เทสโกวาท
จากหนังสือ เทสโกวาท
งานพระราชทานเพลิงศพ พระราชนิโรธรังสี (เทสก์ เทสรังสี)
๘ มกราคม ๒๕๓๙
![]()
ธรรม คือ ของจริงของแท้ เป็นแก่นของโลก
ธรรม แปลว่า ของเป็นอยู่ ทรงอยู่
สภาพตามเป็นจริงเป็นอย่างไร ก็ต้องเป็นอย่างนั้น
ชาติ ชรา พยาธิ มรณะเป็นธรรมทั้งนั้น
เรียกชาติธรรม ชราธรรม พยาธิธรรม มรณธรรม
ทำไมจึงเรียกว่าธรรม คือ ทุกๆ คนจะต้องเป็นเหมือนกันหมด (หน้า ๑๕)
![]()
อนึ่ง เมื่อความโกรธเกิดขึ้น
เรากลั้นลมหายใจเสีย ความโกรธนั้นก็หายไป
แล้วจะเหลือแต่ใจเดิม คือความรู้สึกเฉยๆ
อย่าลืม ทำบ่อยๆ ก็เห็นใจเดิม
แล้วความโกรธก็ค่อยๆ หายไป (หน้า ๔๖)
(webmaster-เหตุที่เป็นดังนี้ก็เพราะ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เป็นกายสังขารที่จำเป็นยิ่งในการดำรงขันธ์หรือชีวิต เมื่อกลั้นเสีย จิตย่อมจำต้องทิ้งในสิ่งที่กำหนด(อารมณ์)อื่นๆ เช่นความโกรธนั้นๆ ฯ. มากำหนดรู้ในการระงับกายสังขารคือลมหายใจนั้นๆ อันเป็นสิ่งที่จำเป็นยิ่งในการดำรงขันธ์หรือชีวิต ดังนั้นความโกรธอันเป็นสังขารที่ถูกปรุงแต่งขึ้นเช่นกันอันมีเหตุเกิด เป็นเหตุปัจจัยต่างๆนั้น จึงย่อมถูกระงับไปชั่วระยะๆหนึ่งหรืออย่างน้อยก็ส่วนหนึ่ง ตามหลักปฏิจจสมุปบันธธรรมนั่นเอง เพราะจิตย่อมต้องหันมากำหนดรู้ในการระงับลมหายใจนั้นๆนั่นเอง, จึงย่อมระงับความฟุ้งซ่านหรือความดำริพล่านลงไปได้ แล้วก็ต้องมีสติไม่ฟุ้งซ่านหรือปรุงแต่งต่อไปอีก จึงบริบูรณ์)
![]()
พระพุทธองค์ทรงสั่งสอนว่า ร่างกายของคนเรานี้เป็นก้อนทุกข์
มีชาติเป็นต้น มีมรณะเป็นที่สุด
เป็นของน่าเกลียด ควรเบื่อหน่าย ควรปล่อยวาง
ไม่ควรยึดถือว่าเป็นของตน เพราะมันไม่เป็นไปในอำนาจของตน (หน้า ๖)
(webmaster - ร่างกายเป็นอนัตตา เพราะถ้ามันเป็นของตน ก็ต้องอยู่ในอำนาจของตนจริงๆ จึงต้องควบคุมบังคับบัญชาได้ตามปรารถนาจริง แต่กลับหาเป็นเช่นนั้นไม่ กลับเป็นไปเพื่ออาพาธเจ็บป่วยผิดหวัง แก่ ตาย กล่าวคือเป็นไปตามอำนาจธรรมหรือธรรมชาติ กล่าวคืออิงหรือขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยที่ปรุงแต่งกัน จึงไม่เป็นไปตามอำนาจของตนอย่างแท้จริง)
![]()
ทุกสิ่งทุกอย่างมีความเกิดขึ้นมาแล้ว
ตั้งอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วก็แตกดับสลายไป (หน้า ๑๓)
![]()
การทำลายเรือนของอุปาทานทำอย่างไร
คือให้พิจารณาแยกร่างกาย กระจายออกไป
อย่าให้มีตัว แยกอวัยวะทุกชิ้นส่วนออกไป
แยกออกเป็นส่วนๆ จนหมดตัวคน คนเลยไม่มี
เหมือนชิ้นส่วนของเครื่องจักรกล หรือเครื่องยนต์อันหนึ่ง (หน้า ๒๕)
(webmaster - คล้ายดังการพิจารณาแยกกายออกเป็นส่วนแบบบในปฏิกูลมนสิการก็ได้)
![]()
อนัตตาเป็นของที่มีอยู่ แต่หาสาระในนั้นไม่ได้ (หน้า ๒๕)
(webmaster-อนัตตาของสังขารสิ่งปรุงแต่งทั้งปวง เป็นไปดังที่หลวงปู่กล่าว คือ เป็นของที่มีอยู่ แต่หาสาระไม่ได้ หรือไม่เป็นแก่นแกนแท้จริง เพราะควบคุมบังคับบัญชาไม่ได้ ไม่ขึ้นกับตัวตน แต่ขึ้นหรืออิงอยู่กับเหตุที่มาเป็นปัจจัยกันโดยตรง, ส่วนอนัตตาของฝ่ายอสังขตธรรมนั้น ย่อมไม่มีตัวตนอยู่แล้ว เป็นเพียงธรรมหรือธรรมชาติหรือสภาวธรรม กล่าวคือยังไม่เกิดปรากฏการณ์เป็นสังขารหรือตัวตนจากการเป็นเหตุปัจจัยกัน หรือการปรุงแต่งกันขึ้นมา จึงย่อมไม่มีตัวตนแก่นสารใดๆ อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจนแจ่มแจ้งได้ในบท อนัตตา)
![]()
ให้เห็นโทษของอารมณ์ที่เกิดจากอายตนะหก
ซึ่งมันแส่ส่ายไปในโลกธรรมทั้งแปด
เป็นทุกข์เดือดร้อนไม่มีที่สิ้นสุด แล้วยอมสละปล่อยวาง
แล้วย้อนเข้ามาอยู่ที่จิตแห่งเดียว (๒๓)
![]()
บุญเป็นตัวกรรมดี บาปก็เรียกว่ากรรม แต่เป็นกรรมชั่ว
กรรมทั้งสองชนิดนี้แหละ มันแต่งให้คนเป็นไปต่างๆ นานา (หน้า ๒๗)
![]()
การกระทำของบุคคลด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ
ในทางดีและไม่ดี เรียกว่า กรรม
กรรมนี้เมื่อบุคคลทำลงไปแล้ว ย่อมให้ผลตามมา
ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า หรือชาติต่อๆไป
![]()
เบื้องต้น ขออย่าได้เอาคำสอนของพระพุทธเจ้า
ที่เราได้ศึกษามาแล้วนั้น
มาถือไว้เป็นของศักดิ์สิทธิ์หรืออภินิหารใดๆ ก่อน
จงทำความพอใจและเลื่อมใสในคำสอนของพระองค์
ว่าพระธรรมที่พระองค์นำมาสอนพวกเรานี้
เกิดและรู้ขึ้นที่พระทัยอันใสบริสุทธิ์ของพระองค์
ฉะนั้น ธรรม จึงเป็นธรรมที่บริสุทธิ์
นำบุคคลผู้ที่ปฏิบัติตามให้ได้รับความสุขสันติที่แท้จริง
แล้วให้น้อมใจลงเชื่อแน่วแน่ ในคำสอนของพระองค์
ที่ว่า "ทำดีได้ดี มีผลให้เกิดความสุข
ทำชั่วได้ชั่ว มีผลให้เกิดความทุกข์เดือดร้อน" (หน้า ๑๕-๑๖)
![]()
เมื่อเราจะพิจารณาอะไรทั้งหมด
ให้จับหลักคือ " ใจ " ให้ได้เสียก่อน
อะไรที่เกิดขึ้นเมื่อมันกระทบอายตนะผัสสะ
มันจะต้องเกิดขึ้นที่ใจ
พอมาถึงใจ มันก็อยู่ในเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
พูดง่ายๆ เรียกว่า ขันธ์ ๕ เป็นที่ตั้งของความยึดความถืออุปาทาน
ที่เกิดทุกข์ก็เพราะยึดขันธ์ ๕
ที่ไม่ทุกข์ก็เพราะไม่ไปยึดขันธ์ ๕ (หน้า ๖๔)
![]()
ใจนี่ก็เหมือนกัน ธรรมชาติเดิมของเขาผ่องใส แต่มาเศร้าหมอง
เพราะสิ่งที่มาห่อหุ้มคือ กิเลสที่จรมาต่างหาก
ให้ชำระกิเลสนั้นออกไป
มันก็จะเหลือแต่ใจที่ผ่องใสสะอาดบริสุทธิ์ (หน้า ๓๙)
![]()
แก่นบุญคือจิต
เราเข้าถึงจิต ปฏิบัติให้ถึงจิต
อันนั้นแหละเป็นแก่นบุญ (หน้า ๓๘)
![]()
คนเราถ้าไม่เห็นทุกข์ ก็ไม่เห็นธรรม
เห็นทุกข์ถึงที่สุดทีเดียวแหละ จึงจะเห็นธรรม
ทุกข์นั่นแหละเป็นธรรม
ทุกข์เล็กๆ น้อยๆ ก็ปล่อยละเลยกันไปเสีย
ไม่เอามากำหนดพิจารณา มันก็ไม่เห็นสักทีละซิ
ทุกข์เป็นของควรกำหนด ไม่ใช่ของควรละ (หน้า ๖๖)
![]()
คนเราเกิดขึ้นมา ต้องมีทุกข์ประจำตัวอยู่ทุกคน
เรียกว่าทุกข์ธรรมชาติ มันทุกข์อยู่อย่างนั้น
ทุกข์จากการเกิด แก่ เจ็บ ตาย ต้องมีอยู่ทุกคน หนีไม่พ้น (หน้า ๖๖)
(webmaster-ทุกข์ธรรมชาติ กล่าวได้ว่าคือ ทุกขอริยสัจทั้งหมด จึงเพิ่ม การพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก การประสบกับสิ่งที่ไม่รักไม่ถูกใจ ปรารถนาในสิ่งใดแล้วไม่ได้ในสิ่งนั้น ทุกขอริยสัจทั้งหลายเหล่านี้ที่ย่อมเกิดขึ้นอยู่อย่างนี้เป็นธรรมดา จึงล้วนยังให้เกิดทุกขเวทนาอันเป็นทุกข์เป็นธรรมดา แต่เป็นเพียงทุกข์ธรรมชาติเช่นกันที่ยังคงมีอยู่ แต่ยังไม่ประกอบด้วยตัณหา จึงยังไม่เป็นทุกข์ที่ประกอบด้วยอุปาทาน อันคือทุกข์อุปาทานที่แสนเร่าร้อนเผาลน และยังจำแนกเป็นทุกข์ประจำตัวหรือกายอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า อาทีนวะ อันเป็นทุกข์และโทษของกาย)
![]()
พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ละความอยากเสีย (หน้า ๖๗)
(webmaster-ความอยากหรือตัณหาหรือนันทิ อันเป็นสมุทัยเหตุแห่งทุกข์)
![]()
นิมิตมิใช่ของดีและไม่ดี
เป็นที่รวมของจิตเหมือนคำบริกรรมนั่นแหละ
แต่นิมิตมันเป็นภาพเห็นชัดกว่าบริกรรม
จิตใจตั้งมั่นกว่าคำบริกรรมนั่นอีก
ทางที่ดีควรยึดเอาผู้รู้นิมิตนั้น คือใจ
อย่าไปยึดเอานิมิต
ถ้ายึดเอานิมิต พอนิมิตหาย ใจก็หายไปด้วย
ถ้ายึดเอาใจ นิมิตหายหรือไม่หายหรือนิมิตไม่เกิด แต่ใจก็ยังอยู่
การภาวนาคือการจับใจให้ได้
เมื่อจับใจได้แล้ว สิ่งอื่นๆ มันจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน
เราชำระใจของเราให้บริสุทธิ์แล้วเป็นพอ (หน้า ๙๕)
![]()
ผู้เขียน(หมายถึงหลวงปู่เทสก์ เทสรังสี) เขียนให้ผู้อ่านทำกรรมฐาน
มิใช่อ่านแล้วทิ้งไว้ เมื่อแก่แล้วหรือเวลาว่างจึงจะทำตาม (หน้า ๘๐)
![]()
ใจเป็นใหญ่กว่าอะไรทั้งหมด
ถ้าเราคุมใจให้สงบ ไม่วุ่นวายส่งส่ายได้แล้ว
ความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าปวดนั่นปวดนี่จะหายไปโดยไม่รู้ตัว (หน้า ๕๙)
![]()
ตัวบุญแท้ อยู่ที่ใจของเรา
ความอิ่มใจนั่นแหละเป็นตัวบุญแท้
ฉะนั้น จึงว่าบุญและบาปมีที่ตัวของเรา เกิดที่ตัวของเรา
นอกตัวของเราไม่มีหรอก (หน้า ๑๘)
![]()
คนเราเกิดมาเป็นตัวเป็นตน
เรียกว่า เกิดจากธาตุ ๔ มาประชุมกันเข้า
เป็นกลุ่มเป็นก้อนขึ้นมา ตั้งแต่เป็นเด็กเล็ก
เติบโตเป็นหนุ่มสาวเป็นคนแก่ขึ้นโดยลำดับ
ในที่สุดก็ถึงซึ่งความดับ
คำว่า เจริญ ในที่นี้ มันไม่ใช่เจริญ
หมายความถึงว่าดำเนินใกล้เข้าหาความตายทุกวันทุกคืนต่างหาก
ที่เราเป็นอยู่เดี๋ยวนี้นั้น มันเจริญไปหาความตายด้วยกัทั้งนั้น
(webmaster-พิจารณาว่าตัวตนเกิดมาแต่ธาตุ ๔ ได้ดังตัวอย่างนี้ในไตรลักษณ์ หรือในกายคตาสติสูตร)
![]()
คำว่า "สมถะ"
หมายเอาอาการทำใจให้สงบจากความวุ่นวายภายนอก (หน้า ๖๘)
![]()
ฌานนี้ มีลักษณะอาการให้เพ่งเฉพาะในอารมณ์เดียว จะเป็นรูปหรือนามก็ได้ (หน้า ๖๘)
![]()
ถ้ามีสติสัมปชัญญะรู้ตัวอยู่ตลอดเวลาแล้ว
ไม่สามารถที่จะหลงไปตามมารยาของจิตได้
อันนั้นแหละสามารระงับความโกรธ ความโลภ ความหลงได้ (หน้า ๔๗)
![]()
หาอุบายทำบุญ ด้วยบุญที่เกิดจากกุศลจิต
เป็นการทำบุญภายใน ไม่ใช่การทำบุญภายนอกด้วยวัตถุสิ่งของ
แต่เราทำบุญโดยการสร้างกุศลจิต
สร้างจิตที่ผ่องใสมีคุณงามความดี เป็นจิตไม่ตระหนี่เหนียวแน่น
จิตไม่เกิดโทสะมานะทิฏฐิ จิตไม่ประกอบด้วยกิเลส
จึงเป็นบุญมหาศาลหาค่ามิได้ เกิดจากจิตภายใน
ถ้าเราทำอย่างนี้อยู่เสมอๆ ก็เป็นบุญอยู่ทุกอิริยาบถ
และเราก็เห็นบุญในตัวของเรา ชมเชยบุญของเรา
หรือการที่เราละความชั่วได้ เราไม่เก็บความชั่วไว้ในตัวของเรา
อันนั้นก็เป็นบุญกุศลเกิดขึ้นที่จิต
เราเองก็รู้สึกชิ่นชมยินดีในตัวของเรา
จะพากันไปหาบุญที่ไหนอีก
บุญไม่ได้นอกเหนือไปจากจิตนี้หรอก
ขอให้พากันสะสมบุญอย่างนี้ขึ้นภายใน " จิต " ของตนทุกๆคน (หน้า ๔๙)
![]()