ปฏิจจสมุปบาท

ย้อนกลับ

๘. ตัณหา เป็นเหตุปัจจัย จึงมี อุปาทาน

คลิกขวาเมนู

        เมื่อมีตัณหา อันครอบคลุมสังขารขันธ์ฝ่ายอกุศลทั้งปวงขึ้นแล้ว ย่อมเกิดความรู้สึกความทะยานอยาก - หรือไม่อยาก อันเป็นอาการหนึ่งของจิตหรือก็คือสังขารขันธ์   ดังนั้นเมื่อเกิดอารมณ์(สังขารขันธ์)ความรู้สึกในสิ่งใดๆเกิดขึ้นแล้ว เช่น ราคะ โทสะ โมหะ โลภะ ฯ. แล้วจะอยู่เฉยๆได้อย่างไร  จะอยากอยู่อย่างนั้นไปเรื่อยๆเชียวหรือ?  จิตจึงย่อมต้องพยายามสนองตอบต่อความรู้สึกภายในคืออยากหรือไม่อยากที่เกิดขึ้นนั้นอันคือตัณหา  ดังนั้นเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลเกิดขึ้น เป็นตัวเป็นตน เป็นผลลัพธ์ขึ้นมา ให้เป็นไปตามตัณหาหรือความอยากนั้นๆ ด้วยอวิชชาเป็นเครื่องหนุน อันเป็นกลไกธรรมชาติของจิตหรือสภาวธรรมหรือธรรมชาติของชีวิตนั่นเอง จึงเกิดอุปาทานอันคือสิ่งที่ปรุงแต่งจิตให้เป็นไปตามยึดมั่นถือมั่นด้วยกิเลสตน คือตามความเชื่อ, ความคิดของตัวของตน ก็ล้วนเพื่อมุ่งตอบสนองต่อตัณหาที่เกิดขึ้นนั้นนั่นเอง จึงเกิดเจตนา(สัญเจตนา)ปรุงแต่งจิตให้เกิดขึ้นและเป็นไปขี้น จิตจึงเป็นไปภายใต้อิทธิพลของอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นที่ย่อมแฝงกิเลสนั้นๆ  อุปาทานจึงเปรียบได้ดั่งสัญเจตนาฝ่ายอกุศลหรือกิเลสนั่นเอง,  หรือก็คือกระบวนการที่จิตใต้สํานึกที่ยึดมั่นในความพึงพอใจหรือความต้องการของตัวของตน(กิเลส)เป็นสำคัญอย่างเป็นที่สุด  และเป็นไปโดยอาการธรรมชาติอย่างไม่รู้ตัวเสียด้วย,  หรือก็คือยึดมั่นในความเชื่อหรือความคิดที่เกิดขึ้นก็เพื่อตอบสนองต่อตัณหานั้น เพราะหลงเข้าใจหรือยึดโดยไม่รู้ตัวด้วยอวิชชาว่า ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของตัวของตน หรือเป็นของตัวของตนจริงๆ,  มองในแง่จิตวิทยา ก็คือ เพื่อตอบสนองต่อความรู้สึกภายในตนเองที่เกิดขึ้นว่า"ตัวตนมีความคงอยู่หรือมีคุณค่า"นั่นเอง   การที่จะให้จิตรู้สึกมีคุณค่าหรือมีความมั่นคง, จิตจึงต้องมีปฏิกริยาตอบสนองเพื่อให้ได้ตามความต้องการหรือตัณหาที่เกิดนั้น  ที่นักจิตวิทยาสมัยนี้เขาเรียกกันว่าอีโก้(Ego),   หรือพอจะกล่าวสั้นๆตามความเข้าใจในธรรมของผู้เขียนที่ได้จากการโยนิโสมนสิการ  อันได้ใจความดังนี้   ที่สามารถอธิบายอุปาทานในปฏิจจสมุปบาทได้เป็นอย่างดี

        "อุปาทาน  คือ อาการของจิต ที่สนองตอบต่อตัณหาที่เกิดขึ้นนั้น โดยยึดมั่นถือมั่น หรือยึดติดยึดถือในกิเลสตน  ก็เพื่อความพึงพอใจหรือสุขของตัวของตนเป็นที่สุด หรือ

สัญเจตนาหรือเจตนาหรือความคิดอ่าน ให้เป็นไปตามยึดมั่นถือมั่นของตนนั่นเอง

        นั่นก็คือ อาการธรรมชาติของจิตที่เกิดขึ้นเป็นธรรมดาเมื่อมีตัณหา  กล่าวคือ เมื่อเกิดความรู้สึกอยากแล้ว  ย่อมเกิดความรู้สึกอีกอย่างหนึ่งขึ้นคืออยากให้เป็นของตัวของตนหรืออยากให้เป็นไปตามความต้องการของตัวของตนขึ้นอีกทีหนึ่งอันคืออุปาทานนั่นเอง ซึ่งเป็นตัวทำให้เกิดทุกข์ชนิดทุกข์อุปาทานที่แสนเร่าร้อนขึ้นจริงๆ   จุดมุ่งหมายก็เพื่อให้บรรลุถึงเป้าหมายที่ตัณหาหรือปรารถนาไว้ อันคือ เกิดปฏิกริยาของจิตที่กระตุ้นเร่งเร้าเพื่อตอบสนองต่อตัณหาหรือความปรารถณาของตัวตนที่เกิดขึ้น  ดังเช่นมีความมุ่งหมาย มุ่งมั่นเพื่อที่จะตอบสนองต่อความอยากที่เกิดขึ้นของตัวตน  เพื่อให้เกิดสัมฤทธิ์เป็นผลออกมา ดังตัณหาความอยากที่เกิดนั้นๆ   หรือมุ่งหมายที่จะตอบสนองเพื่อให้สัมฤทธิ์ผลต่อความไม่อยากใดๆที่เกิดขึ้นของตัวตนก็เช่นกัน(วิภวตัณหา)  ดังตัวอย่างเช่น เกิดตัณหาความอยากเจอคนรัก  จิตก็เกิดการยึดมั่นด้วยกิเลส เพื่อให้ความอยากนั้นสัมฤทธิ์ผล จึงไปยังให้เกิดการกระทำเป็นสังขารขันธ์ต่างๆนาๆ เช่น คิดถึงอยากไปหา หรือขับรถออกไปหาเลย ก็เพื่อให้ได้มาซึ่งการได้เจอคนที่รักตามที่อยากนั้น  จึงสนองตอบให้เป็นไปตามตัณหานั้น

หรือกล่าวโดยนัยอื่นๆ

        "อุปาทาน คือ ความยึดมั่น ความถือมั่นด้วยอำนาจของกิเลส อันคือตัณหาที่เกิดขึ้นนั้นๆ  จึงเกิดความพยายามหรือยึดหรือสัญเจตนาเพื่อให้สัมฤทธิ์ผล เป็นตัวเป็นตน เป็นผลลัพธ์เ กิดขึ้นตามกิเลสอันคือตัณหานั้นๆ

       "อุปาทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่นในคุณค่าความเป็นตัวตน,ของตน หรือตัวกู ของกู จึงยึดมั่นแต่สิ่งที่จะสร้างความพึงพอใจมาสนองตามความต้องการของตัณหา เพื่อตัวตนของตนเองเป็นที่สุด"องตนที่เกิดขึ้นนั้นนั่นเอง"

       "อุปาทาน คือ ความรู้สึกอย่างยึดมั่นถือมั่นในตัณหาความทะยานอยากหรือไม่อยากที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นของตัว ของตนอย่างแท้จริง"

       "อุปาทาน คือ การไปหลงยึดหลงคิดว่าเป็นตัวตน หรือของตัวของตนอย่างแท้จริง"  เพราะความไม่รู้ตามความเป็นจริงในพระไตรลักษณ์

        หรือที่ท่านพุทธทาสภิกขุได้บัญญัติไว้สั้นๆและได้ใจความว่า ความเป็น ตัวกู-ของกู

ลองพิจารณาดูว่าความหมายใดที่ถูกจริตแห่งท่าน

อันก่อให้เกิดความเข้าใจที่กระจ่าง สว่าง ที่ถูกต้อง

        ซึ่งตามปกตินั้น อุปาทานนี้ก็มีอยู่ในจิต ตามธรรมชาติของปุถุชน  แต่อยู่ในสภาวะที่นอนเนื่องของอาสวะกิเลส  หรือยังไม่ทํางาน  หรือเปรียบเสมือนงูพิษที่ยังหลับไหลอยู่  แต่เมื่อมีเหตุปัจจัยอันคือตัณหามากระตุ้นเร้าจึงเกิด  การทํางานขึ้นได้   จึงเป็นเหตุปัจจัยให้อุปาทานเกิดการตื่นตัวทํางานขึ้นอย่างสมบูรณ์เต็มตัว   ดังนั้นท่านจึงตรัสว่า ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทานความยึดมั่นถือมั่นในกิเลสหรือความพึงพอใจของตัวของตน   ซึ่งเป็นความสุขความทุกข์ชนิดละเอียดแยบคายเป็นที่สุด  จนอธิบายแยกแยะออกมาไม่ได้ถ้าไม่มีโยนิโสมนสิการโดยแยบคายในธรรมของพระพุทธองค์ทรงชี้แนวทางไว้  ด้วยเหตุนี้แหละจึงสามารถครอบงำทุกสรรพสัตว์มาตลอดทุกกาลสมัย  เว้นแต่องค์พระอริยเจ้า

        พึงเข้าใจและระลึกอยู่เสมอว่า อุปาทานนี้กล้าแข็งอย่างที่สุด  ชนิดที่มวลมนุษย์หรือปุถุชนไม่สามารถต้านทานอํานาจอันยิ่งใหญ่นั้นตรงๆได้  นอกจากกล้าแข็งที่สุดแล้ว ยังมีความละเอียดอ่อนเป็นที่สุดอีกด้วย  อันไม่สามารถสังเกตุเห็นได้  นอกจากใช้ตาแห่งปัญญาหรือวิชชาเท่านั้น  เพราะอุปมาดั่งล่องหนหายตัวได้ หรือประหนึ่งเป็นขนตาของเรานั่นเอง อันมีนั้นมีอยู่ แต่ละเอียดอ่อนนอนเนื่องจนแลไม่เห็นตัวมันเช่นกัน

        ขอให้โยนิโสมนสิการดูความละเอียดอ่อนแยบยลและชั่วร้าย  แต่กล้าแข็งเป็นที่สุดของอุปาทานเพื่อความเข้าใจ  แล้วจักเข้าใจว่าเหตุใดมันจึงครอบสรรพสัตว์ไว้ได้ถ้วนหน้าทุกกาลสมัย,   อุปาทานการสนองตอบต่อตัณหาของตัวของตนภายใต้กิเลสหรือการยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจหรือสุขของตนเองเป็นที่สุด  เป็นความพึงพอใจที่อยู่ลึกๆแอบซ่อนนอนเนื่องอยู่ในจิต  เป็นการเสพสุขที่ละเอียดอ่อนเป็นที่สุด   สิ่งใดที่ยิ่งใกล้ชิดกับตัวตนหรือของตน ก็ยิ่งมีการตอบสนองรุนแรงขึ้นเป็นลําดับ เช่น(จากใกล้ตัวตนไปหาไกลตัวตน) ตนเอง  บุตร  ภรรยา  ญาติ  สิ่งของๆตน  สิ่งของๆคนอื่น  คนรู้จัก  คนอื่นๆ,   พูดมาดังนี้ส่วนใหญ่จะแย้งว่า ไม่จริง รักบุตรมากกว่าบ้าง รักพ่อรักแม่มากกว่าบ้าง รักแฟนรักภรรยามากกว่าบ้าง ฯลฯ. เหล่านี้ต้องมาก่อน  เพราะฉันยอมตายแทนลูก  แทนพ่อ  แทนแม่  แทนคนรักยังได้เลย!   ซึ่งก็อาจเป็นจริงหรือเป็นไปตามนั้นจริงๆ,   แต่ถ้าโยนิโสมนสิการด้วยความละเอียดและแยบคายแล้ว จะพบสัจจธรรมเป็นอย่างยิ่งว่า การณ์กลับตาลปัตรกลับกลายเป็นเพราะปุถุชนนั้นมีความยึดมั่นในความพึงพอใจหรือเวทนาของตัวตนเองอย่างรุนแรงด้วยอํานาจของอุปาทานมากกว่า!  หรือรักตัวรักตนเป็นที่สุดนั่นเอง!  หาใช่เป็นอย่างที่ตนเองคิดเข้าใจไม่

        ในกรณีเช่นนี้ เช่นในเรื่องของบุตร(หรือพ่อแม่)  เรามาโยนิโสมนสิการกันดู  พ่อแม่ทุกท่านอยากให้บุตรประสบความสําเร็จ เรียนดี  พ่อแม่(เกือบ)ทุกคนจะคิดหรือพูดแทบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไม่ต้องการอะไรจากลูกแค่อยากให้ลูกมีความสุขความเจริญก็พอใจหรือยินดี   ลองพิจารณาโยนิโสมนสิการโดยละเอียดในจิตหรือความคิด(เห็นจิตในจิตตามความเป็นจริง) ท่านอาจจะพบเห็นความจริงว่า จริงๆแท้ๆแล้ว ปุถุชนนั้นต้องการเสพความพึงพอใจหรือสุขอันละเอียดอ่อนให้ตัวตนเองเป็นหลักสําคัญสูงสุด  เพราะตัวตนเรานั่นเองจะรู้สึกเป็นสุขหรือพึงพอใจอยู่อย่างแอบซ่อนนอนเนื่องอยู่ลึกๆในใจ หรืออยู่ในทีว่าลูกประสบความสําเร็จ  ทั้งๆที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้หวังจะรับอะไรตอบแทนจากลูกๆของตนโดยตรง และกลับประเคนหาและสั่งสมสิ่งต่างๆให้ด้วยความรู้สึกพึงพอใจ  จึงได้รับหรือเสพเพียงความพึงพอใจของตัวของตน อันเป็นความสุขอย่างละเอียดอ่อนไหวเป็นที่สุดโดยไม่รู้ตัวเท่านั้น  จะเห็นว่าเป็นการสนองตอบที่ละเอียดอ่อนซ่อนเงื่อนอย่างที่สุด  ซึ่งจะมองไม่เห็น ถ้าไม่โยนิโสมนสิการ,  จะรู้สึกเห็นหรือเข้าใจกันโดยทั่วๆไปว่า เป็น แค่ความรักความหวังดีที่มอบให้แก่ลูกๆอย่างธรรมดาทั่วๆไป   อุปาทานจึงไม่เหมือนกับตัณหาหรือองค์ธรรมอื่นๆที่บางครั้งสังเกตุเห็นหรือรู้สึกได้ง่ายๆ

        เมื่อครู่เราคุยกันแบบโลกสมมุติว่า บางคนนั้นกล่าวเลยว่ายอมตายแทนลูก หรือยอมตายแทนพ่อแม่ได้  และก็ทําจริงๆได้เสียด้วย  เช่นเราจําต้องเลือกว่าให้ใครตายระหว่างเรากับลูก(หรือพ่อแม่,คนรัก) ส่วนใหญ่จักยอมตายแทนลูกกันทั้งนั้น  ทั้งๆที่กลัวความตายกันเป็นที่สุด  ทําไมหรือ?  ก็เพราะเรามีความพึงพอใจของตัวของตนเป็นที่สุด ที่จะให้ลูกมีชีวิตอยู่ต่อไป ซึ่งครอบงําด้วยอิทธิพลที่รุนแรงเหนือยิ่งกว่าความตายเสียอีก!!!    ดังนั้นอํานาจของอุปาทานจึงมีอานุภาพที่ครอบคลุมสรรพสัตว์ทั่วฟ้าดินตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันและยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปในกาลข้างหน้า   ความละเอียดอ่อนและซ่อนเงื่อนอย่างเป็นที่สุด ทําให้แม้คนที่ยอมตายแทนนั้น ก็ยังไม่รู้สึกตัวว่าตายเพราะอุปาทานหรือความรัก?   เพราะถ้าถามว่า เพราะอะไรจึงยอมตายแทน?  ทุกคนจะตอบเป็นเสียงเดียวกันว่าเพราะความรัก   ลองโยนิโสมนสิการสังเกตุโดยละเอียดและแยบคายลึกๆในจิตของเราเองดูว่า

เพราะความรักลูก?

หรือเพราะ

ความพึงพอใจ หรือ ความสุขที่ตนได้รับ จากการที่ลูกมีชีวิตอยู่?

แล้วเราจะเห็นความยิ่งใหญ่อันชั่วร้ายของอุปาทาน  แล้วยังไม่รู้จักตัว,ไม่รู้จักตนของมันเลย,  แม้แต่บุคคลที่เลือกให้ลูกตาย แต่เราอยู่  ความพึงพอใจของใคร?  ทุกสิ่งล้วนลงมาที่อุปาทานการตอบสนองความพึงพอใจในตัวของตน หรือของเราทั้งสิ้น

อุปาทาน หรือความยึดมั่นถือมั่นในความพึงพอใจหรือสุขของตัวของตน จึงเป็นไปดั่งพระพุทธพจน์ที่ตรัสไว้ว่า

นตฺถิ อตฺตสมํ เปมํ

ความรัก เสมอด้วยรักตนเองไม่มี

        นี้คือสภาวธรรมอันเป็นจริงยิ่งอย่างปรมัตถ์ในปุถุชนทุกผู้คน  เพียงแต่ไม่แลเห็นแลเข้าใจเท่านั้นเอง

ดังได้แสดงธรรมไว้ดังนี้

        พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงธรรมแก่เทวดาตนหนึ่ง ซึ่งได้มาเข้าเฝ้าและกราบทูลแสดงความคิดเห็นว่า "ความรักเสมอด้วยบุตรไม่มี" เนื่องจากเทวดาเล็งเห็นว่า บิดามารดานั้น รักบุตร รักธิดามาก แม้แต่จะพิกลพิการอย่างไรก็ตาม  ก็เห็นว่าลูกเป็นประดุจทองคําอันลํ้าค่า   พระพุทธองค์จึงทรงแสดงธรรมแก้ว่า

        "แท้ที่จริง สัตว์ทั้งหลาย รักตน รักสุข รักชีวิตตนเป็นที่สุด สามารถละทิ้งคนที่ตนรักได้ เพียงเพื่อให้ตนอยู่รอด  หรือรักบุตรก็เพราะบุตรนั้นเป็นที่ตั้งแห่งความสุข(หรือความพึงพอใจ)แห่งตนนั่นเอง"

(สารตฺถ. ๑/๑/๘๑-๘๒) หรือ (๓๐๐พุทธภาษิต หน้า๓)

        ด้วยเหตุเหล่านี้นี่เอง ในแนวทางอริยสัจ ๔ ท่านจึงจัดว่า ตัณหาเป็นเหตุให้เกิดหรือเป็นสมุทัยเหตุแห่งทุกข์  เพราะยังให้เกิดอุปาทาน ต้นเหตุแห่งทุกข์ทั้งมวลโดยตรงนั่นเอง  และลองโยนิโสมนสิการโดยละเอียดและแยบคายก็จักพบความเป็นจริงว่า ทุกสิ่งที่ปุถุชนกระทำล้วนสิ้นนั้น ล้วนแอบแฝงความพึงพอใจของตัวของตนหรืออุปาทาน อยู่ในความรู้สึกนึกคิดอยู่ทุกขณะจิต  แต่โดยไม่รู้ตัวหรือไม่รู้เท่าทันเท่านั้นเองด้วยยังไม่มีวิชชา

        ขอกล่าวสรุปถึงเวทนา ตัณหา อุปาทาน  ต่างก็เป็นความรู้สึกหรือธรรมารมณ์อย่างหนึ่งทั้งสิ้น  แต่ก็มีความแตกต่างและหน้าที่อยู่ในที  แต่มีความเนื่องสัมพันธ์หรือเป็นเหตุปัจจัยกัน

        เวทนา เป็นความรู้สึกรับรู้ที่เกิดขึ้นจากการผัสสะของทวารทั้ง ๖  เป็นหนึ่งในขันธ์ ๕ จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งในการดำรงชีวิตในการสื่อสารกับอายตนะภายนอกหรือสิ่งแวดล้อมต่างๆ

        ตัณหา เป็นความรู้สึกเช่นกัน แต่เป็นความรู้สึกจากภายในอันเนื่องมาจากอาสวะอันย่อมประกอบด้วยกิเลสอยู่ในที  จึงกำหนัดหรือไปอยากหรือไม่อยากในความรู้สึกหรือเวทนาที่เกิดขึ้นมานั้น,  ตัณหาไม่มีเสียก็ได้ ไม่เป็นทุกข์โทษภัยใดๆต่อขันธ์ ๕ หรือชีวิต  กลับทำให้อยู่อย่างเป็นสุข สะอาด สงบ บริสุทธ์ยิ่ง

        อุปาทาน เป็นความรู้สึกเช่นกัน แต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นเนื่องสัมพันธ์มาจากตัณหา กล่าวคือ เป็นความรู้สึกอยากที่จะให้เป็นไปหรือสัมฤทธิ์ผลเป็นตัวเป็นตน หรือของตัวของตนขึ้น  หรือความรู้สึกอยากให้เป็นตัวเป็นตนหรือของตัวของตนตามตัณหาที่เกิดขึ้น  จึงเป็นทุกข์

        ดังนั้นท่านจึงตรัสไว้ว่า ตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน

 

anired06_next.gif ย้อนกลับวงจรปฏิจจสมุปบาท

๙. เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย  จึงมีภพ

 

กลับสารบัญหน้า ปฏิจจสมุปบาท