สามารถเห็นจิตและจิตตสังขารได้ด้วยสติและปัญญาหรือ"ญาณ"นั่นเอง เหมือนดั่งการเห็นเงาได้ด้วยตานั่นเอง
หลักการปฏิบัติ
ไม่ยึดมั่นถือมั่น ที่จะให้เป็นไปตามตัณหาคือกิเลสความปรารถนาความต้องการของตัวตน หรือการอุเบกขาสัมโพชฌงค์ ในกามทั้ง ๕ อันมี รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส. อีกทั้งในความเชื่อความเข้าใจ. ในศีลหรือข้อปฏิบัติอย่างงมงาย. อีกทั้งมีสติระลึกรู้ ในการพูดจาสื่อสารต่างๆอีกด้วยว่า นั่นไม่เป็นเรา นั่นไม่เป็นของเรา และไม่มีตัวมีตนแท้จริงให้ครอบครอง บังคับให้เป็นไปตามใจปรารถนาได้จริง
จิต ทำงานอย่างไร ธรรมบรรยาย โดย สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(ป.อ.ปยุตฺโต)
จิตกับใจต่างกันอย่างไร